13 เม.ย. เวลา 05:45 • สุขภาพ

แตงกวา ผลไม้ฉ่ำน้ำแคลต่ำ สารอาหารสูง แต่ควรกินอย่างระวัง!

แตงกวา ฉ่ำน้ำสดชื่น! กินกับอะไรก็อร่อย แถมยังสามารถนำมาบำรุงผิวหน้าได้เริ่ดอีก แนะประโยชน์และข้อควรระวังที่กินมากไปอาจเป็นเกาต์ได้!
แตงกวา ( Cucumber) หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นผัก แต่อันที่จริงแตงกวาเป็นผลไม้ พืชไม้เลื้อยฉ่ำน้ำที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับแตงโม มะระ ฟักทอง บวบ มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 95% อีกทั้งยังมีแคลอรี่ต่ำเพียง 16 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม เท่านั้น
แต่กลับอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินเค เบต้าแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทีน รวมถึงสารลิกแนน ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่พบได้ในเมล็ดพืชด้วย
แตงกวา
แตงกวา ได้รับความนิยมมากเพราะสามารถ กินแนมกับน้ำพริกต่าง ๆ ลาบ อาหารจานเดียว เพราะมีรสชาติสดชื่นเพราะเป็นผักที่มีน้ำมากตัดกับรสชาติอาหารแก้เลี่ยนได้ จึงช่วยในการผ่อนคลายความเผ็ดได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันมีการใช้แตงกวานำไปผสมในเครื่องสำอางต่าง ๆ เพื่อช่วยป้องกันผิวแห้งกร้าน ช่วยในการสมานผิว ทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวล เป็นต้น
สรรพคุณของแตงกวา
  • แตงกวามีสรรพคุณช่วยแก้กระหาย ลดความร้อนในร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
  • แตงกวามีสารฟีนอลที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านมะเร็งบางชนิด
  • ช่วยเสริมสร้างการทำความของระบบประสาท เพิ่มความจำ
  • ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ
  • น้ำแตงกวามีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดอาการบวมน้ำ
จากผลงานวิจัยพบว่าแตงกวามีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออ่อน ๆ ในการช่วยยับยั้งแบคทีเรีย กระตุ้นลำไส้เล็กและมดลูกให้หดตัว กระตุ้นการสร้างแบคทีเรีย ยับยั้งไทรอยด์เป็นพิษ ต่อต้านการกลายพันธุ์ ต้านการเจริญเติบโตของเนื้องอก ช่วยฆ่าพยาธิ กระตุ้นการสร้าง interferon ช่วยไล่แมลง ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ลบรอยแผลเป็น เป็นต้น
แตงกวาอุดมไปด้วยสารสำคัญหลายชนิดที่มีผลต่อการสร้างเสริมสุขภาพผิวที่ดี และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ที่ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติหรือ Natural Moisturizing Factors (NMFs) และยังมีกรด ที่ช่วยทำให้เกิดความยืดหยุ่นแก่ผิวด้วย อีกทั้งยังมีสารแอนโทแซนทิน (Anthoxanthins) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ ลดอาการปวดข้อเข่าและช่วยต้านเชื้อวัณโรคได้
ข้อควรระวังการกินแตงกวา
ถ้าจะนำแตงกวามาปั่นทานทุกวันก็ไม่อาจจะไม่ค่อยเป็นผลดีต่อสุขภาพสักเท่าไหร่ เพราะแตงกวามีกรดยูริก โดยเฉพาะถ้าเป็นการนำมาปั่นสด ๆ ร่างกายอาจจะสะสมกรดยูริกเข้าไป ถ้าหากร่างกายกำจัดออกไม่หมด ก็จะไปสะสมทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนแคลเซียมในกระบวนการสร้างเซลล์กระดูก ความแข็งแรงของเม็ดเลือด ผลที่ตามมาอาจทำให้เกิดอาการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเกาต์
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้ออยู่แล้วก็ควรระวังให้มาก
จึงควรกินอย่างเหมาะสมไม่มาก หรือ ไม่น้อยเกินไป และเลือกกินอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดสุรินทร์
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา