Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่าเมาเมาแมน
•
ติดตาม
4 เม.ย. 2024 เวลา 11:12 • ข่าวรอบโลก
ทำไมสหรัฐจึงค่อนข้างเฉยๆกับ hyper sonic missile????
จากคำโฆษณาต่างๆ ที่ออกมา มันทำให้อาวุธชนิดนี้
ดูแล้วน่ากลัวมากจริงๆ
มันดูล้ำยุค เป็นอาวุธเทพ ที่จะสามารถเปลี่ยนดุลอำนาจ
ของโลก และชดเชยข้อด้อยของการไม่มีกองเรือขนาดใหญ่ได้
เชื่อหรือไม่ แม้สหรัฐจะพัฒนาอาวุธนี้เช่นกัน
…แต่พวกเขากลับค่อนข้างเฉยๆกับคำโฆษณาต่างๆที่ออกมา
และไม่ได้กังวลกับมันมากเหมือนที่หลายคนคิด ….
…แถมการพัฒนาของตัวเอง ก็ดูเอ้อระเหยมาก ….
…เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น ???….
คงต้องบอกว่า เหตุผลหลักๆที่สหรัฐนั้นค่อนข้างกังวลน้อย
เพราะพวกเขา “ไม่เชื่อ” ข้อมูลที่ทางรัสเซียหรือจีนโฆษณา
ว่าจะเป็นไปได้มากนัก
จะบอกว่าองุ่นเปรี้ยว ก็คงไม่ใช่
แต่มันเกิดจากองค์ความรู้ จากการทดลองของตัวเอง
และข้อเท็จจริงทางวิศวกรรมมากกว่า
…มันไม่ใช่การไม่เชื่อแบบเลื่อนลอย หรืออคติ….
ถ้าตามนิยามของอาวุธประเภทนี้ คือ จรวดที่เร็วกว่า 5 มัค
เราก็คงบอกได้เลยว่า hyper sonic missile
ไม่ใช่ของใหม่อะไรนัก
…มันมีตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองแล้ว คือเจ้า V2 ของกองทัพนาซีนั่นเอง ในขั้นตอนการพัฒนา มันสามารถทำความเร็วได้
ถึงระดับที่เรานิยาม คือ 5 มัค….
มันมีเหตุผล ที่สหรัฐซึ่งได้วิศวกรรมนาซีมามากที่สุด
จะละทิ้งการใช้มันเพื่อเป็นอาวุธ ตั้งแต่ตอนนั้น
แล้วเปลี่ยนเป็นเน้นใช้กับเทคโนโลยีในการสำรวจอวกาศแทน
…เปล่า ไม่ใช่อเมริกันรักสันติ ….
…แต่ความเป็นจริงทางวิศวกรรม มันทำให้ไฮเปอร์โซนิคฯ
มีข้อจำกัดในตัวเองในตอนนั้น…
…และปัจจัยส่วนมาก ก็ยังเป็นปัญหาถึงทุกวันนี้….
ความเข้าใจผิดว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการสร้างไฮเปอร์โซนิค
มิไซล์ คือ การสร้างเครื่องยนต์จรวดที่ทำความเร็วให้ได้ถึงระดับที่ต้องการนั้น
เป็นความเข้าใจที่ผิดมากๆ ของคนทั่วไป
ความจริงคือ ทุกชาติที่เข้าถึงเทคโนโลยีจรวด
และสามารถส่งจรวดขึ้นวงโคจรได้ สามารถสร้างเครื่องยนต์
เหล่านี้ได้สบายๆ
ปัญหาที่แท้จริงของไฮเปอร์โซนิคฯ คือ วิศวกรรมด้านวัสดุ
…ที่จะต้องหาวัสดุอะไรมาทำ เพื่อไม่ให้มันกัดกินตัวเอง
จนพังก่อนจะถึงเป้าหมาย ….
อะไรคือการกัดกินตัวเองของจรวดประเภทนี้ ?
อธิบายง่ายๆ คือ วัสดุอะไรก็ตามที่มีความเร็วสูงมากๆ
จะเกิดการเสียดสีกับอากาศ จนเกิดการลุกไหม้
และเกิดการแตกตัวของอิออนของตัวมันเอง
จนอาจถึงขั้นทำลายตัวเองได้
ถ้านึกไม่ออก ก็นึกถึงอุกาบาต ที่ตกลงมาบนโลก
ด้วยความเร็วสูงดูได้
มันจะถูกเผาไหม้ จนเหลือแค่ก้อนนิดเดียว เมื่อถึงพื้นโลก
หรืออีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ การกลับสู่พื้นโลก
ของนักบินอวกาศในแคปซูล ที่จะเกิดการลุกไหม้
จากการเสียดสี
และการแตกตัวของอิออน
ก็ทำให้ระบบการสื่อสาร ไม่สามารถทำงานได้
ในขณะที่เกิดการลุกไหม้ที่ความเร็วสูง
ในกรณีแคปซูลเหล่านี้ นักบินอวกาศต้องรีบลดความเร็ว
ทันทีเมื่อทำได้ ไม่งั้นพวกเขาจะถูกหลอมละลายไปพร้อมกับ
แคปซูล จัดเป็นขั้นตอนที่ลุ้นมากที่สุดในการเดินทางในอวกาศ
เลยก็ว่าได้
3
และปัจจุบันยังไม่มีวัสดุธรรมชาติใดบนโลก ที่สามารถทนทาน
การเสียดสีที่อุณหภูมิระดับนั้นได้อย่างยาวนาน
…หรือ ถึงมีคุณก็ไม่สามารถเอามันมาทำจรวดหรือแคปซูลได้
เพราะคุณคงไม่สามารถเอาเพชร มาทำจรวดได้หรอก ….
…มันจึงต้องพึ่งเทคโนโลยีระดับนาโน ในการเข้ามาจัดการ
กับคุณสมบัติของวัสดุเสียก่อน เพื่อให้รองรับการใช้งาน
…ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และมีไม่กี่ชาติ ที่ครองเทคโนโลยีนี้….
ความจริงทางวิศวกรรมที่กล่าวมา
จึงสร้างปัญหาในการพัฒนาอาวุธ hyper sonic หลักๆ
ถึงสามอย่าง ทำให้มีมุมมองว่า ไม่น่าเป็นไปได้
1 การเผาไหม้ตัวเองของมัน อย่างที่เขียนไปแล้ว
2 จะควบคุมมันอย่างไร เมื่อการสื่อสารทำไม่ได้
3 ความเสียหายของระบบจุดระเบิดหัวรบ ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์
ที่จะต้องเกิด เพราะการแตกตัวของอิออนจากวัสดุจรวด
และอุณหภูมิมหาศาล
มันเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น ในระหว่างการทดลอง
ของพวกอเมริกัน ทำให้พวกเขาเข้าใจดีถึงข้อจำกัด
และเป็นที่มาของการไม่เชื่อถึงการมีอยู่ของจรวด
ที่อ้างว่ามีความเร็วถึง 27 มัค ของรัสเซีย
…จรวดเร็วมาก ในขั้นแรก ทำยังไงให้มันไม่พังก่อนกระทบเป้า
หมายปลายทาง และยิ่งระยะทางมาก โอกาสพังก็มีมาก
ดังนั้นพิสัยของจรวดตามอ้างของรัสเซียนั้น ไม่น่าเป็นไปได้
…จรวดน่าจะไร้ความแม่นยำ จนไม่เป็นภัยคุกคามอะไรนักกับ
เป้าหมายเคลื่อนที่ได้ อย่างเรือรบ โดยเฉพาะเมื่อยิงจากระยะไกลมากๆ ตามพิสัยที่รัสเซียเคลมไว้กว่า 4,000 กิโลเมตร
…การติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ จะเป็นไปได้เหรอ เมื่อการจุดระเบิดด้วยอิเล็กทรอนิกส์ที่สลับซับซ้อนของมัน น่าจะถูกทำลาย
ไปจากการแตกตัวของอิออน และแม้แต่หัวรบธรรมดาก็มีปัญหา เพราะไม่รู้จะสั่งมันให้ระเบิดตอนไหน เมื่อระบบหน่วงเวลาอิเล็กทรอนิกส์ถูกทำลายไป
…เหล่านี้ คือปัญหาที่แก้ยากมากๆ ในการพัฒนาอาวุธนี้…
อย่างไรก็ตาม สหรัฐนั้นยอมรับถึงการมีอยู่
ของ hyper sonic missile ที่ระดับความเร็ว 5-12 มัค
และได้พัฒนาระบบป้องกัน เพื่อรับมือไว้แล้ว
เราจะเห็นได้ว่า ระบบอย่าง Kinzhal ของรัสเซียที่ 5 มัค
และ Zircon ที่เกือบ 10 มัค ยังไม่สามารถแหวกแนวรับ
ของยูเครน ที่ใช้ระบบของสหรัฐได้มาก อย่างที่รัสเซียหวังไว้
ถ้าว่าตามผลงานหน้าสมรภูมิ Kinzhal และ Zircon
ก็ต้องถือว่าล้มเหลวค่อนข้างมาก
และหากคำอ้างของฮูตี ถึงการใช้จรวดระดับ 8 มัคโจมตีเรือรบ
อเมริกันเป็นเรื่องจริง ก็จะยิ่งตอกย้ำว่า hypersonic ที่ความเร็วระดับที่สหรัฐเชื่อว่ามีนั้น ยังไม่เป็นภัย กับกองเรือของพวกเขา
ได้อย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่รัสเซีย โดยปูติน พูดถึงมากที่สุดอย่าง
ขีปนาวุธตัวท็อปคือ Avengard ที่อ้างว่ามีความเร็วถึง 27
เท่าของเสียงนั้น
สหรัฐอาจไม่ตัดความเป็นไปได้ออกโดยสิ้นเชิง
แต่พวกเขาให้น้ำหนักค่อนข้างน้อยมาก
คือ เชื่อว่า อาจมี และเร็วได้ขนาดนั้นจริงๆ
แต่ประสิทธิภาพ คงไม่ถึงระดับที่รัสเซียอ้าง
และไม่น่าจะติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ จากข้อจำกัด
ทางวิศวกรรมที่สหรัฐไม่เชื่อ ว่าจะสามารถแก้ไขได้
เมื่ออ้างอิงจากระดับเทคโนโลยีของรัสเซียเอง
ที่ค่อนข้างจำกัด ในด้านนี้
( รัสเซียไม่มีเทคโนโลยีนาโน ที่จะปรับปรุงวัสดุได้)
และถึงมี และประสิทธิภาพสูง สหรัฐก็เขื่อว่า
มันจะไม่มีจำนวนมากมายอะไรนัก จากการจัดหาวัสดุ
ที่ค่อนข้างยากนั่นเอง
…ซึ่งตรรกะที่สหรัฐใช้มองรัสเซีย พวกเขาก็มองอาวุธ hypersonic ของจีน คือ DF-41 ไว้แบบเดียวกัน…
…ดังนั้น การปล่อยข่าวของฮูตี และการทดลองเครื่องยนต์
hypersonic ของเกาหลีเหนือ เมื่อสองวันก่อน สหรัฐจึงแทบไม่ให้ค่าอะไรเลยกับข่าวเหล่านี้ ….
…ทำนองว่า ลูกพี่เอ็งยังทำไม่ได้เลยนั่นแหละ….
DF-41 ของจีน ที่อ้างว่าทำความเร็วได้ 25 มัค และ Avengard ของรัสเซียที่อ้างไว้ถึง 27 มัค เป็นไปได้จริงๆหรือไม่ เมื่อคิดตามหลักวิศวกรรม ???
อย่างไรก็ตาม สหรัฐเองก็ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้เช่นกัน
และแม้เหมือนจะมาช้า แต่ค่อนข้างชัวร์กว่า
เชื่อกันว่า ที่จริงสหรัฐนั้น สามารถทำได้นานแล้ว
แต่ด้วยการกำหนดมาตรฐานที่จุกจิกของกองทัพสหรัฐ
ที่มากกว่าทางรัสเซียหรือจีนมาก
ทำให้มันถูกตีความว่าล้มเหลวมาตลอดเวลา
Dark eagle คือชื่อจรวดประเภทนี้ของสหรัฐ
มันถูกเคลมความเร็วไว้ที่ 18 มัค ช้ากว่าสิ่งที่ปูตินเคลมไว้
กับ Avengard แต่เชื่อว่าเร็วมากพอที่จะป้องกันไม่ได้
และมันถูกแก้ปัญหาทางวิศวกรรมที่กล่าวมาได้เกือบทั้งหมด
ปัญหาอย่างเดียวของ Dark eagle ก็คือ ราคา
ทีแพงมโหฬารถึง 40 ล้านดอลลาร์ต่อหนึ่งลูก
จากความยากของมันเอง ในการแก้ปัญหาทางเทคนิคต่างๆ
1
ในขณะที่ ขีปนาวุธที่ทรงอานุภาพมากกว่า เพราะติดหัวรบได้ใหญ่กว่า แน่นอนกว่า คือ trident ของพวกเขานั้น
กลับมีราคาแค่ราว 2-5 ล้านเหรียญ
มันจึงทำให้สหรัฐนั้นคิดหนักมาก ว่าจะประจำการดีหรือไม่
ก่อนสุดท้ายก็ส่งมันกลับไปอยู่ในขั้นวิจัยพัฒนาเหมือนเดิม
คาดว่า คงเด้งโครงการกลับไป เพื่อหาทางลดราคา
มากกว่าเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อจะได้ผลิตจริงได้มากๆนั่นเอง
แต่จะว่าไม่มีใช้คงไม่ใช่ ก็คล้ายๆ F-35 ซึ่งอยู่ในสถานะ
แบบเดียวกัน
Dark eagle ของสหรัฐ แท้งแล้วแท้งอีก เพราะความหยุมหยิมของตัวเอง 😅
สหรัฐนั้น มีที่ถือดีที่สุดคือ กองเรือขนาดใหญ่
และกระจายอยู่ทั่วโลก
1
มันทำให้พวกเขาไม่มีความจำเป็นอะไรนัก
กับขีปนาวุธความเร็วสูงมากๆ เพื่อทำลายเป้าหมายระยะไกล
แบบไม่ให้ตั้งตัวได้
เพราะพวกเขาสามารถเอาเรือเข้าไปจ่อยิงในระยะใกล้ๆได้
โดยเฉพาะ trident จากเรือดำน้ำ ที่ยากมากกับการตรวจจับ
ประกอบกับโครงข่ายดาวเทียม ที่มากกว่า 90% ของโลก
เป็นของพวกเขา มันทำให้พวกเขาค่อนข้างแน่ใจกับการควบคุมดุลอำนาจทางยุทธศาสตร์เอาไว้ให้เหมือนเดิมได้
ดังนั้น hyper sonic missile จึงมีน้ำหนักน้อย
ในสายตาของพวกเขา เมื่อมองจากมุมตัวเอง
และการถือดีด้านเทคโนโลยีนั้น ก็ทำให้พวกเขาเขื่อ
ว่าถ้าเมื่อตัวเอง ทำไม่ได้ มันก็ยากที่จะมีคนอื่นทำได้
มันอาจดูจองหอง ที่สหรัฐคิดแบบนั้น
แต่จะว่ามันเกินความเป็นจริงก็คงไม่ถูกเหมือนกัน
เพราะต้องยอมรับว่าระดับเทคโนโลยีของสหรัฐนั้น
สูงกว่าชาวบ้านเขาจริงๆ ในทุกๆด้าน
อีกอย่าง คือ hyper sonic missile นั้น
ก็ไม่ใช่อาวุธที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เข้าใจ
และค่อนข้างจะผิดคอนเซ็ปท์ของอาวุธสไตล์อเมริกัน
4
คือ ถึงแม้มันจะมีความเร็วมาก จนตั้งตัวไม่ทัน
แต่ก็ถูกตรวจจับได้ง่าย เพราะการแตกตัวของอิออน
และอุณหภูมิที่สูงมาก จะถูกตรวจพบได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเครือช่ายดาวเทียมของพวกเขา
นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน เชื่อว่า การจุดระเบิดและนำร่อง
ของขีปนาวุธประเภทนี้นั้น จะไม่ไฮเทคนัก เป็นการหน่วง
เวลาแบบอนาล็อก เพื่อไม่ให้ถูกทำลายไปในระหว่างจรวด
ทำงานที่ความเร็วสูง
และการนำร่อง ก็น่าจะเป็นแบบคำนวณล่วงหน้าแล้ว
ปัอนข้อมูลทีเดียว เหมือนจรวดรุ่นเก่า
เพื่อตัดปัญหาการนำร่องแบบ real time ที่จะทำไม่ได้
เมื่อสูญเสียการสื่อสารกับตัวขีปนาวุธ
ในสายตาสหรัฐแล้ว hyper sonic ยังน่ากลัวน้อยกว่า
ขีปนาวุธที่ยิงสู่ชั้นบรรยากาศแบบดั้งเดิมของรัสเซียเสียอีก
1
เพราะในความเป็นจริงแล้ว จรวดที่ทิ้งตัวจากชั้นบรรยากาศ
ก็มีความเร็วไม่ได้น้อยกว่า hyper sonic ที่กำลังพัฒนากัน
เท่าไหร่เลย มันสามารถทำความเร็วได้เกือบ 20 มัค
เมื่อทิ้งตัวจากจุดสูงสุดบนชั้นบรรยากาศ
2
หมายความว่า หากสหรัฐไม่สามารถสกัดจรวดรัสเซีย
ได้ตั้งแต่ขาขึ้น พวกเขาก็ต้องเจอกับ hyper sonic อยู่แล้ว
การเพิ่มขึ้นของ hypersonic แบบใหม่ของรัสเซีย
มันจึงไม่ต่างกับแผนรับมือเดิมของพวกเขานัก
แถมจรวดพวกนี้ ยังมีความแม่นยำสูง
เทคโนโลยีเชื่อถือได้ จากความชำนาญที่มากกว่า
ที่สำคัญ คือมันติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ ได้อย่างแน่นอนนั่นเอง
…จะว่าไป มันก็ตลกดีเหมือนกัน ที่สหรัฐจะกลัวของเก่า
มากกว่าของใหม่ที่ปูตินพยายามใช้ข่มขวัญพวกเขาน่ะนะ….
…บางที ที่ว่าใหม่ มันก็ไม่ใช่จะดีกว่าเสมอไป…
…และที่ช้ากว่าก็ไม่ได้หมายความว่าแย่กว่าเหมือนกัน….
อ้างอิง
ข้อมูลทฤษฎีเชิงวิศวกรรม (ละเอียดครับ ลองอ่านดู)
https://www.geostrategy.org.uk/research/hypersonic-weapon-systems-high-expectations/
การทดลองของเกาหลีเหนือ
https://www.business-standard.com/world-news/here-s-why-north-korea-is-testing-hypersonic-missiles-and-how-do-they-work-124040300308_1.html
อันดับความเร็วของขีปนาวุธที่มากที่สุด ตามที่แต่ละชาติเคลม
( ไม่คอนเฟิร์มว่ามีจริง)
https://www.ssbcrack.com/2024/02/fastest-missiles-in-the-world.html
การทดลองล่าสุดของสหรัฐ
https://edition.cnn.com/2024/03/21/asia/us-tests-hypersonic-missile-pacific-guam-intl-hnk-ml/index.html
ช้าแต่ชัวร์ ตามสไตล์เมกัน หรือมีแล้วซุ่มเหมือนเดิม ก็ลองคิดดูกัน
สหรัฐอเมริกา
ข่าวรอบโลก
เทคโนโลยี
2 บันทึก
20
11
3
2
20
11
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย