23 ม.ค. เวลา 14:55 • ปรัชญา
เรื่องขององค์พระสิทธัตถะ ท่านอออกไปอยู่ป่า มีเตียงนอนกว้างใหญ่ไพศาล มีอาหารในป่าทั้งป่า จะไปที่ไหน ก็ไม่มีอะไรขัดขวาง ไปได้ทุกสถานที่ ไม่มีอะไรขัดขวาง ..นั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่เราเคยสงสัย เรื่องของการทิ้งเวียงวัง กินนอนในที่คับแคบ .ไปอยู่ที่กว้างใหญ่ ที่นอนกว้างใหญ่ พื้นพระธรณีเป็นที่นั่งที่นอนที่เดินที่ยืนของท่าน ..ที่ที่กว้างขวางไม่มีอะไรขัดขวาง ..
..มีคราวหนึ่ง นั่งรถไปกับพระ ..สองข้างทางเป็นทุ่งนา ..เราก็มองผ่านกระจก เห็นพระองค์หนึ่ง ท่านเดินลอยไปเรื่องบนท้องนา ทางเดินก้าวช้าๆเรื่อยๆ แต่ก็ตามรถ..ตลอดเวลา ทั้งที่รถก็วิ่งประมาณสักร้อยหนึ่งกม/ชม แต่ก็เห็นพระเดินปกติ ก็ตามรถมาตลอด ..เราก็นั่งมองดู ..บอกตัวเองว่า จิตหลอนอีกแล้วเรา ..พอตอนหลัง เราก็เล่าให้ท่านฟังว่า เรามันจิตหลอน..เห็นพระเดินตามรถ ..ท่านว่า ..นั่นพระอรหันต์น่ะ แล้วท่านก็ไม่พูดอะไรต่อ ..
เรื่องความสามารถของจิต ที่ประกอบด้วย บุญบารมี หลุดพ้นความโลภโกรธหลง ยุติการเกิดนั้น มันเกินความสามารถของเรา ที่ไปรู้ได้ว่า ทำไม่ท่านถึงไปได้ ..ไปอยู่ที่นั้นได้ ..จึงมิอาจเข้าถึงในเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย .. ท่านบอกว่า จิตของฉันไม่ใช่พระอรหันต์น่ะ ..ท่านมาบอกให้ฟังก่อนท่านมรณะ ท่านเรียกเราไปคุย ท่านว่า ..ฉับบอกให้เป็นพระอเสขะ เราก็นึกคิดมาได้ ว่าท่านเล่าเรื่องเมืองนรก ..ท่านเดินสวนทางกับพระอเสขะ ทีไปเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ..โปรดสัตว์ในเมืองนรก ..ท่านบอกว่า ..ท่านเดินสวนกับพระอเสขะ .ที่เมืองนรก ..
เอาเรื่องที่เราได้ยินจากพระดีกว่า ..ท่านเล่าว่า ดวงอาทิตย์ฉันก็ไปจนติดพื้นดวงอาทิตย์ ..เราก็ถามท่านว่า ไปขนาดนั้นตัวไม่ไหม้หรือ ..ท่านก็บอกว่า ..เค้าไม่ให้ฉันเล่าแล้ว ..แต่ท่านบอกว่า เค้ามาเชิญไปทางจิต .. เรื่องราวของดาวอังคาร ..ท่านก็บอกว่า ไปทางจิต นึกไปที่ดาวอังคาร ..พระแม่ทั้งสี่ ..ดินน้ำลมไฟ ก็ไปประกอบเป็นตัวฉันที่นั้นเลย ..พวกดาวอังคารก็โผล่มาดูฉัน .. นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่ยากเข้าใจ ว่ามันเป็นไปไดีอย่างไรกัน ..จิตเหนือโลกไปแล้ว ..
คราวหนึ่ง..เราก็ยืน..หน้าที่ทำงาน ก็มีเงาโปร่งแสง เดินเข้ามาหา เดินผ่านทะลุตัวเราไปเลย ..เราก็ไปถามพระว่า ตัวเรามันหลอนหรือไง..ท่านบอกว่า นั่นแหละเค้าเรียกว่า ชีปะขาว เค้าผ่านมา ก็แวะมาเยี่ยม
..เราก็สงสัย..มาเยี่ยมยังไง ไม่เห็นพูดคุยกันเลย ทักทายกันเลย ..แต่ตอนหลัง ..ก็ค่อยเข้าใจมากขึ้น ในสิ่งที่เรียกว่า ธรรมท่านเปิดให้เรียนรู้ ..ก็ต้องสังเกตตัวเองเป็น..ว่า ขณะที่เราไปเห็นรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ต้องสำรวจตัวเอง ว่าตอนนั้นวาระจิตเป็นอย่างไร ..มีอารมณ์หรือไม่อารมณ์ มันเฉยๆ นิ่งๆ นิ่ง บรรยากาศเหมือนน้ำทะเล นิ่งใสเป็นกระจก..ไม่มีคลื่นลม อากาศแจ่มใส ..นั้นก็คือ เราต้องสำรวจจิตของตัวเอง ..ที่เห็นอะไรแปลกๆ เพราะเรายังนุ่งกางเกง ..ทำมาหากิน..
คำถามลักษณะแบบ .. มันคงไม่มีใครสามารถ ไปตอบได้ ..ผู้ที่ตอบได้ ต้องเป็นจิต..ระดับพระหันต์ ที่สามารถ ดึงสิ่งที่ดินฟ้าอากาศ เก็บเรื่องราวขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเล่าให้ฟังได้..แล้วมันก็ไม่มีใครเข้าถึงได้เลย ตอบคำถามแบบนี้ ..อารมณ์มันอุปโลกน์ให้หลง เอาง่าย.. หากเราจะตอบก็บอกว่า ..ไม่ทราบเลยครับ ..
เรื่องที่เอามาเล่า .ให้ฟัง ..นั่นอย่าเชื่อครับ ..เพราะไม่ได้ไปคลุกคลีใกล้ชิด .ในสิ่งที่ท่านสอนให้ ในสิ่งที่ที่ทำอะไรให้ดู ..แต่สิ่งที่ท่านสอน ก็เรื่องการสร้างบุญกุศลบารมี หนีกรรม หนีอารมณ์กรรมตัวกระทำ นั่นทำกันอย่างไร เรื่องรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..ท่านบอกว่า ..พระอรหันต๋ ท่านก็ผ่านพ้นทุกข์มาด้วยน้ำตานองหน้ากันทั้งนั้น..
โฆษณา