27 ม.ค. 2024 เวลา 16:48 • ประวัติศาสตร์

ชาวอะบอริจิน ชนชาติดั้งเดิมของออสเตรเลีย

วันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1788 กองเรือของอังกฤษนำโดยกัปตันอาเธอร์ ฟิลิปส์ ขนส่งนักโทษมายังอ่าวซิดนีย์โคฟ พร้อมประกาศยึดครองออสเตรเลียเป็นอาณานิคม
วันนี้จึงยึดถือเป็น "วันชาติออสเตรเลีย" (Australia Day)
ขณะเดียวกัน วันนี้ก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการล่าอาณานิคมโดยอังกฤษในภูมิภาคออสเตรเลีย กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อยู่ในออสเตรเลีย เช่น ชาวอะบอริจิน เรียกวันนี้ว่า "วันแห่งการรุกราน" หรือ Invasion Day
ชาวออสเตรเลียส่วนหนึ่งโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม ก่อม็อบประท้วงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนวันชาติไปเป็นวันอื่น ในขณะที่ชาวออสเตรเลียบางส่วนยังคงเฉลิมฉลองกันปกติ
เราจะไปทำความรู้จักกับ "ชาวอะบอริจิน" กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมของออสเตรเลีย ที่ตั้งรกรากอยู่ในเกาะแห่งนี้มาอย่างยาวนานกว่าหลายหมื่นปี ก่อนที่ชาวอังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคม และลดสถานะมาเป็นชนกลุ่มน้อย ในปัจจุบันชาวอะบอริจินยังคงเดินหน้าต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิต่างๆ ของตนเองโดยตลอด
เชื่อกันว่าบรรพบุรุษของชาวอะบอริจิน อพยพมาจากอินโดนีเซียมาตั้งถิ่นฐานที่ทวีปออสเตรเลีย เมื่อห้าพันกว่าปีที่ผ่านมา ชาวอะบอริจินอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มครอบครัวขยาย คือมีบรรพบุรุษร่วมกัน และมีขนบประเพณีที่เชื่อมโยงกัน ระหว่างคน และดินแดนที่อาศัย มีความเชื่อถือในเรื่องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่ชาวอะบอริจิน เชื่อว่าเป็นสถานที่ที่วิญญาณจะเดินทางกลับไปอยู่หลังจากตายไปแล้ว ซึ่งลูกหลาน หรือสมาชิกในคนในครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะประกอบพิธีกรรมแสดงความเคารพ
เพื่อเป็นเกียรติแก่วิญญาณบรรพบุรุษ มีความเชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะคอยคุ้มครองปกป้องรักษาเผ่าของตนสืบไป ไม่ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติหรือโรคภัยที่ลึกลับ ชาวอะบอริจินมีหลากหลายเผ่า บ้างก็ตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นหลักแหล่ง บ้างก็ดำรงชีวิตตล้ายกลุ่มชนเร่ร่อน
บทบาทของฝ่ายชาย คือ การเป็นนักล่า และพิทักษ์รักษากฎหมายของฝ่ายชาย ส่วนฝ่ายหญิงจะคอยดูแล เลี้ยงดูเด็ก หุงหาอาหาร ซึ่งฝ่ายหญิงก็จะมีกฎและพิธีกรรมเฉพาะของตนเช่นกัน ชาวอะบอริจินรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์และฤดูกาลของพืชชนิดต่างๆ ไม่ล่าสัตว์หรือเก็บเกี่ยวพืชผลจนถึงขนาดที่จะนำไปสู่การสูญพันธุ์
นับได้ว่าชาวอะบอริจิน เป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติโดยแท้ ชาวอะบอริจินยุคแรกมีการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้าเช่นเดียวกัน บูมเมอแรงและดินเหลือง นับเป็นสินค้าที่สำคัญ ก้อนหินหรือเปลือกหอยที่หายาก และมีความสำคัญทางพิธีกรรม ก็เป็น อีกอย่างที่มีการแลกเปลี่ยนกัน
จนกระทั่ง กัปตันอาร์เธอร์ ฟิลลิป (Captain Arthur Phillip) ได้นำกองเรือ 11 ลำ จากอังกฤษ พร้อมกับคน 1,030 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีนักโทษ 736 คนมาถึงอ่าวโบตานี (Botany Bay) เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1788 (พ.ศ. 2331) และต่อมาได้ย้ายไปที่ปอร์ต แจ็คสัน (Port Jackson) (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของซิดนีย์) ซึ่งถือกันว่าเป็นการตั้งถิ่นฐานครั้งแรกของออสเตรเลีย
จากที่แผ่นดินออสเตรเลียเคยมีชนเผ่าต่าง ๆ อาศัยอยู่หลายร้อยเผ่า และชาวอะบอริจินเองก็อาศัยอยู่แล้วกว่า 300,000 คน กลับถูกชนชาวผิวขาวที่อยากจะมาตั้งรกรากตามคร่าชีวิตผู้ที่อยู่มาก่อนอย่างชนชาวอะบอริจินไปกว่าครึ่ง ทำให้บางเกาะของทวีปนั้นไม่หลงเหลือชาวอะบอริจินเลยเหลือแม้แต่คนเดียว
หนำซ้ำชนพื้นเมืองเจ้าของดินแดนกลับต้องมาเสียชีวิตไปอีกไม่น้อยจากโรคติดต่อที่เข้ามากับชนผิวขาวต่างแดน จนทำให้จำนวนชาวพื้นเมืองลดลงกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้กลุ่มชนพื้นเมืองต่าง ๆ ก็อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติมาได้เสียนาน
นับจากนั้นมา จากชาวอะบอริจินกลุ่มใหญ่ก็เริ่มกลายเป็นชนกลุ่มน้อย เพราะจำนวนของชาวยุโรปที่ตัดสินใจย้ายมาตั้งรกรากในดินแดนแห่งนี้กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนออสเตรเลียเสมือนเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งยุโรปไปเสียแล้ว พวกเขาเริ่มนำเทคโนโลยีหรือวิทยาการของบ้านตัวเองเข้ามาพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ จนเริ่มเกิดเป็นวิถีการดำรงชีวิตแบบตะวันตก
ช่วงทศวรรษที่ 1900 ได้มีการผ่านกฎหมายเพื่อการแยกและปกป้องชาวอะบอริจิน ในทุกรัฐ กฎหมายดังกล่าวเน้นที่การจำกัดสิทธิในการครอบครองที่ดิน และรับจ้างงานของชาวอะบอริจิน
กฎหมาย Aboriginals Ordinance ที่ประกาศใช้ในปี ค.ศ.1918 ถึงขนาดให้สิทธิรัฐในการแยกลูกจากแม่ชาวอะบอริจิน หากมีข้อสงสัยว่าพ่อของเด็กไม่ใช่ชาวอะบอริจิน ในกรณีเช่นนี้ผู้ปกครองจะไม่มีสิทธิเหนือลูกของตน เด็กจะถูกส่งไปอยู่สถานเลี้ยงเด็ก โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น
การดูดกลืนได้กลายมาเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล สิทธิของชาวอะบอริจินก็ยิ่งถูกริดรอนมากขึ้น รัฐบาลเข้ามาควบคุมในทุกๆด้าน ในปี ค.ศ. 1960 ได้มีการ วิพากษ์วิจารณ์นโยบายดูดกลืนเป็นอย่างมาก ชาวออสเตรเลียผิวขาวจำนวนมาก เริ่มตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมกันที่เลือกปฏิบัติต่อชาวอะบอริจิน ในปี ค.ศ.1967
ชาวออสเตรเลียที่ไม่ใช่ชาวอะบอริจิน ได้ร่วมกันลงคะแนนสนับสนุนให้มีการให้ สถานภาพความเป็นพลเมืองแก่ชาวอะบอริจินและคนพื้นเมืองของหมู่เกาะในช่องแคบ Torres และให้อำนาจแก่รัฐบาลของเครือจักรภพ ในการออกกฎหมายดังกล่าว ในทุกรัฐ โดยรัฐจะต้องให้บริการแก่ชาวอะบอริจิน เช่นเดียวกับพลเมืองอื่นๆทุกประการ
ในปี ค.ศ.1972 นโยบายดูดกลืน ถูกทดแทนด้วยนโยบายของรัฐที่เปิดโอกาสเป็นครั้งแรก ให้ชาวอะบอริจินมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในปี ค.ศ.1992 ศาลสูงได้ออกประกาศชื่อ Mabo Ruling ให้การรับรองว่าชาวอะบอริจินมีสิทธิที่จะอ้างความเป็นเจ้าของเหนือดินแดนที่อยู่ภายใต้การครอบครองของราชวงศ์อังกฤษมาโดยต่อเนื่อง
ต่อมาในปี ค.ศ.1993 รัฐบาลได้นำประกาศดังกล่าวปฏิบัติโดยการออกกฎหมาย Native Title ภายใต้การยอมรับของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อรองเหนือดินแดนระหว่างชาวอะบอริจินกับกลุ่มอื่นอย่างยุติธรรมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย
หลังจากที่รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับชนพื้นเมืองมากขึ้น ซึ่งคนอะบอริจินเองก็เริ่มมีเสียงที่เกี่ยวกับการปกครองและต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของพวกเขามากยิ่งขึ้น แม้ว่าชาวอะบอริจินจะเริ่มมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่แสนคนและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นถึงหลักล้านคน แต่สุดท้ายก็ยังเทียบไม่ได้กับการเสียชีวิตไปจำนวนมากในอดีต
หลายรัฐบาลให้หลังต่างก็รู้สึกผิดต่อการกระทำของคนรุ่นก่อนหน้า จึงมีการออกมาขอโทษต่อชาวอะบอริจินมากมาย ตั้งแต่การส่งสารขอโทษเล็ก ๆ ไปจนกระทั่งปี ค.ศ. 2008 ที่นายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียได้ออกคำแถลงการณ์ขอโทษอีกครั้ง ที่นับเป็นการประกาศขอโทษอย่างเป็นทางการในระดับชาติสำหรับการกระทำของประเทศต่อชาวอะบอริจินชาวออสเตรเลีย และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ออสเตรเลียก็ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างชนพื้นเมืองกับชาวออสเตรเลีย
ในแต่ละรัฐบาลใหม่ของออสเตรเลียมักจะมีการเรียกร้องและผลักดันการคืนสิทธิ์ให้กลับชาวอะบอริจินเสมอมา เช่น การแก้ไขเพลงชาติของประเทศเพื่อเชิดชูชาวอะบอริจินเข้าไปในเนื้อเพลงนั้นด้วย จากที่เคยตั้งใจจะกำจัดภาษาพื้นเมืองให้หมดไป รัฐบาลใหม่กลับออกกฎหมายฟื้นฟูภาษาชนพื้นเมือง หรืออย่างกฎหมายฉบับแรกที่อนุญาตให้ชาวอะบอริจินอ้างสิทธิ์ในที่ดินที่ตัวเองเป็นเจ้าของได้ และชาวอะบอริจินก็ได้รับสิทธิ์ทางการศึกษา การทำงาน และการรักษาพยาบาลเหมือนที่ออสเตรเลียคนอื่น ๆ ได้ด้วย
จนในที่สุดทางการออสเตรเลียก็เคลื่อนไหวครั้งสำคัญ คือการลงประชามติเพื่อให้ชนพื้นเมืองมีเสียงในรัฐสภา โดยที่รัฐบาลออสเตรเลียกำลังวางแผนการลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งหากสำเร็จ เราจะได้เห็นชนพื้นเมืองเป็นตัวแทนในรัฐบาลอย่างถาวร แน่นอนว่าการเรียกร้องในครั้งนี้เกิดการเสียงแตก เพราะยังคงมีชาวออสเตรเลียรุ่นเก่าที่คอยกีดกันและไม่เห็นด้วยกับชนพื้นเมือง แต่การลงมตินี้จะยังคงเกิดขึ้นและเดินหน้าต่อไป โดยในการสำรวจที่ผ่านมา ผลปรากฏว่าชาวออสเตรเลียกว่าร้อยละ 64 ยังคงสนับสนุนเสียงของชนพื้นเมืองต่อรัฐสภา
ที่สุดแล้ว ชาวพื้นเมืองออสเตรเลียหรือชาวอะบอริจินกำลังจะได้รับการยอมรับในรัฐธรรมนูญของออสเตรเลีย ซึ่งนับเป็นเวลานานกว่าหลายร้อยปีที่พวกเขาถูกล่าและกีดกันมาโดยตลอด นี่อาจจะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานที่สุดของชนพื้นเมืองที่เก่าแก่กว่าหลายหน้าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์บนโลก โดยที่พวกเขายังคงไม่ดับสูญมาตลอดหลายหมื่นปีก็ว่าได้
โฆษณา