27 มี.ค. เวลา 09:24 • ความคิดเห็น
โรคบางโรครักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย รักษาอย่างไรก็ไม่หาย บางโรคอยู่เจ็บกระทันหัน โรคผุดตรงนั้นตรงนี้ บางทีก็หาสาเหตุไม่ได้ บ้างไปบนบานศาลกล่าว บ้างไปหาเจ้าพ่อเจ้าแม่ บางโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ ..มันมีหลายเรื่องราว ที่เค้าเรียกว่า กรรม ..
โรคหนึ่ง..ที่โบราณเค้าว่า ลมเพลมพัด ..เกิดเจ็บขึ้นมา ชาวบ้านก็ไปทำบุญทำทาน รดน้ำมนต์ ก็หาย ซึงเคยอ่านเจอ เรื่องที่เค้าแปลมาจากบันทึกของฝรั่งที่เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เค้าก็ว่าคนไทย เจ็บป่วยเค้า ก็รักษาแปลกๆ ไม่ต้องไปกินยาแบบฝรั่ง
บางเรื่องราว มันเป็นเรื่องราวที่เค้าเรียกว่า ตัวกระทำไสยศาสตร์ ..พอไปโดนเข้า ก็เจ็บป่วย เจ็บปวดเหมือนตัวกระทำ ที่ทุกข์ทรมาน ไปเกาะส่วนไหน ก็เหมือนกัดกิน น้ำเลือดน้ำหนองบริเวณนั้น ให้เจ็บปวด เลือดลมก็ไม่ไหลเวียนบริเวณ กายมันเจ็บ จิตก็ต้องทุกข์ทรมานไปด้วย นั่นก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งของจิตดวงนั้น ถึงมีเหตให้เกิดความทุกข์ทรมาน กายเป็นกรรมเกิดขึ้น
คราวนี้ เมื่อเรานำกายนี้ มาสวดมนต์ สร้างบุญกุศลเกิดขึ้น ..กายนี้ก็มีบุญเกิดขึ้น ..เหมือนเราเอากายนี้มาอาบน้ำธรรม แสงสีรัตนะธรรม เกิดเป็นบุญกุศลเกิดขึ้น ..จิตที่มาอาศัยกายเค้าก็คลี่คลายกรรมของเค้าไปด้วย ได้รับบุญนั้นไป ตัวกระทำจิตของเค้าก็สามารถเคลื่อนออกจากกาย เหมือนมีเรี่ยวแรง กินอาหารอิ่มหนำสำราญ ก็จากไป ..เรื่องราวทำนองนี้มันมี
แต่เราไม่ได้สร้างบุญกุศลบารมี ทำบุญทำทานศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ มันก็ย่อมไม่รู้จัก ..เหมือนคนไม่ได้เรียนหนังสือ ก็อ่านเขียนไม่ออก .. แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งเหล่านี้กรรมเหล่านี้ไม่มี นั่นเป็นเรื่องราวที่การรับรู้ของจิตแต่ละดวงรับรู้เรื่องราวคำว่ากรรมนั้นไม่เหมือนกัน
เรื่องน้ำมนต์ ..เราก็เคยสงสัย ทำไมน้ำมนต์จึงมีฤทธิ์ ..อิทธิฤทธิ์ของธรรมก็ เป็นเหมือนน้ำทิพย์ ที่น้ำนั้น ถูกส่องถูกอาบด้วยแสงสีรัตนะ
น้ำที่เกิดด้วยอิทธิฤทธิ์มนต์ดำไสยศาสตร์ คาถาอาคม ที่จิตดวงนั้นท่องบนจนจิตนั้นยึดแน่นในคาถาก็มี แต่มันเป็นสีดำเหมือนโคลนตม สิ่งเหล่านี้ จะยิ่งนำพาให้จิตหลงใหล ลงอบายภูมิ
เรื่องกรรมนั้น เค้าก็มีที่มาที่ไปของเค้า ที่มีรายละเอียดมากมายก่ายกอง จิตเรามันเวียนว่ายตายเกิดมานาน สะสมกรรมมานาน มิใช่ว่า จะมีกรรมแค่อย่างเดียว หากเราศึกษาลงไปลึก ในสิ่งที่เรียกว่า เราเกืดมาชดใช้เวรกรรม ที่เราเคยกระทำไว้ ที่ธาตุทั้งสี่ กายที่เกิดมานั่น ธาตุทั่งสี่รวบรวมไว้ด้วยกรรม เค้าใจจิตมาสะสางกรรม สะสมความดีสร้างบุญกุศล หนีเวรกรรม แต่คนเรามันไม่รู้จักกรรม ไม่รู้จักวิธีที่จะหนีกรรม
มันเลยใช้ชีวิตเพลิดเพลินกับมายาของโลกที่เค้าหลอกให้ยึด ยึดให้จิตนั้นจมอยู่กับกรรม ..ในสิ่งที่เรียกว่าชอบ เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้สำคัญ เหมือนเรามีเพชรพลอยสวยงาม ก็ยึดหวงแหน แม้เจ็บใกล้ตาย ก็นึกถึงเพชรเม็ดนั้น มีความสำคัญ กลัวใครจะแย่งเอาไป ..จิตมันยึดเพชรพลอย เฝ้าเพชรพลอย แล้วจิตจะไปไหนได้ ก็ต้องนั่งเพชรพลอยในสถานที่นั้นเป็นสิ่งสำคัญแก่จิต ..จิตที่มีกรรม
เรื่องที่มองเห็นจิตรับรู้ไม่ได้ เครื่องมืออะไรต่างๆที่มนุษย์สร้างมาก็มองไม่เห็น ตรวจจับก็ไม่ได้ เหมือนความเจ็บปวด บวกว่าเจ็บปวดติดเตียง นอนทุกข์ทรมาน บอกใครว่าปวดเท่าไหร่ เค้าก็ไม่เจ็บปวดกับเรา อย่างดีก็พูดว่า ให้หายไวๆ เค้าแบ่งปันความทุกข์ความเจ็บปวดจากเรือนกายที่จิตอาศัยไม่ได้เลย ..ยิ่งเจ็บใจนี้ มันวัดไม่ได้เลย จองเวรอาฆาตพยาบาทกันมา ..จะเอาเครื่องมืออะไรมาวัด .เอามาพิสุทธิ์กัน ..มันจึงยากที่นำมาคุย ..เหมือนไร้สาระ..มันหลง ..เค้าว่าอย่างนั้น นีมันยุคไหนกันแล้ว ..
โฆษณา