18 มี.ค. 2024 เวลา 14:29 • หนังสือ

ความลับแห่งสารสมองสร้างสุขเพื่อชีวิตคิดบวก

หนังสือ The Secret of Happy Brain Happy Life
ความลับสารสมองสร้างสุขเพื่อชีวิตคิดบวก
เขียนโดย นพ.มนตรี แสงภัทราชัย
หนังสือเล่มนี้บอกเคล็ดลับสมอง เพื่อต่อยอดความสำเร็จและความสุขให้กับตนเองและคนอื่น หวังให้คนที่ได้อ่านนั้นร่วมกันสร้างสรรค์สังคมให้เปี่ยมด้วยคนมีความสุข และเอื้ออาทรความรู้สึกซึ่งกันและกัน
เคล็ดลับสมองข้อที่ 1 : จงทำสมองของคุณให้เป็นของคุณ
พาเรามาทำความรู้จักกับสมองข้างซ้ายและข้างขวา
• สมองข้างซ้าย สร้างความสำเร็จ
โดดเด่นและชำนาญด้าน"การคิดเชิงตรรกะเป็นเหตุเป็นผล" เป็นระบบ มีหลักการแบบแผนละเอียดลออ ชอบวิเคราะห์ วิจารณ์ เน้นข้อเท็จจริง ไม่คลุมเครือ "มองโลกขาว - ดำ ถูก - ผิด แยกกันชัดเจน ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล"
สมองข้างซ้ายเก่งการฟังเนื้อหา จับประเด็นที่ได้ยินมากกว่าจับความรู้สึก สำหรับการพูด ถูกโปรแกรมให้พูดอย่างมีหลักการ เป็นทางการ ตรงไปตรงมา สไตล์การพูดมักมีแบบเดียวเดิมๆ โทนเสียงเดียว
คนชำนาญสมองข้างซ้ายอาจขาดสุนทรียะในชีวิตและไม่รู้วิธีหาความสุขในมิติอื่น สำหรับสมองซีกซ้ายรู้แต่เพียงว่า "ความสำเร็จ คือความสุข"
• สมองข้างขวา สร้างความสุข
โดดเด่นและชำนาญด้าน"จินตนาการ" เก่งศิลปะ "ความคิดสร้างสรรค์" ตรรกะพอทำได้ แต่ชอบคิดนอกกรอบ มองภาพรวมมากกว่าเก็บรายละเอียด
"ให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ต้องใช้หัวใจคุยกัน" สมองข้างขวาสามารถรับรู้ความรู้สึกผู้อื่นได้ดีกว่า มีความรู้สึกร่วมได้ดีกว่า รักความท้าทาย กล้าเสี่ยงมากกว่า เพราะทุกสิ่งล้วนมีความเป็นไปได้
สมองข้างขวามักรื่นรมย์กับการฟังเสียงเพลงเสียงดนตรีมากกว่าเนื้อหาวิชาการ เพลิดเพลินกับน้ำเสียงลีลามากกว่าเนื้อหาหรือประเด็นหลัก สำหรับการพูด ถูกโปรแกรมมาให้พูดอย่างมีวาทศิลป์ ใจเย็น เป็นมิตร ประนีประนอม สามารถใช้โทนเสียงได้หลากหลาย ชวนติดตาม
คนที่ชำนาญสมองข้างขวา แม้ว่าจะไม่ประสบผลสำเร็จในการทำงานก็ไม่ซีเรียส ขอให้สนุกเพลิดเพลินกับสิ่งที่ทำก็พอ มีแนวคิดการทำงานทุกอย่างต้องเกิดผลแบบ"คนสำราญงานสำเร็จ" เป็นที่รักของคนรอบข้างด้วย
การทำงานแต่ละอาชีพ เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องใช้สมองข้างใดข้างหนึ่งมากเป็นพิเศษ แต่ทุกอาชีพสามารถโค้ชสมองให้ใช้ศักยภาพได้มากขึ้นใกล้เคียงกันทั้งสองข้าง
"สมองข้างซ้ายสร้างความสำเร็จ สมองข้างขวาสร้างความสุข เราเกิดมามีสมองทั้งสองข้างใช้ให้คุ้ม"
1
เคล็ดลับสมองข้อที่ 2 สมองหญิงนักช็อป สมองชายนักรัก
สมองผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกัน ทั้งขนาด จำนวน และการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทหรือนิวรอนภายในสมองสองซีก
• ขนาดสมองผู้ชายมีขนาดใหญ่กว่าสมองผู้หญิง 10% แต่ไม่มีผลต่อความเฉลียวฉลาดแต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับว่าใครฝึกเซลล์สมองได้เก่งกว่ากัน
• ขนาดสมองส่วนอารมณ์(สมองระบบลิมบิก)ของผู้หญิงมีขนาดใหญ่กว่า ผู้หญิงจึงรับรู้เชื่อมต่อความรู้สึกกับผู้อื่นได้ดีกว่า
• สมองผู้หญิงมีจำนวนเซลล์ประสาท(นิวรอน)มากกว่า มีแนวโน้มฉลาดกว่า อย่างไรก็ตามไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเซลล์ประสาท แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพ หากสามารถฝึกนิวรอนให้มีประสิทธิภาพ แม้ปริมาณเซลล์ประสาทน้อยก็มีโอกาสฉลาดกว่าสมองที่มีเซลล์ประสาทมากก็ได้
1
• เส้นใยประสาทสมองผู้ชาย มีการเชื่อมต่อจากสมองส่วนหน้าไปยังสมองส่วนหลัง เชื่อมโยงภายในสมองซีกเดียวกันมากกว่าเชื่อมโยงระหว่างสมองสองซีก ทำให้สมองผู้ชายคิดแบบตรงไปตรงมา ตรรกกะกับอารมณ์แยกกันชัดเจน ไม่ปนกัน สมองผู้ชายจะเก็บเฉพาะประเด็นหลัก ไม่หยุมหยิมกับรายละเอียด จึงชำนาญในการคิดหาเหตุผล วิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน และการบริหารจัดการเชิงระบบ แต่มีความลำบากในการทำสองสิ่งพร้อมกันหรือจัดการปัญหาหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
เส้นใยประสาทสมองผู้หญิง จะเชื่อมประสานกันระหว่างสมองสองซีก ซ้ายและขวามากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะบริเวณสมองส่วนหน้า ผู้หญิงมีความสามารถในการจดจำข้อมูลและเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้ด้วยจินตนาการไร้ขีดจำกัด โยงระบบหลายเรื่องได้รวดเร็วลื่นไหล สามารถวิเคราะห์หลักการเหตุผลโดยดึงอารมณ์ความรู้สึกเข้ามามีส่วนด้วยได้คล่องกว่า สามารถจัดการหลายสิ่งอย่างพร้อมกันได้ดีกว่าผู้ชาย
1
• สมองผู้ชายหมกมุ่นเรื่องเพศ สมองผู้หญิงหมกมุ่นเรื่องช็อปปิ้ง
• สมองผู้ชายจะเก่งเรื่องวิทยาศาสตร์แท้ๆ ส่วนสมองผู้หญิงจะเก่งเรื่องสังคมศาสตร์
ผู้ชายและผู้หญิงใช้สมองไม่เหมือนกันในการทำงานแบบเดียวกัน
เคล็ดลับสมองข้อที่ 3 อารมณ์เชิงบวกนำไปสู่พลังเชิงบวก
"มนุษย์คิดบวกคือผู้มีจิตใจเบิกบาน มนุษย์คิดลบคือผู้มีจิตใจเศร้าหมอง"
1
มีเทคนิคกระตุ้นกระทั่งหลอกสมองเพื่อช่วยให้ปล่อยความทุกข์ได้เร็วขึ้น กลับมามีความสุขได้เร็วขึ้นโดยการคิดบวก
"เส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างมนุษย์คิดบวกกับมนุษย์โลกสวย คือการมีเป้าหมาย"
มนุษย์โลกสวยมักจะมองหาด้านบวกของทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ รู้สึกดีขึ้นเท่านั้น พยายามทำตัวอารมณ์ดีโดยขาดการต่อยอดความคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะเอาความสบายใจไปใช้ทำอะไรต่อ
1
ส่วนมนุษย์คิดบวก คือมนุษย์ที่มีความเป็นไปได้ เมื่อเจอปัญหาอุปสรรค ก็มีสติรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง สามารถเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์ ปรับวิธีคิดเพื่อดำเนินชีวิตสู่การพิชิตเป้าหมายของตัวเองได้ในที่สุด
1
การทำงานของสมองจะสั่งการจากบนลงล่าง สมองคือศูนย์บัญชาการสู่อวัยวะต่างๆของร่างกาย กลับกันร่างกายก็สร้างกลไกที่ส่งสัญญาณย้อนกลับขึ้นไปสู่สมองด้วย นอกจากนี้สมองก็ยอมถูกควบคุมโดยกลไกอื่น เพื่อให้ตัวมันได้รับการฝึกฝนให้อยู่รอดเช่นกัน โดยเฉพาะความคิด อารมณ์ ความรู้สึก
สมองรู้ตัวว่าถ้าอยากอยู่รอดได้ดี และแข็งแกร่ง ต้องทำให้ตัวเองอารมณ์ดี จึงจะเกิดพลังเชิงบวกที่ใช้ซ่อมแซม เป็นอาหารเสริมช่วยเพิ่มสมรรถภาพสมองให้ทรงพลังต่อไปได้
2
สมองสามารถผลิตสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความสุขได้ 4 ชนิด นักวิทยาศาสตร์พยายามหาวิธีกระตุ้นให้สารสื่อประสาทแห่งความสุขได้ทำงานสม่ำเสมอ ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพสมองอย่างไร้ขีดจำกัดแม้ตกอยู่ในสภาวะความเครียดก็สามารถประคองร่างกายและความรู้สึกให้ฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว สามารถปรับตัวและดำเนินชีวิตต่อไปได้ เรียกว่า "ภาวะล้มแล้วลุกเร็ว" (Resilience) แม้สถานการณ์ยากลำบากนั้นยังคงอยู่ก็ตาม
ภาวะล้มแล้วลุกเร็วต้องอาศัยสารสมองสร้างสุขตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัวพร้อมกัน จากสารสื่อประสาททั้ง 4 นี้เสมอ เพียงตัวใดตัวหนึ่งหลั่งออกมาก็จะเกิดความสุขที่ปรารถนาได้ทันที และจากอารมณ์เชิงบวกจะทำให้เกิดพลังงานเชิงบวก เป็นเชื้อเพลิงหลักในการสร้างความสำเร็จ
1
เคล็ดลับสมองข้อที่ 4 สารสมองสร้างสุขทั้ง 4
เคล็ดลับข้อนี้จะทำให้เรารู้จักพลัง และวิธีกระตุ้นสมองให้ผลิตสารสื่อสมองทั้ง 4
1) โดพามีน (Dopamine)
• ทำให้รู้สึกสนุกสนานกับการใช้ชีวิต ชอบความท้าทาย กล้าออกไปเผชิญโลกภายนอก เป็นมนุษย์คิดบวก สนุกกับการแก้ปัญหา
• ทำให้เกิดสมาธิจดจ่อกับสิ่งนั้นอย่างต่อเนื่องทำให้เวลากลายเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ปรากฏการณ์โฟลว์ของสมาธิ เป็นความสุขจากสมาธิที่ลื่นไหล
• ทำให้เกิดความรู้สึกอยากให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
•โดพามีนสร้างความรู้สึกอยากให้รางวัลตัวเอง เห็นคุณค่าของตนเอง อยากขอบคุณตัวเอง
เทคนิคการกระตุ้นโดพามีน
• ฉีกยิ้ม
• หัวเราะ
• เป็นผู้ให้โดยไม่มีเงื่อนไข (สิ่งของ คำชม หรือ คำขอบคุณ)
• รับประทานผักสีสด
* ผู้ป่วยซึมเศร้า มีความบกพร่องในการปรับระดับการประสานงานร่วมกัน ของระบบสารสื่อประสาทในสมอง 3 ชนิด คือสารโดพามีน เซโรโทนิน และนอร์เอพิเนฟริน ถ้าสร้างโดพามีนได้น้อยหรือไม่ผลิตเป็นระยะเวลานาน จะทำให้ขาดความสนุกในชีวิต ไม่มีอะไรน่าอภิรมย์ ไม่เห็นคุณค่าตัวเอง ต้องรักษาด้วยยาต้านเศร้า "มุ่งไปแก้ไขสารเคมีในสมองเหล่านี้ และอาจทำจิตบำบัดร่วมด้วย อาศัยการกระตุ้นสมองให้สร้างเซโรโทนิน และกระตุ้นสารโดพามีน"
2) ออกซิโทซิน (Oxytocin) เลิฟฮอร์โมน
ทำให้เกิดความรัก ความผูกพัน ห่วงหาอาทรกัน ไว้วางใจกัน อยากทะนุถนอมดูแล เป็นสารตั้งต้นสู่ความกตัญญู ซึ่งมีอยู่ในน้ำนมแม่ ส่งต่อแม่ถึงลูก ลูกก็ส่งต่อให้แม่รับรู้ได้
เทคนิคการกระตุ้นออกซิโทซิน
• สัมผัสอย่างอ่อนโยนด้วยเจตนาที่ดี
• การกอด : กอด 20 วินาที และสามารถกอดตัวเองได้ด้วย การกอดทำให้เกิดความมั่นคงทางจิตใจ เชื่อมั่น ไว้วางใจตัวเอง
• เมคเลิฟ : เพศสัมพันธ์ รวมทั้งวิธีอื่น เช่นการกอด การนวด สัมผัสที่อ่อนโยน
• เป็นผู้รับ : โดพามีนกับออกซิโทซินทำงานร่วมกัน การชมตัวเองให้กำลังใจตัวเอง ทำให้กลายเป็นผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน และควรให้ของแก่คนรักบ้าง เซอร์ไพรส์กันบ้าง ชื่นชมกัน ถ้าไม่รู้จะชมอะไร อย่างน้อยให้คำขอบคุณ ผู้รับคำขอบคุณจะรู้สึกผูกพัน เชื่อใจมากขึ้น
1
• การแผ่เมตตา : การทำสมาธิแผ่เมตตามีผลต่อคลื่นสมอง ทำให้สารสมองสร้างสุขหลายตัวหลั่งออกมา
1
• เสียงเพลงขับกล่อม : เพลงจังหวะเร็วกระตุ้นความสนุก ติดตลาดเร็วและถูกลืมเร็วเช่นกัน เพลงจังหวะช้าๆ หรือกลางๆ ช่วยสร้างความรักความผูกพัน
1
3) เซโรโทนิน (Serotonin)
เป็นฮอร์โมนแห่งความสงบสุข สันติภาพ มีผลต่อกระบวนการคิด พฤติกรรม อารมณ์ ทำให้รู้สึกดี สงบ ผ่อนคลาย ใจเย็น มีสมาธิ อารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย มีความสุขง่ายขึ้น ช่วยให้อายุยืนยาว
ความสุขจากเซโรโทนิน เป็นความสุขที่เรียบง่ายภายในจิตใจ ตัดขาดจากโลกภายนอกอันแสนวุ่นวาย กลับเข้ามามีความสงบนิ่งจากภายใน
เทคนิคการกระตุ้นเซโรโทนิน
• การนอน : เป็นเวลาที่สมองจัดการกรองข้อมูล เรียบเรียงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น ตื่นมาสมองจึงปลอดโปร่ง เบาขึ้น
• นั่งสมาธิ เมตตาภาวนา เจริญสติ : เกิดคลื่นสมองแกมมา บ่งบอกถึงการทำงานเชิงบวกของสมอง
• แสงแดดอ่อนๆ : การออกไปสู่โลกภายนอก สัมผัสแดดอ่อนๆ ช่วยให้ระบบความจำดีขึ้น ส่งผลให้ระบบการเรียนรู้ดีขึ้น
• เล่นโยคะ : นอกจากช่วยยืดเส้นยืดสาย ช่วยสร้างความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อแล้ว ยังทำให้มีสมาธิกับการหายใจ ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายกลับสู่สภาวะสมดุล
• ออกกำลังกายแบบแอโรบิก : ช่วยสร้างและซ่อมแซมความเสียหายของเซลล์ประสาท และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในสมอง โดยการเพิ่มระดับโปรตีนกลุ่ม Neurotrophic สร้างความยืดหยุ่นของระบบประสาท โปรตีนดังกล่าวส่งผลดีต่อระบบการเรียนรู้ และระบบความจำ
1
• กินกล้วย : กล้วยมีสารทริปโตเฟนสูง เป็นแหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุ วิตามินบี 6 ช่วยเปลี่ยนทริปโตเฟนเป็นเซโรโทนิน และยังเปลี่ยนให้เป็นเมลาโทนิน ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น กล้วยถูกนำมาใช้บรรเทาอาการภาวะต่างๆ เช่นภาวะเครียด นอนไม่หลับ ซึมเศร้า วิตกกังวล กล้ามเนื้อล้า
4) เอ็นโดฟิน (Endorphin)
ฮอร์โมนแห่งความสดชื่น ทำให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง บรรเทาความเจ็บปวด อารมณ์ดี ครื้นเครง
เทคนิคกระตุ้นเอ็นโดฟิน
• มีวิธีเดียวคือการออกกำลังกายทุกประเภท จะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองดีขึ้น โดยเฉพาะสมองส่วนนอกกลีบหน้า ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ช่วยเพิ่มการหลั่งสารโดพามีน เซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสำคัญ ที่ช่วยปรับให้อารมณ์ดี หายเศร้า หายหดหู่ มีส่วนสำคัญในการต้านโรคซึมเศร้า
สารสร้างสุขทั้ง 4 ไม่ว่าตัวใดก็ตาม ถ้าเรากระตุ้นสมองให้สร้างอยู่เสมอทุกวัน จะเสพสารแห่งความสุขที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จิตใจ ทำให้เป็นคนปล่อยวางปัญหา และมูฟออน (Move On) ได้เร็ว ไม่จมปลักกับความทุกข์ ไม่หวาดวิตกกังวลจนเกินเหตุ ทำให้มีพลังบวกในตัวเอง สามารถส่งผ่านพลังบวกนี้ถึงคนรอบข้างได้ สามารถเป็นแหล่งพลังงานแห่งความสนุกสนาน ความรัก ความผูกพัน ความไว้วางใจ ความสงบผ่อนคลาย และความสดใสมีชีวิตชีวาให้กับผู้อื่นได้
1
เล่มนี้อ่านแล้วได้ประโยชน์ และนำมาปรับใช้ได้ดีมากๆ เลยค่ะ แนะนำให้ทุกคนได้อ่านเล่มนี้ด้วยกันค่ะ
โฆษณา