23 เม.ย. เวลา 11:34 • สุขภาพ

ยาพาราเซตามอลกลายเป็นยาพิษสามัญประจำบ้าน

เราเข้าใจผิดว่า ยาพาราเซตามอล เป็นยาที่ใช้รักษาโรคได้ เพราะเวลามีไข้ กินแล้วไข้หาย พอมีไข้อีกก็กินอีก จนกลายเป็นความเชื่อว่า เวลามีไข้ต้องกินยาพาราเซตามอลไปแล้ว
ความจริง คือ ยาพาราเซตามอล มีไว้แค่  บรรเทาอาการปวด/อาการไข้ ไม่ได้ช่วยให้โรคหาย และ เป็นยาที่มีอันตราย แม้กินเพียงไม่กี่เม็ด ก็อาจก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ และไตได้อย่างรุนแรง
ขนาดสูงสุดของ ยาพาราเซตามอล ที่เคยเป็นที่ยอมรับ คือไม่เกิน 2000- 3000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือ เท่ากับ พาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัม 4-6 เม็ด เนื่องจากเป็นยาที่มีฤทธิ์อ่อน คนส่วนใหญ่ จึงนิยมกินพาราเซตามอล  ครั้งละ 2 เม็ด และ  ความที่เป็นยาออกฤทธิ์สั้น จำเป็นต้องกินกันบ่อย ๆ ทุก 4-6 ชั่วโมง ทำให้มีโอกาสที่คนไข้ จะได้รับยาในขนาดที่เป็นพิษได้สูง
ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมานี้  มีรายงานต่อเนื่อง ถึงการรับประทานยาพาราเซตามอล ในขนาดที่เข้าใจว่าปลอดภัย แต่ลงเอยด้วยการที่ผู้ป่วยเสียชีวิต  ส่งผลให้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ได้สั่งยกเลิก พาราเซตามอล ในขนาด 500 มก และ กำหนด ให้ขายเพียงขนาด 325 มก เท่านั้น
ยาที่แพทย์ใช้รักษาพิษ ของพาราเซตามอล มีชื่อว่า N-acetyl cysteine หรือ แนค (NAC) ในประเทศไทย แนค (NAC) ได้ถูกจดทะเบียนเป็นยาละลายเสมหะ ที่มีชื่อทางการค้าว่า Fluimucil, Naclong, หรือ Flemex AC OD ขนาดที่ใช้คือ 600 มิลลิกรัม ต่อวัน เนื่องจากเป็นยา ที่แทบจะไม่มีผลข้างเคียง จึงสามารถกินต่อเนื่องได้ทุกวัน แม้ในคนที่ไม่มีเสมหะก็ตาม
ผู้เขียน จึงขอแนะนำให้คนทุกคน เลี่ยงการใช้ยาพาราเซตามอล โดยไม่จำเป็น ถ้ามีไข้  ควรเลือกวิธีเช็ดตัวลดไข้ แต่หากจำเป็นต้องใช้  ยาพารา ก็ควรกินแนค (NAC) ร่วมด้วย
เวลาที่คนไข้ที่มีไข้ และ มาโรงพยาบาลด้วยปัญหา  ตับอักเสบ แพทย์ส่วนใหญ่ จะคิดถึงแต่โรคติดเชื้อ  ที่ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ และ ไม่ได้คิดว่า ตับอักเสบนั้น  อาจเป็นผลจาก ยาพาราเซตามอล นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น คนที่เป็นโรคไข้เลือดออก คนไข้เหล่านี้  บางรายจะมีไข้สูงตลอดวัน หลังจากการกินยาพาราเซตามอล ไข้ก็ลดลงไม่มาก สักพักไข้ก็กลับมาสูงอีก ทำให้คนไข้  ต้องใช้ยาพาราเซตามอลอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่ได้ตระหนักว่า ในคนที่เป็นโรคไข้เลือดออก และ ตับมีการทำงานที่บกพร่องอยู่แล้ว การใช้ยาพาราเซตามอล แม้เพียงเล็กน้อย อาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ รุนแรงมากขึ้น  ถึงขั้นเสียชีวิตได้
ผู้เขียนเคยได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยอายุ 16 ปี รายหนึ่ง ที่มาโรงพยาบาลด้วยโรคไข้เลือดออก มีระดับเอนซัยม์ตับสูงมาก (SGPT > 4000) และอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว ญาติได้รับแจ้งไปว่าเด็กคงไม่รอดชีวิต หลังจากที่ผู้เขียนไปดูในตอนดึก ก็ได้สั่งการรักษาด้วยการใช้ แนค (NAC) ขนาดสูงหยดทางหลอดเลือด วันรุ่งขึ้น ระดับเอนซัยม์ตับก็ลดลงเกือบ 10 เท่า เด็กเริ่มรู้สึกตัว และกลับบ้านได้ใน 3 วันต่อมา
ไม่เพียงแต่ ยาพาราเซตามอล จะมีพิษต่อตับ แต่ยังมีพิษต่อไตอีกด้วย ผู้เขียนมีคนไข้ที่มาด้วยปัญหาไตวาย  โดยไม่ทราบสาเหตุ พอซักประวัติก็ทราบว่า คนไข้กินพาราเซตามอลวันละ 1-2 เม็ด เกือบทุกวัน บางรายก็บอกว่า ปวดศีรษะ พอตรวจดู  ก็พบว่าเป็นความดันโลหิตสูง เมื่อได้ยาลดความดัน อาการปวดศีรษะก็หาย มีอยู่รายหนึ่ง  ที่กินพาราเซตามอลทุกวัน เพราะกินแล้วไม่ปวดไม่เมื่อย ทำงานได้ดี เลยเข้าใจผิดว่า  เป็นยาชูกำลัง กินได้ทุกวัน ลงท้ายก็กลายเป็นโรคไตวายเรื้อรัง
รศ.ดร.นพ. พัฒนา เต็งอำนวย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคไตเคยได้รักษาคนไข้ตั้งครรภ์ 26 สัปดาห์ (เกือบ 7 เดือน) ที่มาโรงพยาบาลด้วยอาการ ไม่มีปัสสาวะมา 3 วัน ซักประวัติพบว่า
ผู้ป่วยมีปัญหาปวดน่องอย่างรุนแรง  จึงไปคลินิก ได้ยาฉีดแก้ปวด วันละเข็มติดต่อกันสามวัน หลังจากนั้น ปัสสาวะลดลง  จนกระทั่งไม่มีปัสสาวะออก ผู้เขียนจึงได้ให้ NAC ขนาดสูงเข้าทางหลอดเลือด และ ตามด้วยการล้างไต ภายหลังการล้างไตได้ 3 ชั่วโมง ผู้ป่วยก็เริ่มมี ปัสสาวะออกมาเรื่อย ๆ จำนวนมาก และ การทำงานของไต ก็กลับสู่สภาพปกติ และคลอดบุตรเป็นปกติในสองเดือนถัดมา
ขอย้ำว่า พาราเซตามอล ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นยาที่มีพิษ ไม่ควรคิดว่า จะกินเท่าไร ก็ไม่มีอันตราย หรือ  คิดว่า ทุกครั้งที่เป็นไข้ จำเป็นต้องกินยาพาราเซตามอล
ขอให้คำแนะนำใหม่ว่า  เมื่อเป็นไข้  การเช็ดตัวลดไข้ จะปลอดภัยกว่าการใช้ยา
เพราะการกินยาพาราเซตามอลพร่ำเพื่อ เพราะเข้าใจว่า ช่วยให้หายจากโรค อาจส่งผลให้เราหายไปจากโลกแทนได้ครับ
---------------
Cr.รศ.ดร.นพ. พัฒนา เต็งอำนวย
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคไต
โฆษณา