1 ก.พ. 2024 เวลา 14:45 • ประวัติศาสตร์

จากโรงเรียนช่างไหม สู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เมื่อ พ.ศ. 2444 รัฐบาลสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ว่าจ้าง ดร. โตยามา คาเมทาโร (Toyama Kametaro) รองศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเกียวโตมาเป็นที่ปรึกษาการเลี้ยงไหม ว่าจ้างเป็นเวลา 3 ปี ภายหลังจากได้เข้าพบเจ้าพระยาเทเวศรวงษ์ เสนาบดีกระทรงเกษตราธิการ เพื่อปรึกษาหารือกันแล้วจึงออกเดินทางไปโคราชเพื่อสำรวจการเลี้ยงไหม ก่อนจะกลับมาทำรายงานพร้อมกับเขียนร่างงบประมาณของปี พ.ศ. 2446 ของโครงการและรายชื่ออุปกรณ์ที่จำเป็นในการทดลองเลี้ยงไหม
จากการสำรวจ ดร. โตยามา พบว่าเกษตรกรมีความรู้เรื่องการเลี้ยงไหมเป็นอย่างดี ดร. โตยามา จึงมุ่งมั่นให้มีการตั้งสถานีทดลองเลี้ยงไหมเช่นเดียวกับที่ตั้งในญี่ปุ่นเพื่อเผยแพร่ความรู้และพัฒนาอุตสาหกรรมไหมด้วยวิทยาการสมัยใหม่ซึ่งจะนำมาปรับใช้เพื่อพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพสูงขึ้นและมีปริมาณมากขึ้น
เมื่อพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม) พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากการศึกษาด้านเกษตรกรรมที่ประเทศอังกฤษมาแล้ว ดร. โตยามา ได้เสนอให้ทูลเกล้าเชิญให้เป็นอธิบดีกรม โดยให้รวมกรมการผลิต กรมการเลี้ยงสัตว์ และกรมช่างไหมเข้าไว้รวมกันเพื่อประหยัดงบประมาณ กระทั่งในปี พ.ศ. 2446 ได้จัดตั้งกรมเพาะปลูกขึ้นมา และราวปี พ.ศ. 2449 พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ทรงเรียกกรมเพาะปลูกว่ากรมช่างไหม อาจเป็นเพราะว่ากรมเพาะปลูกแท้จริงแล้วอาจทำแต่การเลี้ยงไหมก็เป็นได้
ช่วงแรกของกรมช่างไหมนั้นได้มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนการทำไหมขึ้นในพระราชวังดุสิต เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2446 นักเรียนส่วนใหญ่เป็นสตรีในราชสำนักโดยมีชาวญี่ปุ่นเป็นครูให้อบรมเรื่องต่าง ๆ เช่น วิธีเลี้ยงหม่อน วิธีเก็บรังไหม วิธีสาวไหม ฯลฯ แต่โรงเรียนนี้กลับถูกยุบในปลายปีถัดมาเพราะนักเรียนลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม ในต้นปี พ.ศ. 2447 ได้จัดตั้งโรงเรียนสอนการทำไหมขึ้นอีกครั้งที่ปทุมวัน สอนวิชาการเกษตรเรื่องหม่อนไหมทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ รวมถึงสอนวิชาการสาขาอื่น ๆ เช่น เรขาคณิต ภูมิสาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน เป็นต้น ทั้งนี้เสมือนเป็นโรงเรียนกวดวิชาเพื่อจะได้ส่งนักเรียนไปเรียนต่อต่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ยังเปิดสถานีทดลองอีกแห่งขึ้นบริเวณศาลาแดง มีพื้นที่ 23,716 ตารางเมตร เป็นที่ทำการทดลองของกรมช่างไหม เพื่อเตรียมไว้สอนนักเรียนช่างไหม
เมื่อถึง พ.ศ. 2449 โรงเรียนสอนไหมที่ปทุมวันได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนวิชาการเพาะปลูก” ขณะที่นักเรียนที่จบมาก็ได้ไปทำงานเป็นหัวหน้าช่างและตำแหน่งอื่น ๆ ประจำสถานีทดลองเลี้ยงไหมและจะทำหน้าที่ต่อจากชาวญี่ปุ่นที่หมดสัญญาจ้างกับรัฐบาลสยาม
ต่อมา โรงเรียนเกษตราธิการ ได้ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 ณ วังประทุมวัน (วังวินด์เซอร์) โดยที่กระทรวงเกษตราธิการได้ทำการรวบรวมโรงเรียนที่อยู่ในสังกัดของกระทรวง 3 โรงเรียน คือ โรงเรียนแผนที่ (จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2425) โรงเรียนกรมคลอง (จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2448) และโรงเรียนวิชาการเพาะปลูก เป็นโรงเรียนเดียวกันเพื่อผลิตคนเข้ารับราชการในกรมกองต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตราธิการ
ถือได้ว่าเป็นหลักสูตรระดับอุดมศึกษาวิชาเกษตรศาสตร์ หลักสูตรแรกของประเทศไทย โดยได้เริ่มดำเนินการสอนหลักสูตรใหม่นี้ในปี พ.ศ. 2452
ทั้งนี้การก่อตั้งโรงเรียนเกษตราธิการ มีจุดประสงค์ผลิตคนที่จบจากหลักสูตรเข้ารับราชการในกรมกองต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตราธิการ พร้อมกับให้เรียบเรียงหลักสูตรใหม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักสูตรระดับอุดมศึกษาวิชาเกษตรศาสตร์ หลักสูตรแรกของประเทศไทย โดยมีการดำเนินการสอนในปี พ.ศ. 2452
ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 รัฐบาลได้มีคำสั่งให้โรงเรียนเกษตราธิการ รวมเข้ากับโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ในการจัดตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือน พร้อมทั้งทรงให้ โรงเรียนเกษตราธิการย้ายสังกัดมายังกระทรวงธรรมการ โดยใช้วังวินด์เซอร์เป็นสถานที่ทำการเรียนการสอน
แต่ภายหลังได้มีพระยาเทพศาสตร์สถิตย์ และเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเรียนไทยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ส่งไปเรียนเมืองนอกในสมัยนั้น ได้มีความคิดร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนด้านการเกษตร ภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตราธิการ ขึ้นมาอีกครั้ง โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม เมื่อปี พ.ศ. 2460 ใน ต.หอวัง ก่อนจะย้ายไปยัง ต.พระประโทน อ.เมืองนครปฐม ใน พ.ศ. 2461
จากนั้นจึงมีการขยายโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ ใน จ.สระบุรี (ภาคกลาง), จ.เชียงใหม่ (ภาคเหนือ), จ.นครราชสีมา (ภาคอีสาน) และ จ.สงขลา (ภาคใต้) ก่อนจะปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2478 ตามข้อบังคับของระบบราชการในสมัยนั้น ซึ่งหลวงอิงคศรีกสิการ หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ และพระช่วงเกษตรศิลปการ (สามบูรพาจารย์ผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ได้เสนอให้เหลือโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม ไว้ 1 แห่ง ใน อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ และให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "โรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม"
แล้วจึงมีการยกฐานะให้เป็นวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในกรมเกษตรและประมง และในเวลาต่อมาได้มีการย้ายวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มายัง อ.บางเขน ใน พ.ศ. 2481 และเปลี่ยนวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เดิมที่อยู่ใน อ.บางเขน เป็นโรงเรียนเตรียมเกษตรศาสตร์ เพื่อเตรียมคนเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ในปี พ.ศ. 2486 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ยกฐานะวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และสถาปนาขึ้นเป็น "มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์" มีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงเกษตราธิการ และให้แต่งตั้งข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาวิทยาลัย หลวงสินธุสงครามชัย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีคนแรก โดยมีการเปิดสอนใน 4 คณะ ได้แก่ คณะกสิกรรมและสัตวบาล คณะการประมง คณะวนศาสตร์ และคณะสหกรณ์ เป็นคณะแรกตั้ง
ในปี พ.ศ. 2509 หม่อมหลวงชูชาติ กำภู อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในขณะนั้นได้พิจารณาเห็นว่าพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่บางเขนคับแคบ ไม่สามารถจะได้ จึงได้ดำริที่จะหาพื้นที่ที่เหมาะสมที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่มีดินดีเหมาะต่อการเกษตรและมีโครงการชลประทานผ่านเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ ก่อนราคาที่ดินจะมีราคาแพง
ซึ่งต่อมาในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 รัฐบาลในสมัยจอมพล ถนอม กิตติขจร จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เพื่อให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จัดตั้งวิทยาเขตกำแพงแสน โดยทางมหาวิทยาลัยได้ทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่เดิมและก่อสร้างอาคารเรียน ที่พัก และอาคารสำนักงานซึ่งสามารถเสร็จสิ้นเมื่อกลางปี พ.ศ. 2521 และเริ่มจัดการเรียนการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522
จนถึงปัจจุบันมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้มีการขยายการศึกษาเพิ่มขึ้นโดยการเปิดคณะและสาขาวิชาเพิ่มขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีที่เปิดทำการสอนแล้วทั้งหมด 29 คณะ 2 วิทยาลัยและสถาบันสมทบอีก 2 แห่ง มีจำนวนหลักสูตรทั้งหมด 583 หลักสูตร และเป็นหลักสูตรนานาชาติ 42 หลักสูตร และมี 3 วิทยาเขตได้แก่ วิทยาเขตกำแพงแสน วิทยาเขตศรีราชา และวิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร
โฆษณา