Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Movie Series มานี่จะรีวิว
•
ติดตาม
20 ก.พ. 2024 เวลา 13:02 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Roald Dahl's Matilda the Musical ขบวนการปฏิวัติ ของผู้กล้าตัวจิ๋ว
Roald Dahl's Matilda the Musical เป็นภาพยนตร์แนว fantasy comedy ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมคลาสสิค เรื่อง Matilda ของโรอัลด์ ดาห์ล นำเสนอผ่านรูปแบบ musical ที่เล่าเรื่องราวของ มาทิลด้า เวิร์มวู้ด เด็กหญิงที่เกิดมาด้วยความไม่ตั้งใจของพ่อแม่ ทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่ครอบครัวไม่ต้องการ และเลี้ยงดูแบบขอไปที
แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับเป็นเด็กที่พิเศษ ด้วยที่เธอชอบอ่านหนังสือวรรณกรรม ทำให้เธอเป็นเด็กที่ฉลาด และมีทัศนคติที่กว้างไกล จนเมื่อเธอมีโอกาสได้ไปเรียนที่โรงเรียน เจอสังคมและคนที่เข้าใจอย่าง ครูฮันนี่ การปฏิวัติครั้งใหม่ของมาทิลด้าจึงเริ่มต้นขึ้น
อาจจะด้วยความเป็นภาพยนตร์ musical สำหรับเด็ก เราเลยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความสดใสออกมาจากตัวเรื่องตลอดเวลา แม้จะเป็นฉากที่เคร่งเครียด แต่ก็จะแฝงไปด้วยมุขตลกให้ยังคงคอนเซปของ musical comedy ซึ่งความรู้สึกนี้น่าจะเป็นผลหลักๆมาจากการจัด mise en scene ในหนัง อย่างการเลือกใช้คู่สีซ้ำๆและตัดสีกันอย่างลงตัว การจัดพรอพประกอบฉากและคอสตูมที่ดูอลังการ เช่น ฉากโรงพยาบาลตอนคลอดมาทิลด้าตัวละครจะใส่เสื้อผ้าสีพาสเทล ตัดกับสีฉาก หรือบ้านของมาทิลด้าที่จะมีพรอพประกอบหลากสี หลากสไตล์อยู่ในนั้น
รวมถึงซาวด์เพลงที่มีทำนองสดใส ให้ความรู้สึกเพลิดเพลิน และ การตัดต่อการจัดวางองค์ประกอบแบบเน้นความสมมาตร อย่างฉากที่เด็กๆที่โรงเรียนร้องเพลงและเต้น ก็จะมีการจัดสองฝั่งให้เท่ากันดูพร้อมเพรียง ทำให้เราเพลินเพลินไปกับบทเพลงท่าเต้น และภาพประกอบได้เต็มที่ เรียกได้ว่าดึงจุดเด่นของความเป็น musical ออกมาได้ดีเหมือนเราไปนั่งดูละครเวทีสักเรื่องเลย
นอกจากฟอร์มที่สวยงาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีสารหลักที่สื่อถึงการปฏิวัติในสังคม โดยใช้มาทิลด้าและเด็กๆเป็นภาพแทน ของคนในสังคมที่ถูกกดขี่แต่ไม่กล้าเรียกร้อง ซึ่งเรามองว่าเป็นสิ่งการนำเสนอน่าสนใจมากๆ เพราะปกติหากพูดถึงการนำเสนอการปฏิวัติ ส่วนใหญ่ตัวละครที่ลุกขึ้นมาสู้กับอำนาจอะไรสักอย่างก็มักจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ในเรื่องนี้กลับเลือกใช้เด็กเป็นตัวดำเนินเรื่อง แล้วสิ่งที่เด็กๆต่อสู้อยู่ก็คือระบบอำนาจนิยม จากครอบครัว และครูใหญ่ในระบบการศึกษา ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย
โดยตั้งแต่เริ่มเรื่องเราจะเห็นว่ามาทิลด้าไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีจากพ่อแม่ อย่างการไม่ได้ส่งไปเรียนหนังสือ ปล่อยให้เธอต้องไปตามหาความรู้จากการอ่านหนังสือด้วยตัวเอง และแม้มาทิลด้าจะเป็นเด็กฉลาดขนาดไหน แต่พออยู่ในครอบครัวเธอกลับกลายเป็นแค่ “ไอ้ลูกมารผจญ” สะท้อนปัญหาครอบครัวของคนที่มีลูกไม่พร้อมจนสุดท้ายปัญหาก็ตกไปอยู่ที่เด็ก
ซ้ำร้ายพอเธอเข้าไปเรียนที่โรงเรียน มาทิลด้าก็ได้เจอกับครูใหญ่ทรัชบูล ที่บ้าอำนาจและต้องการควบคุมเด็กทุกคนให้อยู่ในกรอบของตน ด้วยการขู่ให้กลัว ใช้วิธีลงโทษที่รุนแรง และตีกรอบให้เด็กๆ เพราะเธอเชื่อว่าการศึกษาที่ดีคือการศึกษาที่ทำให้เด็กเชื่อง และไม่กล้าเถียง จนพอนานวันเข้ามาทิลด้าก็รับไม่ได้กับระบบอำนาจนิยมนี้ เลยลุกขึ้นมาเพื่อต่อต้านกับระบบ
ตอนแรกก็มีเพียงบางคนที่เห็นด้วยอย่างลับๆ แต่พอนานวันเข้ากระแสคลื่นก็ตีกลับ จากมาทิลด้า ก็กลายเป็นทั้งห้อง กลายเป็นทั้งโรงเรียน และเมื่อเด็กทุกคนลุกขึ้นมาปฏิวัติ สุดท้ายพวกเขาก็ชนะระบบนี้ ไม่มีใครต้องเป็นเหยื่ออีกต่อไป ดังเนื้อเพลงที่เป็นสารหลักในเรื่องที่ว่า “โลกไม่เข้าข้างเรา ไม่ใช่ว่าเราจำเป็นต้องทนและยิ้มหวานเข้าใส่ ถ้าดูแล้วไม่ใช่ต้องทำให้รู้เสียบ้าง แต่เราจะรอใครให้มาแก้ไขก็คงไม่มี มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่แก้เรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดี ถึงคราวเป็นตัวแสบบ้างแล้ว”
นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังแฝงไปด้วยแนวคิด feminist กลายๆอยู่ตลอด อย่างการเลือกใช้ตัวละครดำเนินเรื่องหลักๆที่เป็นผู้หญิง ทั้งมาทิลด้า ครูฮันนี่ หรือครูใหญ่ทรัชบลู ที่แสดงออกถึงอำนาจของผู้หญิงในหลายด้าน ทั้งตัวมาทิลด้าทที่เริ่มปฏิวัติ , ครูฮันนี่ ภาพแทนของผู้หญิงและคนผิวสีที่คอยสนับสนุนมาทิลด้า และครูทรัชบลูที่เป็นเจ้าของโรงเรียน ซึ่งแสดงถึงอิทธิพลของผู้หญิงในสังคม
หรือตั้งแต่ต้นเรื่องตอนคลอดจะมีฉากที่พ่อพูดกับหมอว่าไม่ใช่ลูกชายหรอ ทำไมไม่เป็นลูกชาย หรือเรียกมาทิลด้าว่า son ที่หมายถึงลูกชาย แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ต้องการลูกสาวที่เป็นผู้หญิง สะท้อนแนวคิดของคนที่มองว่าเพศหญิงไม่ได้มีคุณค่าเท่าเพศชาย แต่สุดท้ายพอมาทิลด้าปฏิวัติสำเร็จก็มีฉากที่พ่อกลับเรียกมาทิลด้าว่า girl ที่หมายถึงลูกสาว แสดงให้เห็นว่าต่อให้เป็นผู้หญิงก็สามารถต่อสู้เพื่อตัวเองและสังคมได้เหมือนกัน สิ่งเป็นแนวคิดตามทฤษฎีสตรีนิยม
1
จริงๆความเพลิดเพลินของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราลืมจะจับสังเกตความผิดพลาดไปเลย แต่ถ้าจะวิเคราะห์จุดที่ยังทำได้ดีกว่านี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องการคลายปมในตอนท้าย เพราะตลอดการเล่าเรื่องเราตื่นตาตื่นใจกับฉาก และเนื้อเรื่องมาก เหมือนกำลังอยู่บนเครื่องเล่นที่สนุกสนานและคาดเดาไม่ได้
แต่พอตอนใกล้จบ กลับนำเสนอง่ายๆอย่างการทำให้ครูใหญ่ ที่เป็นตัวละครที่ซับซ้อนและวางแผนรอบคอบมาตลอด เกิดกลัวและหนีออกไปเอง ซึ่งเรามองว่ามันแอบเป็นบทสรุปที่เบาและกราฟการดำเนินเรื่องดรอปลงไป แต่สุดท้ายหนังก็ดึงกลับมาจบแบบน่าประทับใจได้ทัน ด้วยการให้ครูฮันนี่รับเลี้ยงมาทิลด้า
โดยสรุปแล้วถือว่า Matilda the Musical ฉบับนี้ทำออกมาได้น่าประทับใจทีเดียว เทคนิคงานสร้างและการแสดง บทเพลง การเต้นถือว่าค่อนข้างดี เรื่องราวเข้าใจง่ายแถมยังแทรกด้วยประเด็นที่จุดประกายคนในสังคม ให้ลุกขึ้นมาสู้เพื่อตัวเอง และถ่ายทอดชีวิตในมุมมองของเด็กได้อย่างน่าสนใจ
หนัง
ภาพยนตร์
1 บันทึก
1
6
1
1
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย