20 ก.พ. 2024 เวลา 12:39 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

one for the road

“ถ้านี่คือการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิต คุณจะไปที่ไหน แล้วใครกันที่จะเป็นเพื่อนร่วมทาง”
One for the road วันสุดท้าย…ก่อนบายเธอ หนังแนว Drama ที่เล่าผ่านเงื่อนไขของความตาย เรื่องราวของอู๊ด ชายหนุ่มที่เป็นมะเร็ง เมื่อรู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน เขาเลยเลือกที่จะเรียกเพื่อนสนิทอย่างบอสกลับมา เพื่อช่วยขับรถไปหาแฟนเก่าเพื่อเอาของไปคืนและขอโทษกับเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง
ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้สำหรับเราคือวิธีการเล่าเรื่อง หนังพยายามจะทำให้เราเหมือนกำลังเดินทางไปพร้อมกับตัวละครหลัก และมองในมุมมองของอู๊ด ในตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของตัวละคร ว่าทำไมต้องไปขอโทษแฟนเก่า แต่พอเริ่มไปขอโทษแฟนเก่าคนแรก “อลิซ” นักเต้นสาวสวย ที่มีนิสัยร่าเริงใจดี การไปหาเธอทำให้เราได้เห็นความทรงจำดีๆที่ตัวละครเคยทำร่วมกัน เราก็รู้สึกเพลินเพลินไปกับเนื้อเรื่อง และมีความสุขกับตัวละครเหมือนได้ปลดปล่อยสิ่งที่ค้างอยู่ในใจ
พอไปหาแฟนคนที่สอง “หนูนา” ดาราสาวดาวรุ่ง แม้ในตอนแรกเธอจะไม่อยากพบเขา แต่พอได้พบกันมันกลับทำให้เธอสามารถเล่นฉากที่แสดงอยู่ได้ดีขึ้น แม้จะเป็นตอนจบที่ไม่สวยงามแต่ก็ถือว่าเป็นการร่ำที่ไม่ได้ติดค้างในใจแต่พอมาถึงคนสุดท้าย “รุ้ง” เรื่องเหมือนกลับดึงเราลงมาสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง
เพราะที่ผ่านมาเรามองในมุมของตัวละครหลักที่อยากไปขอโทษ แต่พอมาถึงคนสุดท้าย ที่ไม่ยอมออกมาเจอ เพราะอึดอัด และตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว มันทำให้เราคิดได้ว่า แล้วสุดท้ายสิ่งที่เรากำลังร่วมสนุกไปกับตัวละคร มันดีแล้วจริงหรอ การเอาความอึดอัดในใจของตัวเองไปโยนใส่คนอื่นมันถูกแล้วจริงมั้ย
แล้วสุดท้ายหนังเหมือนกำลังกระชากเรากลับมา เมื่อได้รู้ความจริงว่า คนสุดท้ายที่อู๊ดต้องการจะขอโทษ คือบอสเพื่อนที่คอยร่วมทางไปกับเขาตลอดนั่นเอง เพราะเขาเคยทำให้บอสต้องเลิกกับแฟนเก่าที่คบกันมานาน สุดท้ายเราเลยเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยากจะเล่าเรื่องของความตาย แต่มันจะถ่ายทอดด้านมืดของมนุษย์ที่ยึดเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางต่างหาก การรู้สึกผิดในวันที่ตัวเองกำลังจะตาย เป็นด้านมืดของมนุษย์ออกมา ว่าเราจะรู้สึกผิดก็ในวันที่มันสายไปแล้ว
บทของเรื่องนี้ไม่ได้โดดเด่นมากเมื่อดูเพียงเนื้อเรื่องสำหรับเรา แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีมิติมากขึ้น คือการมีนักแสดงที่เล่นได้ถึงบทบาทมาแสดง ทุกตัวละครทำให้เรารู้สึกเป็นมนุษย์จริงๆ ความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาจากการแสดง ความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความเสียใจ ทุกอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครทำให้เราสัมผัสมันได้จริงๆ และเข้าถึงอารมณ์ได้ดีจนเราร้องไห้ตามตัวละครออกมาได้
นอกเหนือจากบทและนักแสดงแล้ว สิ่งที่เรามองว่าโดดเด่นที่สุดของเรื่องนี้ คือการวางองค์ประกอบ เราประทับใจในด้านการจัดองค์ประกอบภาพมากจนต้องหาว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังผลงานชิ้นนี้ นั่นก็คือ “หว่องกาไว” เรียกได้ว่า ทั้งการจัดแสง มุมกล้อง สี การวางพื้นที่ หรือการตัดต่อ รวมออกมาแล้วทำให้ภาพของหนังเรื่องนี้มันสวยมากๆจนไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะหยุดดูตอนไหน เราก็จะเห็นรายละเอียดที่สวยงามออกมาผ่านภาพทั้งหมด
โทนโดยรวมจะไปในทางอบอุ่น ตามโทนเนื้อเรื่อง แสงติดเหลืองเหมือนถ่ายกล้องฟิล์ม ให้บรรยากาศที่ดูอบอุ่น cozy สบายตา หรือการเล่าเรื่องผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ เช่นแผ่นเทป พรอพต่างๆที่ดูเก่าๆย้อนยุค นอกจากนี้ยังมีฉากที่ตัวละครไปตามจังหวัดต่างๆ ทำให้เราได้เห็นความสยงามของประเทศไทยในมุมใหม่ๆเพิ่มด้วย ทุกองค์ประกอบที่ตั้งใจใส่เข้ามามันมีมิติ จนเรานิยามได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังไทยที่ภาพสวยอันดับต้นๆที่เราเคยดูมาเลย
แต่สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นจุดพลาดของเรื่องนี้คือบทตอนท้าย ปมเรื่องที่ทำให้บอสกับแฟน เพราะมันเป็นจุดใหญ่ที่เรื่องไม่ได้ปู หรือพยายามทำให้เราเข้าใจมาก่อนเลย พอถึงจุดที่เล่าเราเลยค่อนข้างไม่อินกับเนื้อหา เหมือนเป็นคนละเรื่องกับที่ดูมาตอนต้น เหมือนเราโดนเหมือนม้วนหนังกลางเรื่อง อีกทั้งเนื้อเรื่องตอนจบก็ยังไม่เคลียสำหรับเรา ปมปัญหามากมายเหมือนไม่ได้ถูกคลาย จนทำให้สุดท้ายเราไม่สามารถตีความสิ่งที่หนังต้องการจะสื่ออกมาได้ชัดเจน แต่ถ้าหนังมีการปูตอนท้ายมาก่อน น่าจะทำให้เราเข้าใจและไม่หลงทางเหมือนตอนนี้
เอาเป็นว่าถ้าอยากจะหาหนังสักเรื่องเพื่อดูภาพสวยๆ องค์ประกอบสวยๆ ทั้งแสง สี และการตัดต่อ และการแสดงที่มีคุณภาพ one for the road ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด และอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองไปดูเช่นกัน
โฆษณา