Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Rimping Supermarket
•
ติดตาม
17 พ.ค. 2024 เวลา 12:00 • อาหาร
Rimping Supermarket NimCity Branch
ทำความรู้จัก “สแปม” (Spam) แฮมกระป๋องที่คนอเมริกันร้องยี้ แต่คนเกาหลีชื่นชอบ
ในโลกอาหารกระป๋องมีผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิดที่ประสบความสำเร็จในระดับที่คนทั่วโลกชื่นชอบ แต่สแปม (Spam) กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะครั้งหนึ่งสแปมที่เป็นแฮมกระป๋องเคยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา แต่ทว่าในปัจจุบันชาวอเมริกันกลับเบือนหน้าหนี และกลายมาเป็นชาวเกาหลีที่ชื่นชอบ
เรื่องราวของสแปมต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1937 ในช่วงที่สหรัฐอเมริกา ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในรอบ 100 ปี หรือที่เรียกกันว่า The Great Depression ซึ่งวิกฤตในครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ล้มละลายกันถ้วนหน้า ประชาชนว่างงานและขาดรายได้
แต่อย่างไรก็ตามมีบริษัทแห่งหนึ่งที่เล็งเห็นช่องทางทำเงินมหาศาลจากวิกฤตใหญ่ในครั้งนี้ นั่นก็คือ Hormel Foods Corporation บริษัทอาหารแปรรูปยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา นำโดยเจย์ แคเธอร์วูด ฮอร์เมล (Jay Catherwood Hormel) ลูกชายของผู้ก่อตั้งบริษัท
เขาเกิดไอเดียนำเนื้อหมูส่วนไหล่และขาหลัง ซึ่งเป็นส่วนที่มีเนื้อน้อยและไม่นิยมนำมาทำอาหาร มาปรุงรสด้วยเครื่องเทศ แล้วอัดลงไปในกระป๋อง เรียกว่าสแปม (Spam) ซึ่งมาจากการรวมคำว่า “Spiced” และ “ham” เข้าด้วยกัน แล้วขายในราคาที่สบายกระเป๋า เพื่อให้คนที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงได้
เดิมทีในตอนแรกเป้าหมายของสแปมคือกลุ่มแม่บ้านที่ต้องการอาหารที่มีราคาถูก รวดเร็ว และพร้อมรับประทาน เพราะสแปมเป็นอาหารกระป๋องที่สามารถเก็บไว้นอกตู้เย็นได้ อีกทั้งยังเก็บได้นานเป็นเดือน ๆ แต่ในช่วงเวลานั้นแม่บ้านหลายคนยังคงลังเลที่จะทานอาหารที่ไม่ได้ผ่านการแช่แข็งและปรุงสุก จึงทำให้สแปมไม่ได้ขายดีอย่างที่คิด
จนกระทั่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สแปมก็กลายเป็นอาหารที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในกองทัพทหารสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทหารในกองทัพขาดแคลนแหล่งโปรตีนจำนวนมาก สแปมจึงกลายเป็นแหล่งอาหารที่มีคุณค่า นอกจากนี้สแปมยังถูกส่งไปให้กองทัพทหารที่ออกไปรบนอกชายแดนสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ทำให้ในช่วงเวลานี้เหล่าทหารจำเป็นต้องบริโภคสแปมกันตลอดเวลาตั้งแต่เช้า กลางวัน เย็น เรียกได้ว่าทานกันจนเบื่อไปเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารอเมริกันรู้สึกเบื่อสแปมกันเป็นอย่างมาก พวกเขาบ่นแล้วบ่นอีก แต่ก็มีทางเลือกไม่มากนัก จนเรื่องราวนี้ไปเข้าหูสำนักข่าว The New Yorker เมื่อข่าวได้รับการเผยแพร่บริษัทผู้ผลิตสแปมก็ตอกกลับนักข่าวทันทีว่า “ต่อให้พวกเค้าจะคิดว่าการทานสแปมมันห่วยแตกแค่ไหน แต่พวกเค้าก็ยังจะต้องทานเนื้อพวกนั้นต่อไป จนกว่าสงครามจะสิ้นสุดลง”
ในภายหลังเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ก็ไม่ต้องสงสัยกันเลยว่าชาวอเมริกันโดยเฉพาะเหล่าทหารจะเบื่อสแปมกันมากขนาดไหน แต่อย่างไรก็ตามในวิกฤตยังมีโอกาส เพราะอยู่ดี ๆ สแปมก็กลายเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมากในเกาหลีใต้ เนื่องจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารสหรัฐอเมริกาที่ถูกส่งมาเป็นกองกำลังในเกาหลีใต้ ได้นำสแปมติดตัวมาเป็นเสบียงด้วย โดยพวกเขาได้แบ่งปันสแปมให้ทหารเกาหลีใต้นำไปประกอบอาหาร
ทหารเกาหลีใต้จึงเกิดความคิดสร้างสรรค์นำสแปมมาครีเอทเป็นเมนูที่ผสมผสานวัฒนธรรมของ 2 ประเทศเข้าไว้ด้วยกันนั่นก็คือ บูเดชิเก (부대찌개) หรือที่แปลว่า สตูว์กองทัพ (Army Base Stew) ซึ่งเป็นหม้อไฟเกาหลีที่ปรุงขึ้นจากอาหารเหลือในกองทัพที่มีสแปมเป็นส่วนประกอบ
ดังนั้นหลังจากสงครามสิ้นสุดลงสแปมจึงกลายเป็นอาหารที่ชาวเกาหลีใต้ชื่นชอบ เพราะชาวเกาหลีมักจะนำสแปมมาสร้งสรรค์เป็นเมนูต่าง ๆ เช่นนำมาทอดให้กรอบ ทานคู่กับไข่ดาว กิมจิ และข้าวหุงร้อน ๆ ซึ่งแตกต่างจากทหารสหรัฐที่ไม่ได้นำสแปมมาทำเป็นเมนูอะไรเลย จึงไม่แปลกใจที่พวกเขาจะรู้สึกเบื่อ
เมื่อสแปมกลายเป็นอาหารที่ชาวเกาหลีชื่นชอบ ในปี 1987 CJ Cheil Jedang บริษัทอาหารแปรรูปยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ จึงเข้าไปปรึกษา Hormel เพื่อศึกษาวิธีการทำสแปมให้มีรสชาติถูกปากชาวเกาหลี
ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากบริษัทผู้คิดค้น ทั้งสองบริษัทจึงร่วมมือกันผลิตสแปมเกาหลีขึ้นมา โดยลดความเค็มและผงปรุงรสให้อยู่ในระดับกลางที่เป็นรสชาติที่ชาวเกาหลีชื่นชอบ ซึ่งในช่วงเปิดตัวสแปมเกาหลีก็กวาดรายได้ทั่วประเทศอย่างถล่มทลาย จนวัฒนธรรมการทานสแปมถูกนำไปเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา รายการโทรทัศน์ หนัง ซีรีส์และอื่น ๆ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสแปมได้รับการพัฒนามามากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีรูปแบบใหม่ ๆ ตั้งแต่สูตรลดไขมันและโซเดียมต่ำ ไปจนถึงสูตรผสมเบคอน (Spam with Bacon) เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภค
ท้ายที่สุดถึงแม้ชาวอเมริกันจะเบือนหน้าหนีเพราะความเบื่อหน่าย แต่อย่างไรก็ตามทุกวันนี้สแปมได้กลายเป็นอาหารที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ เพราะสแปมสามารถนำไปรังสรรค์เป็นเมนูได้หลากหลาย เนื่องจากมีความอเนกประสงค์และยังมีรสชาติที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ง่าย หากอยากได้รสชาติที่เค็มหน่อยต้องเลือกสแปมสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าอยากได้สแปมที่รสชาติเบาขึ้นมาต้องเลือกสแปมจากเกาหลี
.
** Spam email
พอเล่าจบมาถึงตรงนี้เราอยากจะเสริมเรื่องราวระหว่างสแปมที่เป็นชื่อเรียกของอาหารกับสแปมที่เป็นอีเมลไม่พึงประสงค์ให้ฟังกันสักหน่อย ว่ากันว่าสแปมที่เป็นอีเมลที่ไม่พึงประสงค์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากภาพร่างที่โด่งดังของ Monty Python ในปี 1970 โดยในภาพร่างนี้เป็นภาพของร้านอาหารหลายร้านที่จำหน่ายแต่เมนูสแปมเต็มไปหมด ดังนั้นคำว่าสแปมจึงถูกนำมาเป็นคำอุปมาสำหรับเนื้อหาที่มากเกินไป
ในยุคแรก ๆ ของอินเทอร์เน็ต เมื่อการใช้อีเมลแพร่หลายมากขึ้น ข้อความอีเมลไม่พึงประสงค์จำนวนมากจึงเริ่มถูกเรียกว่า “สแปม” เพราะข้อความเหล่านี้มักถูกเหวี่ยงแหส่งไปยังผู้รับที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายโดยตรงและมีโฆษณาที่หลอกลวง หรือเนื้อหาที่ไม่เกิดประโยชน์อื่น ๆ ดังนั้นคำว่า “สแปม” ถึงถูกนำมาใช้ เพื่อนิยามอีเมลประเภทนี้นั่นเองค่ะ
สามารถหาซื้อสแปม (Spam) ทั้งของอเมริกาและเกาหลีได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ
ความรู้รอบตัว
ประวัติศาสตร์
อาหาร
บันทึก
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย