22 เม.ย. เวลา 13:22 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Wonka: ความฝัน ความหวัง และอิสรภาพ Part 1

“ตามมาสิ เชิญทางนี้
สู่ดินแดนที่ใจได้จินตนาการ
เปิดใจมองจะได้เจอ
ถึงข้างในของจินตนาการ
เรามาประเดิม แต่งเติมโลก
ที่ตั้งใจสร้างมานาน
เธอจะพบความเลิศเลอเหนือคำกล่าวขาน”
เชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยรู้จัก
และได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์
ของโรงงานช็อกโกแลตอันเลื่องชื่อ
ของ “วิลลี่ วองก้า” กันมาบ้างแล้ว
และก็คงมีหลายคนที่อาจจะสงสัยว่า
ที่มาที่ไปของชายปริศนาผู้สามารถ
เนรมิตรช็อกโกแลตออกมาได้
“อร่อยอย่างน่าเหลือเชื่อ”
ผู้นี้มีที่มาที่ไปจากไหนยังไงบ้าง?
ก่อนที่เขาจะสามารถเปิด
โรงงานชื่อก้องโลกนี้ขึ้นมาได้ในที่สุด
ซึ่งเรื่องราวของนักทำช็อกโกแลตแสนมหัศจรรย์ผู้นี้
จะมอบแง่คิดและแรงบันดาลใจต่างๆ มากมาย
ให้กับทุกคนที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเขาอย่างแน่นอน
ฉะนั้นจากนี้เราจะมาเติมพลังใจให้เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน
และร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมกัน
ว่า ทำไม “วิลลี่” ถึงกลายเป็น “วองก้า”
เขียนบทความโดย: แอดอาร์ต เจไดผู้คลั่งรักช็อคโกแลต 🍫🍫
บทที่ 1: หมวกฉันใส่ฝันเต็ม 🎩
“7 ปีแล้วที่ท่องมหาสมุทรสุดเวิ้งว้าง
7 น่านน้ำครั้งนี้ต้องถึงวันโบกมือลา
7 ปีที่หวังหมายมั่นได้มาเหยียบเมืองปลายทาง
ณ ที่เส้นขอบฟ้าตรงนั้นไง ได้ยินเสียงระฆังเรียกหา”
.
.
.
เสียงร้องนุ่มละมุนชวนฝันจาก “วิลลี่ วองก้า”
ชายหนุ่มปริศนาที่โลกนี้ยังไม่เคยรู้จัก
บัดนี้เขาได้เดินทางมาถึงยังเมืองแห่งหนึ่ง
ซึ่งที่เป็นที่ตั้งของห้างดัง “แกเลอรี่โกร์เมต์”
แหล่งรวมของร้านช็อกโกแลตชื่อดังอันดับต้นๆ ของโลก
โดยวิลลี่ ตั้งใจเดินทางมาที่นี่
เพื่อทำตามความฝันของเขา
ความฝันที่จะเปิดร้านช็อกโกแลต
ที่จะทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง
ไปกับช็อกโกแลตแสนมหัศจรรย์
แต่สิ่งที่ วิลลี่ มีติดตัวมามีเพียงแค่
เสื้อคลุมที่แทบจะเหมือนกับผ้าขี้ริ้ว
กระเป๋าหีบเก่าๆ ที่แทบดูจะใช้งานไม่ได้
รองเท้าบู๊ทขาดรั่วที่ใส่เดินก็มีน้ำซึมเข้าไปอยู่เรื่อย
และเงิน 12 เหรียญที่เก็บหอมรอมริบเอาไว้
พร้อมหมวกหนึ่งใบที่ใส่ “ความฝัน”
เอาไว้เต็มเปี่ยม (A Hatful of Dreams)
กระทั่งเมื่อเดินทางเข้าไปถึงยังตัวเมือง
เขาก็ต้องพบกับโลกความจริงอันแสนโหดร้ายที่ว่า
ในเพียงหนึ่งวันนั้นมันช่างยากเหลือเกิน
ที่จะสามารถเก็บเงิน 12 เหรียญเอาไว้กับตัวได้
เพราะมีปัจจัยต่างๆ มากมายที่ทำให้
ต้องจ่ายเงินเหล่านั้นออกไป
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อ
แผนที่ร้านอาหารสักหนึ่งเล่มราคา 1 เหรียญ
ยืนอยู่ดีๆ ก็มีเด็กตีเนียน
มาขัดรองเท้าให้คิดราคาอีก 1 เหรียญ
ไปเลือกซื้อฟักทองที่บังเอิญเซ่อซ่าทำร่วง
จนแม่ค้าขอให้จ่ายมา 3 เหรียญ
เด็กขัดรองเท้าเจ้าเก่ายังตีเนียน
ตามมาขัดให้อีกรอบต้องเสียไปงงๆ อีก 1 เหรียญ
หนำซ้ำยังไล่ตามฉีดน้ำหอมให้
ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ได้ต้องการคิดราคาไปอีก 1 เหรียญ
ไปยืนฝันกลางวันมโนถึงร้านในจินตนาการ
ที่ตั้งใจจะเปิดในห้างแกเลอรี่โกร์เมต์แห่งนี้
ก็ต้องเสียค่าปรับให้กับนายตำรวจไปอีก 3 เหรียญ
เพราะสถานที่แห่งนี้มีกฎน่าขันว่า “ห้ามฝันกลางวัน”
และในขณะที่กำลังเดินหาที่พักแรมชั่วคราวนั้น
ก็มีหญิงที่กำลังอุ้มลูกน้อยวัยแรกเกิด
มาขอเศษเงินกับเขาอีก 1 เหรียญ
ที่สุดท้ายแล้ว วิลลี่
ก็ต้องยอมรับว่าเขาเหลือเงิน
ให้ใช้อีกเพียง 1 เหรียญเท่านั้น
แต่ความโชคร้ายก็ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น
เพราะดันเล่นพิเรนโยนเหรียญสุดท้ายนี้
ขึ้นไปกลางอากาศเพื่อตั้งใจ
ให้มันตกกลับมาใส่กระเป๋าบนเสื้อคลุม
แต่มันก็แสนเก่าสุดโทรม
มีรอยขาดในช่องกระเป๋านั้นพอดี
ทำให้เหรียญตกทะลุออกไปยังท่อระบายน้ำเบื้องล่าง
ที่ผลลัพธ์สุดท้ายแล้วทำให้ วิลลี่
ไม่เหลือเงินไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้เลย
แต่ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความฝันรายนี้
ก็ยังมองโลกในแง่ดีและยังยิ้มได้
เชื่อว่าสิ่งที่เขาคิดและตั้งใจ
จะทำจะต้องเกิดผลสำเร็จอย่างแน่นอน,,,
บทที่ 2: ยินดีต้อนรับสู่ร้านสครับบิทและบลีชเชอร์ 🧺
ขณะที่เขากำลังตั้งใจจะนอนพักแรม
ที่บริเวณม้านั่งแห่งหนึ่งนั้น
ก็มีชายปริศนาร่างยักษ์เดินเข้ามาทักทาย
ด้วยน้ำเสียงอันแสนเจ้าเล่ห์
พร้อมแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อวิลลี่
ว่าถ้าหากนอนค้างคืนที่นี้
เขาจะต้องหนาวจนแข็งตายแน่นอน
และหากกำลังขัดสนเรื่องเงินอยู่แล้ว
เขาก็พอจะมีคนรู้จักที่อาจช่วยได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น วิลลี่ ผู้แสนไร้เดียงสา
ก็ตัดสินใจเดินตามชายปริศนารายนี้ไปอย่างทันที
ซึ่งสถานที่ที่ชายปริศนานำไป
ก็คือร้านซักรีดกึ่งที่พักชื่อว่า “สครับบิท แอนด์ บลีชเชอร์”
โดยเจ้าของร้านคือ “คุณนายสครับบิท”
และชายปริศนาผู้นี้ก็มีนามว่า “บลีชเชอร์” นั่นเอง
เมื่อ วิลลี่ ย่างก้าวเข้าไปภายในร้าน
คุณนายสครับบิทก็ทำการ
ต้อนรับเขาเป็นอย่างดีดุจแขกผู้ทรงเกียรติ
ทั้งยังให้เด็กรับใช้นามว่า “นูเดิล”
นำเหล้าจินมาเซิร์ฟเป็นเครี่องดื่มให้ด้วย
วิลลี่ จึงถือโอกาสแนะนำตัวเองว่า
เขานั้นเป็นทั้งนักทำช็อกโกแลต
นักมายากล และนักประดิษฐ์
และหากเขาได้นำเสนอผลงานอันสร้างสรรค์
ให้กับโลกเมื่อไหร่
ก็จะกลายเป็นคนร่ำรวยอย่างแน่นอน
เมื่อคุณนายสครับบิทเห็นว่าวิลลี่กำลังตกที่นั่งลำบาก
เกี่ยวกับเรื่องเงินอยู่นั้น
เธอจึงยื่นข้อเสนอสุดพิเศษให้
เป็นห้องพักสุดหรูระดับผู้ประกอบการ
ให้สมกับความสามารถที่เปี่ยมล้นของเขา
ด้วยราคาค่าห้องต่อหนึ่งคืนเพียง “1 เหรียญ” เท่านั้น
รวมถึงยังสามารถจ่ายในวันพรุ่งนี้
หลังเช็คเอาท์ได้อีกด้วย
นั่นแปลว่านี่คือโอกาสให้วิลลี่
ที่ไม่เหลือเงินติดตัวแม้แต่เหรียญเดียว
มีเวลามากพอที่จะไปขายช็อกโกแลต
เพื่อนำเงินมาจ่ายคุณนายสครับบิทได้ทัน
วิลลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบตอบรับข้อเสนอ
ของคุณนายสครับบิทอย่างทันที
พร้อมแสดงความขอบคุณ
ต่อน้ำใจอันมากล้นที่หยิบยื่นให้กับเขา
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่านั่นเป็นกับดัก
ที่อีกฝ่ายเตรียมเอาไว้
เพื่อใช้ล่อเหยื่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบเขา
ให้เข้ามาติดกับ
และในขณะที่วิลลี่กำลัง
จะทำการเซ็นชื่อลงในสัญญาเข้าพัก
หนูน้อย “นูเดิล” ที่กำลังแอบดูอยู่ด้านหลัง
ก็ได้พยายามส่งสัญญาณเตือน
และกระซิบบอกกับว่า “ให้อ่านแนบท้ายสัญญาดีๆ ก่อน”
วิลลี่ชที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
และได้ทำการคลี่สัญญาในส่วนท้ายที่ถูกพับเอาไว้
จนได้พบว่ามีส่วนแนบท้ายสัญญา
ถูกพับเก็บเอาไว้ยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว
แต่คุณนายสครับบิทก็ได้บอกกับวิลลี่ว่า
“อย่าไปฟัง นูเดิล เลย เธอเป็นเด็กกำพร้า
ที่มีอาการหวาดระแวงตลอดเวลา
และกลัวแต่คนจะคอยมาเอาเปรียบเธอ”
วิลลี่ที่แอบเอะใจกับคำเตือนของเด็กน้อย
จึงพยายามลองอ่านรายละเอียดของสัญญาดูอีกครั้ง
ทว่าไม่ทันไรเขาก็ตัดสินใจเซ็นชื่อลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ทำเอาทั้งคุณนายสครับบิทและบลีชเชอร์
ต่างงุนงงไปตามๆ กันว่า วิลลี่
พึงพอใจกับสิ่งที่อยู่ในรายละเอียดสัญญา
ที่แสนเอาเปรียบนี้ได้ยังไง?
เมื่อแผนการทุกอย่าง
เป็นไปตามเป้าเรียบร้อยแล้ว
คุณนายสครับบิทจึงรีบไปจัดการกับ
เจ้าตัวแสบอย่าง นูเดิล
ที่เข้ามายุ่งจุ้นจ้านกับธุรกิจของเธอไม่เข้าเรื่อง
และเกือบทำให้แผนการอันฉ้อฉลนี้ถูกเปิดโปงอีกด้วย
โดยจับเด็กเข้าไปขังไว้ในห้องใต้หลังคา
เป็นเวลาหนึ่งคืนเพื่อเป็นการลงโทษ
พร้อมเตือนว่าหาก นูเดิล
ยังเข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องอีก
เธอจะต้องอาศัยอยู่ในห้องนี้ไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
บทที่ 3: โฮเวอร์ช็อก 🪽
เช้าวันต่อมา วิลลี่ก็รีบมุ่งหน้าไปยัง
สถานที่แห่งการเติมเต็ม
ความฝันอันยิ่งใหญ่ของเขาอย่างทันที
นั่นคือห้างสรรพสินค้า “แกเลอรี่โกร์เมต์”
ที่เป็นศูนย์รวมของร้านช็อกโกแลตชื่อดังประจำเมืองนี้
ทันใดนั้น วิลลี่ ก็ได้วางหีบกระเป๋าของเขาลง
พร้อมตั้งไม้คฑาประจำตัวที่มีธงรูปตัว W ห้อยอยู่
เป็นสัญลักษณ์การค้าของแบรนด์ Wonka
พร้อมตะโกนเรียกเหล่าผู้คน
ที่เดินผ่านไปมากลางห้างแห่งนี้
“สวัสดีผู้มีเกียรติทุกๆท่าน
ผมมีชื่อว่า ‘วิลลี่ วองก้า’
มาเพื่อนำเสนอของกินได้อันน่าเหลือเชื่อ
ที่โลกนี้ยังไม่เคยได้เห็น
ผมขอเสนอ โฮเวอร์ช็อก (Hoverchocs)”
เมื่อ วิลลี่ เปิดฝาขวดโหลที่มีช็อกโกแลต
รูปทรงแปลกตาอยู่ภายใน
ก็ได้ทำให้ทุกคนที่ยืนดูการสาธิตอยู่นั้น
ต่างต้องอึ้งกับสิ่งที่เห็นไปตามๆ กัน
เมื่อช็อกโกแลตเหล่านั้นโผบินออกมาจากขวดโหล
ล่องลอยไปกลางอากาศ
ราวกับมีเวทย์มนตร์อะไรบางอย่าง
ที่ทำให้มันบินได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
แต่ขณะที่ วิลลี่กำลังเผย
ช็อกโกแลตสุดมหัศจรรย์ให้โลก
ได้ตกตะลึงอยู่นั้น
กลุ่มร้านค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้ง 3
ที่นำโดย สลักเวิร์ธ, ฟิกเคิลกรูเบอร์ และพร็อดโนส
ก็ได้เข้ามาขอลองชิม โฮเวอร์ช็อก สุดพิศวงนี้
เพื่อเป็นการรับรองแก่ลูกค้าทุกๆ คนในห้างว่า
ช็อกโกแลตของ วิลลี่ นั้นจะอร่อยเหลือเชื่อ
อย่างที่เขาอวดอ้างจริงหรือไม่
วิลลี่ ที่เห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกยินดี
และเป็นเกียรติอย่างมาก
ที่พ่อค้าช็อกโกแลตทั้ง 3 ราย
ตั้งใจอยากจะลองชิมช็อกโกแลตของเขา
เพราะทั้งสามคนนั้น ถือเป็นบุคคลที่ วิลลี่
เคารพนับถือมากๆ มาตั้งแต่เด็ก
ซึ่งเขาใฝ่ฝันมาตลอดว่าสักวันหนึ่ง
จะมาเปิดร้านอยู่เคียงข้างกับ
ร้านช็อกโกแลตชื่อดังทั้งสามให้ได้
และเมื่อทั้งสามได้ลองลิ้มชิมรสช็อกโกแลตของวิลลี่
พวกเขาก็ทำสีหน้าแววตาสุดประหลาดใจ
กับรสชาติและรสสัมผัสที่ได้รับ
ซึ่งแน่นอนว่ามันคือช็อกโกแลต
ในแบบที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
ช็อกโกแลตที่ไม่ใช่เพียงแค่ช็อกโกแลต
แต่ยังแฝงไปด้วยวัตถุดิบมากมายที่
วิลลี่ตั้งใจคัดสรรใส่ลงไป
ไม่ว่าจะเป็น มาร์ชเมลโล่หรือคาราเมล
แต่หลังจากนั้น วิลลี่
ก็ต้องพบเข้ากับความผิดหวังอย่างเต็มเปา
เมื่อพ่อค้ารายใหญ่ทั้งสาม
ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า
ช็อกโกแลตของเขานั้นรสชาติยอดแย่จนแทบรับไม่ได้
เพราะมันเป็นช็อกโกแลตที่ซับซ้อน
ใส่วัตถุดิบอื่นลงไปโดยไม่จำเป็น
ซึ่งช็อกโกแลตที่ดีนั้นควรจะเรียบง่ายนั่นเอง
กลุ่มพ่อค้ารายใหญ่ทั้งสาม
ไม่ใช่คนที่เปิดใจให้กับความคิดสร้างสรรค์ของผู้อื่น
อย่างที่เขาจินตนาการมาตั้งแต่เด็กๆ
วิลลี่จึงกล่าวกับพ่อค้ารายใหญ่ทั้งสามว่า
“ถ้าคุณไม่ชอบช็อกโกแลตของผม
พวกคุณคงไม่ชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาแน่ๆ”
ทันใดนั้นร่างของพ่อค้ารายใหญ่ทั้งสาม
ก็ลอยขึ้นจากพื้น ราวกับว่า
พวกเขาบินได้อย่างไงอย่างงั้น
วิลลี่จึงเฉลยว่านั่นเป็นผลจาก
เหล่าแมลงดอกไม้ที่เขาเอาไข่ของพวกมัน
ใส่ไว้ในช็อกโกแลต
เมื่อพวกมันฟักตัวออกก็จะกระพือปีกอย่างแรง
จนทำให้ร่างของคนที่กินเข้าไปลอยได้นั่นเอง
พ่อค้ารายใหญ่ทั้งสามยิ่งหัวเสีย
กับสิ่งที่เกิดขึ้นเข้าไปใหญ่
พร้อมตะโกนต่อว่าวิลลี่ทันที
“นายนี่มันเพี้ยนไปแล้ว วองก้า
คนสติดีที่ไหนจะอยากกินช็อกโกแลตที่ทำให้บินได้”
วิลลี่ จึงสวนกลับไปว่า
“งั้นเรามาลองดูกัน
ใครอยากได้ โฮเวอร์ช็อก บ้าง”
เมื่อ วิลลี่ เปิดขวดโหลออก
เหล่าโฮเวอร์ช็อกก็โผบินออกมาอีกครั้ง
ทำให้เหล่าผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น
ต่างอดใจไม่ได้ที่จะขอลองลิ้มรส
ความมหัศจรรย์ของช็อกโกแลตบินได้เหล่านี้
และที่สำคัญคือมันราคาถูกอย่างน่าเหลือเชื่อ
เพียงชิ้นละ 1 เหรียญเท่านั้น
ทำให้คนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย
สามารถเข้าถึงช็อกโกแลตแสนมหัศจรรย์ขอ วิลลี่ได้
และเพียงพริบตาเดียวโฮเวอร์ช็อกของเขา
ก็ถูกขายอย่างหมดเกลี้ยง
พร้อมกับความสุขของเหล่าลูกค้า
ที่ได้ลิ้มรสชาติของช็อกโกแลตสุดน่าทึ่งนี้
แบบที่เรียกได้ว่าอร่อยตัวลอยอย่างแท้จริง
ซึ่งหนูน้อย นูเดิล
ที่บังเอิญเดินผ่านมาในบริเวณนั้นพอดี
ก็ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในความมหัศจรรย์นี้ด้วย
แต่ทันใดนั้นเองเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ก็ได้ลงพื้นที่พร้อมทำการ
ยุติการค้าคายของวิลลี่ ไว้แต่เพียงเท่านี้
โดยพวกเขาอ้างว่านี่คือกฎระเบียบในเขตพื้นที่นี้
ว่าห้ามไม่ให้พ่อค้าเร่ร่อนหรือร้านแผงลอย
มาทำการค้าคายภายในบริเวณห้าง
รวมถึงการกระทำของ วิลลี่
ที่ทำให้ผู้คนมาชุมนุมเป็นที่สนใจนั้น
ยังทำให้กิจการอื่นๆ ต้องหยุดชะงัก
วิลลี่ จึงจะต้องถูกยึดรายได้ทั้งหมด
ที่เขาพึ่งขายช็อกโกแลตได้อีกด้วย
วิลลี่ ที่ได้ยินเช่นนั้น
ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
เพราะเขาไม่เข้าใจจริงๆ
ว่ามันมีกฏแปลกๆ แบบนี้อยู่ได้ยังไง
รวมถึงช็อกโกแลตของที่ทำ
ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
แต่พ่อค้าธรรมดาๆ แบบเขา
ก็คงไม่มีสิทธิจะต่อรองอะไรได้
วิลลี่ จึงยอมให้เงินทั้งหมดกับตำรวจไปแต่โดยดี
เพียงแต่ขอให้นายตำรวจเมตตา
ด้วยการเหลือเงินให้เขา
ไปจ่ายค่าห้องพักสัก 1 เหรียญก็ยังดี
นายตำรวจที่รู้สึกเห็นใจ
จึงยอมทำตามคำขอร้องของ วิลลี่ ในที่สุด
บทที่ 4: อ่านแนบท้ายสัญญาให้ดี 📃
เมื่อวิลลี่กลับไปที่ร้านของคุณนายสครับบิท
เพื่อทำการเช็คเอาท์
เขาก็ต้องพบกับเรื่องสุดหดหู่
เมื่อราคาค่าห้องต่อหนึ่งคืนในราคา 1 เหรียญ
ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
เพราะในส่วนแนบท้ายสัญญา
ยังมีรายละเอียดค้าใช้จ่ายเกี่ยวกับ
การใช้งานสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในตัวอาคารแห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็นโซนมินิบาร์
ค่าปรับเรื่องรอยเลอะที่หมอน
หรือแม้กระทั่งการเดินขึ้นลงบันได
ทุกอย่างล้วนมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
และนี่คือสิ่งที่เด็กน้อย นูเดิล
พยายามจะเตือนเขามาตั้งแต่แรก
ซึ่งภาระหนี้ทั้งหมดที่วิลลี่ติดอยู่
คิดเป็นจำนวนเงินถึง 10,000 เหรียญฉ่ำๆ เลยทีเดียว
และถ้าไม่มีเงินชดใช้ก็จะต้องไปทำงาน
ในห้องซักรีดที่ได้ค่าแรงวันละ 1 เหรียญเพียงเท่านั้น
เท่ากับว่าเขาจะต้องทำงานอยู่ในนั้น
เป็นเวลาถึง 10,000 วันนั่นเอง
ทันใดนั้นชายร่างยักษ์คนเดิม
ที่นำเขามายังสถานที่แห่งนี้หรือบลีชเชอร์
ก็ได้เดินตรงเข้ามาหาวิลลี่
ด้วยท่าทางสุดน่าเกรงขาม
ซึ่งในเวลานี้วิลลี่ตระหนักได้แล้วว่า
บลีชเชอร์กับคุณนายสครับบิทเป็นหุ้นส่วนกัน
และเขาได้ถูกหลอกเข้าให้แล้ว
พร้อมโดนผลักให้ร่วงลงไปยังช่องส่งผ้า
ที่จะพาเขาไปยังห้องซักรีดที่อยู่เบื้องล่าง
เมื่อลงไปถึง วิลลี่ก็ได้พบกับคนกลุ่มหนึ่ง
นั่นก็คือ “อบาคัส ครั้นช์” นักบัญชี,
“ไพเพอร์ เบนท์” เจ้าหน้าที่การประปา,
“แลร์รี่ ชัคเคิลส์เวิร์ธ” นักแสดงตลก
และ “ลอตตี้ เบลล์” พนักงานสลับสายโทรศัพท์
ทั้ง 4 คนต่างเป็นเหยื่อที่หลงมาติดกับเหมือนกัน
เพราะการตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียว
ก็ทำให้พวกเขาต้องมาจมปลักอยู่ที่นี้
วิลลี่ที่กำลังตื่นตกใจ
จึงร้อนรนที่จะหาทางออกไปจากที่นี่
แต่ทุกคนก็ได้เกลี้ยกล่อมให้เขาทำใจ
และยอมรับกับชะตากรรมของตัวเองดีกว่า
เพราะพวกเขาเคยลองหาทางออกมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
แต่คุณนายสครับบิทคอยสอดส่องดูทุกอย่างอยู่ตลอด
มีการขานชื่อเข้าออกเวลางานในทุกวัน
รวมถึงยังมีเจ้า “ทิดเดิ้ลส์ (Tiddles)”
หมาจอมดุพันธุ์ มาสทิฟฟ์ (Mastiff) ประจำร้าน
ที่คอยจับจ้องพวกเขาอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
และต่อให้หาทางออกไปได้สำเร็จ
หากถึงเวลาขานชื่อไม่มารายงานตัว
คุณนายสครับบิทก็จะเรียกตำรวจมาตามจับตัวกลับไป
พร้อมเรียกเก็บค่าปรับเพิ่มเป็นจำนวนเงินที่ติดไว้อีกเท่าตัว
ตามระบุไว้ในรายละเอียดของสัญญานั่นเอง
เมื่อวิลลี่ทำใจยอมรับชะตากรรมอันโหดร้ายได้แล้ว
เขาก็เริ่มงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายอย่างทันที
และเมื่อการทำงานวันแรกในห้องซักรีดจบลง
วิลลี่ก็ถูกนำตัวไปยังห้องพักแห่งใหม่ของเขา
ซึ่งมันต่างกับห้องพักเดิมที่เขาเข้ามาในคืนแรกอย่างสิ้นเชิง
จากห้องพักระดับผู้ประกอบการ
สู่ห้องพักสุดโทรมที่เล็กอย่างกับรูหนู
ที่ทุกอย่างในนี้ดูพร้อมจะพังได้อยู่ทุกเมื่อ
ทั้งหลังคาที่รั่วจนมีน้ำหยดลงมาอยู่ตลอดเวลา
เตียงที่แสนจะเก่าแบบที่นอนลงไปขาเตียง
ก็หักลงมาได้อย่างทันที
หรือแม้กระทั่งอ่างล้างหน้าที่มีอุณภูมิน้ำให้ปรับอยู่สองแบบ
ไม่ใช่ ร้อนกับเย็นนะ แต่เป็น เย็นกับเย็นกว่า ซะอย่างงั้น
บทที่ 5: “ซิลเวอร์ ไลน์นิ่ง” ⚡
ในขณะที่วิลลี่กำลังมองออกไป
ยังหน้าต่างที่ทำให้เห็นหลังคา
โดมกระจกของห้าง แกเลอรี่โกร์เมต์อย่างพอดีนั้น
เขาก็พลันครุ่นคิดถึงความฝัน
ที่มีต่อสถานที่แห่งนั้นมาตลอดหลายปี
แต่ก็มาพังไม่เป็นท่าเพียงในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน
ทันใดนั้นเองเด็กน้อยนูเดิล
ก็ได้แวะมาที่ห้องของเขา
เพื่อทำการทักทายแขกหรือ
เหยื่อผู้โชคร้ายคนใหม่ของสถานที่แห่งนี้
นั่นทำให้ วิลลี่ ยิ้มได้อย่างทันที
เพราะเขารู้สึกได้ถึงความจริงใจของเธอ
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่พยายามเตือนเขา
ให้อ่านแนบท้ายของสัญญาให้ดีๆ
ซึ่งนูเดิลได้บอกกับวิลลี่ว่า
เธอรู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมวิลลี่
ยังเลือกที่จะเซ็นชื่อลงไปในสัญญาฉบับนั้น
ทั้งที่เธอก็พยายามเตือนให้ระวังแล้ว
ก่อนจะได้ทราบคำตอบว่า
แท้จริงแล้ว วิลลี่ อ่านหนังสือไม่ออกนั่นเอง
“พอดีฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับ
การเผยช็อกโกแลตของฉันให้กับโลก
เรื่องอื่นๆ ฉันหวังพึ่งพาความมีน้ำใจของคนอื่นเอา” - วิลลี่
โดยเธอได้นำอาหารมื้อแรกมาให้กับวิลลี่
เป็นอาหารเหลวบางอย่าง
ที่ดูเหมือนกับข้าวโอ๊ตบดอะไรทำนองนั้น
พร้อมถามว่าเขาติดหนี้คุณนายอยู่เท่าไหร่
วิลลี่ จึงตอบไปว่าหนึ่งหมื่น
นูเดิล หัวเราะแล้วบอกว่า นั่นยังดี
ส่วนฉันติดอยู่สามหมื่น
วิลลี่ที่ได้ยินแบบนั้น
จึงรู้สึกสับสนอย่างมาก
เพราะเขาคิดว่านูเดิล
คือเด็กกำพร้าที่คุณนายสครับบิท
นำมารับเลี้ยงเอาไว้
เธอจึงตอบไปว่า
“ใช่ รับมาเลี้ยงด้วยความเมตตา
แล้วก็ให้หนูจ่ายค่าเลี้ยงดู
โลกก็เป็นแบบนี้แหละ
คนโลภย่อมชนะคนจนเสมอ”
วิลลี่จึงคิดว่านี่คือ
การมองโลกในแง่ร้ายแบบเด็กกำพร้า
เขาจึงเทอาหารที่เธอนำมาให้ทิ้งไปทันที
ทำเอานูเดิลงงไปเลย
ก่อนที่วิลลี่จะหยิบหีบกระเป๋าของเขาขึ้นมาบนโต๊ะ
ซึ่งแท้จริงแล้วภายในนั้น
มันคือโรงงานช็อกโกแลตขนาดพกพา
ที่สามารถผลิตช็อกโกแลต
แสนมหัศจรรย์สูตรต่างๆของเขาได้
และหากต้องทนกินอาหารเหลวไม่ได้เรื่องพวกนี้
วิลลี่ก็อยากให้นูเดิลได้ลองลิ้ม
ชิมรสช็อกโกแลตของเขาแทน
ซึ่งเธอก็บอกกับวิลลี่ว่า
ไม่เคยได้ลองกินช็อกโกแลตมาก่อนเลย
ทำเอาวิลลี่ถึงกับอึ้ง
แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
ว่าจะมีเด็กสักคนบนโลกนี้
ที่ไม่เคยกินช็อกฯ มาก่อน
เขาจึงเลือกทำช็อกโกแลตสูตร
ที่ชื่อว่า “ซิลเวอร์ ไลน์นิ่ง (Silver Lining)” ให้
โดยสรรพคุณของช็อกโกแลตสูตรนี้
จะทำให้คนที่กินเข้าไป
เกิดไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
ซึ่งไม่ว่ากำลังเจอกับปัญหาอะไรอยู่
ก็จะสามารถหาคลี่คลายไปได้
จึงได้ตั้งชื่อว่า ซิลเวอร์ ไลน์นิ่ง
ที่เป็นคำเรียกของก้อนเมฆที่ไปบดบังแสงอาทิตย์
แล้วจะเห็นเป็นลำแสงทอดผ่านมา
อยู่ที่ริมขอบของก้อนเมฆนั้น
เป็นนัยยะบอกว่า ไม่ว่าปัญหาที่กำลังเจอ
จะยากเย็นมากแค่ไหน
แต่ความหวังจะย่อมเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ
เหมือนก้อนเมฆที่ไปบดบังแสงอาทิตย์
แล้วยังเห็นลำแสงลอดผ่านมา
ให้รู้ว่าข้างหลังนั้นยังมีแสงสว่างรอส่องประกายอยู่,,,
บทที่ 6: คำมั่นสัญญา 👩‍👦
ในขณะที่โรงงานขนาดจิ๋วกำลังผลิต
ช็อกโกแลตแสนวิเศษชิ้นนี้ให้นูเดิลอยู่นั้น
เธอก็ได้ถามวิลลี่ว่าเขาอยากเป็น
นักทำช็อกโกแลตมาตั้งแต่เด็กเลยหรอ?
วิลลี่จึงเล่าให้เธอฟังว่า
จริงๆ แล้วแต่แรกตอนอายุเท่ากัน
เขาอยากเป็นนักมายากล
ตอนนั้นอยู่กับแม่บนเรือลำเล็กๆ
ที่ล่องไปตามแม่น้ำ ซึ่งเรามีเงินกันไม่มาก
แม่จะค่อยๆ หาเก็บเมล็ดโกโก้ทีละนิดทีละน้อย
พอครบหนึ่งปีเมื่อถึงช่วงวันเกิดของเขา
ก็จะมีเมล็ดโกโก้เพียงพอ
ที่สามารถเอามาทำช็อกโกแลตให้กินได้
และเมื่อเขาได้ลิ้มรสชาติช็อกโกแลต
ที่กลั่นจากความรักของแม่
ก็ทำให้เชื่ออย่างสุดใจว่า
นี่คือช็อกโกแลตที่อร่อยที่สุดในโลกอย่างแน่นอน
แม่จึงบอกว่า จริงๆ แล้วช็อกโกแลตที่อร่อยที่สุด
ว่ากันว่าอยู่ที่ห้างชื่อแกเลอรี่โกร์เมต์
แต่เขาก็ไม่เชื่อ และมั่นใจว่ายังไง
ของแม่ก็ต้องอร่อยกว่าอยู่ดี
แม่จึงบอกเขาอีกว่า
“แม่มีสูตรลับในการทำช็อกโกแลต
ที่แม้กระทั่งเหล่าคนมั่งมีก็ไม่รู้ด้วย”
และด้วยความเป็นเด็ก
นั่นจึงทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ที่จะได้ล่วงรู้ถึงสูตรลับนั้น
แต่แม่ก็บอกกับเขาว่า
เอาไว้เมื่อลูกโตกว่านี้แม่ถึงจะบอก
จากนั้นเขาก็เผลอเหม่อมองออกไป
บนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์
วินาทีนั้นทำให้เกิดความฝันอันใหม่
ผุดขึ้นในใจของเขา และได้บอกกับแม่ว่า
“ไปกันเถอะครับแม่ ไปที่แกเลอรี่โกร์เมต์
ไปเปิดร้านกัน เราจะเอาชื่อของแม่
ติดป้ายใหญ่ๆ เป็นชื่อร้านเลย”
แม่จึงตอบกลับมาว่า
เป็นฝันที่งดงามมากเลยลูก
เด็กน้อยผมหยิกจึงถามแม่กลับไปว่า
เป็นได้แค่นั้นหรอ แค่ความฝัน?
แม่ถึงกับชะงักและหันมาพูดว่า
“Every good thing in this world
started with a dream:
ลูกจำไว้ให้ดีนะ ทุกสิ่งที่ดีงามในโลกนี้
ล้วนเริ่มต้นจากความฝัน
.
.
.
จงเก็บความฝันเอาไว้ให้ดี
และเมื่อลูกเผยช็อกโกแลตให้กับโลก
แม่สัญญาว่าแม่จะไปอยู่ข้างๆลูกในวันนั้น”
แม่วิลลี่
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่มีวันได้รับรู้ความลับนั้น
เพราะไม่นานแม่ก็ล้มป่วยและจากไป
เหลือไว้เพียงช็อกโกแลตบาร์หนึ่งแท่ง
ที่บรรจุใส่ซองไว้อย่างดี พร้อมวาด
สัญลักษณ์ตัว W จากคำว่า Wonka
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาเดินทางมาที่เมืองแห่งนี้
เพื่อหวังจะเปิดร้านในห้างแกเลอรี่โกร์เมต์
อาจจะฟังดูไร้สาระ
แต่เขาก็ยังหวังลึกๆว่า ถ้าเขาทำสำเร็จ
แม่จะมาอยู่ข้างๆ เขาในวันนั้น
อย่างที่เคยสัญญาเอาไว้
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน
และในที่สุดช็อกโกแลต ซิลเวอร์ ไลน์นิ่ง
ก็ได้เผยโฉมออกมาจากโรงงานขนาดจิ๋ว
ก่อนจะส่งให้ นูเดิล ได้ลิ้มลองทันที
พร้อมสีหน้าที่สุดแสนจะมั่นใจว่า
เธอจะต้องชื่นชอบมันอย่างแน่นอน
เมื่อหนูน้อยนูเดิลได้ลองกัดคำแรก
เธอแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม
ก่อนที่จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง
ทำเอาวิลลี่ถึงกับหน้าถอดสี แ
ละไม่เข้าใจว่าทำไมนูเดิล
ถึงไม่ชอบช็อกโกแลตของเขา
ซึ่งเธอก็ได้บอกว่า จริงๆ เธอชอบมันมากๆ
แต่ที่เศร้าเพราะหากวันข้างหน้า
ไม่ได้กินช็อกโกแลตอีก
ก็คงจะคิดถึงมันแน่ๆ
วิลลี่จึงเสนอว่า
“แล้วถ้าหากเธอสามารถ
กินช็อกโกแลตได้ตลอดชีวิตล่ะ?”
นูเดิลเลยอุทานตอบด้วยความตกใจ
“ตลอดทั้งชีวิตเลยหรอ
แล้วหนูต้องทำยังไง?”
วิลลี่จึงบอกว่าไม่ยากเลย
แค่พาเขาออกไปจากที่นี่
แล้วพาเขาไปหาลู่ทางขายช็อกโกแลต
เอาเงินที่ได้มาใช้คืนให้คุณนายสครับบิทร่วมกัน
เพื่อที่จะได้เป็นอิสระ
 
“คุณจะบ้าหรอ คุณจะออกไปได้ยังไง
คุณนายสครับบิทเป็นเหมือนเหยี่ยว
ไม่มีอะไรคาดสายตาจากเธอได้หรอก”
นูเดิล อุทานตอบด้วยความตกใจอีกครั้ง
วิลลี่จึงพยายามอธิบายว่าไม่ยากเลย
ก็แค่รอจังหวะที่คุณนายเผลอ
แล้วลอบออกไปในตระกร้าตอนที่
นูเดิลต้องออกไปส่งผ้าตามที่ต่างๆ
พอได้ยินเช่นนั้นก็ยอมรับว่าไอเดียดี
แต่ติดตรงที่จะหาจังหวะ
คุณนายเผลอได้ยังไง
ทันใดนั้นเอง เมื่อนูเดิล
เริ่มเคี้ยวช็อกโกแลต ซิลเวอร์ ไลน์นิ่ง ไปเรื่อยๆ
เธอก็เริ่มปิ๊งไอเดียบางอย่างขึ้นมาในหัว ฮ่า!
นั่นคือเธอเริ่มนึกได้ว่า ตลอดเวลา ฮ่า!
ที่อยู่กับคุณนายมา
สังเกตว่าแกจะชอบลืมตัว
เวลาเจอกับแขกที่เป็นคนชั้นสูงหรือคนมีฐานะ
เพราะจะคอยประจบเอาใจ
และตามคุยกับคนเหล่านั้นไม่หยุด
ปัญหาคือจะหาคนชั้นสูงที่ว่ามาจากไหน?
วิลลี่เลยลองหยิบช็อกโกแลต
ซิลเวอร์ ไลน์นิ่ง อีกชิ้นไปกินบ้าง ฮ่า!
หืมมม “ฮ่า! ฉันคิดอะไรออกแล้ว” 💡
บทที่ 7: ชอบติดหวานบ้างหรือเปล่า? 🎁
หลังจากกลุ่ม จนท.ตำรวจ
ได้ลงพื้นที่และทำการยึดทรัพย์ของ วิลลี่ ไปนั้น
หัวหน้าผู้บัญชาการตำรวจก็ได้เดินทาง
ไปที่โบสถ์ประจำเมือง
โดยมีลักษณะท่าทางเหมือนคนที่
ต้องการเข้าไปสารภาพบาปทั่วไป
แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เมื่อเขาได้เข้าไปในห้องสารภาพบาป
และได้ยื่นช็อกโกแลตหนึ่งชิ้นให้กับ
บาทหลวงใหญ่ประจำโบสถ์นามว่า “บาทหลวงจูเลียส”
ซึ่งห้องสารภาพบาปดังกล่าว
ความเป็นจริงแล้วคือลิฟท์
ที่พาลงไปยังห้องนิรภัยปริศนาที่ซ่อนอยู่เบื้องล่าง
และที่นั่นเองที่เหล่าพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
ได้รอพบกับหัวหน้าตำรวจผู้นี้อยู่
จนความจริงก็ได้เปิดเผยว่าแท้ที่จริงแล้ว
พวกเขาทั้งสามได้ทำการติดสินบน
หัวหน้าตำรวจอยู่อย่างลับๆ
จนสามารถการขับไล่พ่อค้าช็อกโกแลต
น้อยใหญ่รายอื่นๆ ออกไปมานักต่อนัก
และที่นัดหัวหน้าตำรวจมาในวันนี้
ก็เพื่อที่จะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่อง
การขับไล่วิลลี่ให้พ้นออกไป
จากเมืองนี้อย่างถาวร
ด้วยวิธีการที่รุนแรงและเข้มข้นมากขึ้น
ซึ่งหัวหน้าตำรวจก็ได้ตอบปฏิเสธไปในเบื้องต้น
ว่าเท่าที่ทำมาก็ถือว่าหนักพอตัวประมาณหนึ่งแล้ว
ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังได้ขึ้นชื่อว่า
เป็นตำรวจผู้รักษากฎหมาย
หากทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้
ก็คงจะดูไม่งามสักเท่าไหร่
เมื่อพ่อค้ารายใหญ่ทั้งสามเห็นท่าทีว่า
หัวหน้าตำรวจที่ดูจะไม่เล่นด้วย
จึงถามหัวหน้าตำรวจกลับไปว่า
“คุณชอบติดของหวานบ้างหรือเปล่า
(Have you got a Sweet Tooth)”
พร้อมกับยื่นข้อเสนอว่า
ถ้าหัวหน้าตำรวจตอบตกลงช่วยงานนี้
พวกเขาจะจ่ายสินบนเป็น
ช็อกโกแลตมากถึง 1,800 กล่อง
ทันใดนั้นเองลักษณะท่าทางของหัวหน้าตำรวจ
ที่ต้องการจะปฏิเสธ ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความลังเล
และยอมตอบรับข้อเสนออันแสนเย้ายวน
ของเหล่าพ่อค้ารายใหญ่ทั้งสามในที่สุด
บทที่ 8: ชนชั้นสูง 💕
ด้านวิลลี่กับนูเดิลที่พยายามหาทางแอบหนี
ออกจากห้องซักรีดของคุณนายสครับบิท
ก็ประสบผลสำเร็จจนได้
เมื่อไอเดียที่วิลลี่คิดก็คือ
การใช้ความสามารถในการประดิษฐ์ของเขา
สร้างเครื่องซักผ้าขึ้นมา
โดยมีกลไกการทำงานที่ใช้ให้เจ้าทิดเดิ้ลส์
คอยวิ่งไล่งับเศษผ้าที่มันชอบ
เพื่อให้เครื่องมือต่างๆ ทำงานนั่นเอง
ทำเอา อบาคัส, เบนท์, ชัลเคิลส์เวิร์ธ
และ ลอตตี้ ต่างอึ้งไปตามๆ กัน
ซึ่งตอนนี้เท่ากับว่าวิลลี่
สามารถออกไปข้างนอกได้
โดยที่งานซักผ้าของเขา
ก็ยังเดินไปด้วยอย่างไม่บกพร่อง
และตัวล่อเบี่ยงเบนความสนใจ
ของคุณนายสครับบิทที่วิลลี่เลือกใช้
ก็คือคนไม่ใกล้ไม่ไกลที่ไหน
อย่างบลีชเชอร์นั่นเอง
โดยเขาได้วาดรูปสเก็ตชนชั้นสูง
ให้มีหน้าตาคล้ายกับบลีชเชอร์
แล้วให้นูเดิลสร้าง Story
ให้คุณนายได้เห็นรูปสเก็ตนี้
เพื่อหลอกให้เธอเชื่อว่า
บลีชเชอร์คือชนชั้นสูงจริงๆ
ขณะเดียวกันวิลลี่ก็หลอกล่อให้หนุ่มร่างยักษ์
ทำการปรับปรุงภาพลักษณ์ของตัวเอง
ให้เป็นชายชาตรีรูปงาม
ด้วยการจัดทรงผม และหาเสื้อผ้าดีๆ มาใส่
พร้อมโชว์ขาอ่อนเบาๆ 55+
โดยเขาได้โน้มน้าวให้อีกฝ่าย
เชื่อว่าคุณนายสครับบิทกำลังมีใจ
ให้อยู่มาสักพักหนึ่งแล้ว
รอแค่ปรับโฉมตัวเองเพื่อเอาชนะใจเธอ
ให้ได้เพียงเท่านั้น
และเมื่อบลีชเชอร์หลงเชื่อเข้าจริง
ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน
เขาจัดทรงผมและหาเสื้อผ้าดีๆ ใส่
พอคุณนายเห็นเช่นนั้น
เธอก็เริ่มเชื่อว่าเขาคือคนชั้นสูงจริงๆ
จนทั้งคู่เริ่มเกิดความดึงดูดต่อกันมากขึ้น
จนกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความโรแมนติก
ที่ตัวแยกกันไม่ติดตลอดทั้งวันเลยทีเดียว
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน
ก็ถึงเวลาที่ วิลลี่ จะได้ออกไปข้างนอก
เพื่อขายช็อกโกแลตตามที่เขาตั้งใจ
โดยเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในถุงผ้า
แล้วให้ นูเดิล เข็นตระกร้าผ้าออกมา
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ขณะที่ทั้งคู่กำลังดีใจ
กับแผนการอันแยบยลที่
สำเร็จลุล่วงไปได้สวยอยู่นั้น
ก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่
ที่อยู่เหนือความคาดคิดขึ้นไปอีก
เมื่อช็อกโกแลตที่วิลลี่ผลิตไว้เตรียมจะนำไปขาย
หายเกลี้ยงหมดขวดโหลอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ซึ่งวิลลี่ได้บอกกับนูเดิลว่า
เขาถูกตามขโมยช็อกโกแลต
มาตลอดหลายปี
กับขโมยที่ถูกเรียกว่า “คนตัวเล็กสีส้มผมเขียว”
ชอบย่องเข้ามาตอนกลางคืนเวลาเขาหลับ
และตามไปทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ไหน
เมื่อนูเดิลได้ยินแบบนั้น
ก็ทำเอาเธอถึงกับถอนหายใจอย่างแรง
เพราะไม่มีคนสติดีที่ไหนจะยอมเชื่อ
เรื่องที่พูดมาอย่างแน่นอน
นูเดิลจึงเริ่มบอกกับตัวเองและต่อว่าวิลลี่ทันทีว่า
เธอไม่น่าเชื่อแผนการเขาเลย
และถ้าคุณนายสครับบิทจับได้
เธอจะต้องโดนขังลืมอย่างแน่นอน
รวมถึงช็อกโกแลต ซิลเวอร์ ไลน์นิ่ง
ก็เป็นอะไรที่งี่เง่าสุดๆ
ทำเอาวิลลี่เจ็บจิ๊ดขึ้นมาทันที
เพราะเขาจะไม่ยอมให้ใคร
มาดูแคลนช็อกโกแลตของเขาเด็ดขาด
จึงบอกกับนูเดิลว่า ขอให้เชื่อใจเถอะ
และเราสามารถทำช็อกโกแลตใหม่ได้
แต่ติดปัญหาเดียวคือนมของเขาหมดแล้ว
นูเดิลจึงหยิบนมของชาวบ้าน
ที่วางอยู่บริเวณนั้นให้วิลลี่
ซึ่งนั่นถือเป็นการกระทำที่เขารับไม่ได้
เพราะเป็นการขโมยของ
เลยบอกนูเดิลว่าช็อกโกแลตของวองก้า
จะไม่ใช้วัตถุดิบธรรมดา
สำหรับผลงานชิ้นนี้เราจะใช้นมของ “ยีราฟ”
นูเดิลที่ได้ยินแบบนั้น
ก็อยู่ในอารมณ์ที่ไม่รู้จะเอือม
หรือจะอึ้งหรือจะอะไรดี
เพราะก็ชินกับความแปลก
และความตื่นตาตื่นใจในผลงานของวิลลี่มาพอควร
เธอจึงบอกว่านั่นไม่ใช่ปัญหา
ที่สวนสัตว์มีอยู่ตัวนึงพอดี
แต่ติดตรงที่คุณจะเข้าไปรีดนมมันยังไง
วิลลี่จึงตอบกลับไปว่า “เขามีวิธีอย่างแน่นอน”
บทที่ 9: วิลลี่ กับ นูเดิล ณ สวนสัตว์ 🦒
จากนั้นนูเดิลก็ได้พาวิลลี่เดินไปที่สวนสัตว์
ซึ่งที่นั่นเขาต้องผ่านด่าน รปภ. หน้าประตูเสียก่อน
จึงเป็นเวลาที่วิลลี่จะได้โชว์วิธีที่พูดถึงให้ นูเดิลได้ดู
โดยเขาได้นำช็อกโกแลตอีกชนิด
ที่เรียกว่า “คืนสำราญ (Big Night Out)” ออกมา
เพื่อให้ นูเดิล นำไปให้หนุ่ม รปภ.
แล้วหลอกว่านี่คือรางวัลของพนักงานดีเด่น
ที่ผู้บริหารสวนสัตว์ตั้งใจมอบให้
เพื่อตอบแทนที่ตั้งใจทำงานอย่างดีมาตลอด
และเมื่อหนุ่มคนนั้นกัดง่ำเข้าไป
ก็ถึงกับต้องล้มพับไปทันที
เหมือนกับคนที่เพิ่งผ่านการดื่มยามค่ำคืน
มาอย่างหนักยังไงอย่างงั้น
เมื่อทางสะดวกก็ถึงเวลาไปรีดนมยีราฟ
ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
ซึ่งในระหว่างทางที่ทั้งคู่
กำลังเดินเข้าไปภายในสวนสัตว์นั้น
ก็ได้เดินผ่านบริเวณที่เป็นพื้นที่อาศัยข
องฝูงนกฟลามิงโก้
นูเดิลที่เป็นเด็กช่างสงสัย
จึงลองถามวิลลี่เล่นๆว่า
“ทำไมพวกมันถึงไม่พากันบินหนีออกไปจากที่นี้”
วิลลี่ ตอบ “สงสัยพวกมันไม่เคยคิดมั้ง
พวกนกฟลามิงโก้มันต้องการผู้นำทาง”
และเมื่อเดินมาถึงคอกของเจ้ายีราฟ
เขาก็ได้กล่าวทักทายเพื่อนใหม่ทันที
โดยเจ้าเพื่อนคอยาวมีป้ายชื่อติดอยู่บนผนัง
นูเดิลจึงบอกว่าชื่อของเธอคือ “แอบิเกล (Abigail)”
ทันใดนั้น วิลลี่ ก็หยิบ
ช็อกโกแลตอีกสูตรหนึ่งของเขาออกมา
สูตรนี้มีชื่อว่า “อเคเซีย มินท์ (Acacia Mint)”
ซึ่งเจ้าช็อกโกแลตสูตรนี้
เป็นอะไรที่พวกยีราฟโปรดปรานเอามากๆ
เพราะ วิลลี่ เคยลองเอาให้
พวกมันกินมาครั้งหนึ่ง
ตอนที่เขาเคยเดินทางไป
ค้นหาวัตถุดิบใหม่ๆ ที่ทวีปแอฟริกา
และเมื่อเจ้ายีราฟได้อิ่มหนำสำราญ
กับช็อกโกแลตอย่างสมใจแล้ว วิลลี่
พวกเขาจึงเริ่มทำการรีดนมทันที
โดยมีนูเดิลที่ใช้บันไดปีนขึ้นไปข้างบน
เพื่อคอยเกาคางให้พลางๆ
เพราะพวกยีราฟจะรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
เวลามีคนคอยเกาคางให้
บทที่ 10: แค่เพียงครู่เดียว 🎈
ขณะที่กำลังรีดนมอยู่นั่นเอง
วิลลี่จึงชวนนูเดิลคุยเล่น
เพื่อเป็นการฆ่าเวลา
ก่อนจะถามถึงชื่อของเธอว่า
“นูเดิล” มีที่มาจากคำว่าอะไร?
เธอจึงเล่าว่าชื่อนี้เป็นชื่อ
ที่คุณนายสครับบิทตั้งให้
มันมาจากสร้อยคอที่เธอได้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก
เป็นสร้อยแหวนที่มีรูปตัว N สลักอยู่
ซึ่งอาจมาจากคำว่า
“นีน่า (Nena)” หรือ “นอร่า (Norra)”
อะไรทำนองนั้นก็ได้
และสร้อยเส้นนี้เป็นของเพียงสิ่งเดียว
ที่เธอได้ติดตัวมาจากพ่อแม่
วิลลี่ จึงถามเธอกลับไปว่า
“แล้วไม่ลองออกไปตามหาดูล่ะ?”
นูเดิลจึงบอกเธอเคยลองแล้ว
แต่หายังไงก็ไม่มีใครคุ้นกับสร้อยเส้นนี้เลย
ตั้งแต่เด็กเธอจึงมีความใฝ่ฝันมาตลอดว่า
สักวันหนึ่งเธอจะหาพ่อแม่เจอ
และวันนั้นพวกเขาจะยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้าน
แล้วเธอก็จะวิ่งเข้าไปกอดพวกเขา
กอดให้แน่นที่สุดแบบที่ไม่ยอมปล่อย
ให้เธอถูกพรากไปไหนอีก
แต่รู้ดีว่ามันก็เป็นแค่ความฝันที่ไร้สาระ
วิลลี่ ที่ได้ยินเช่นนั้น
จึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจเธออย่างมาก
เพราะตัวเขานั้นเข้าใจดี
ว่าความรู้สึกที่อยากได้กลับไปเจอ
กับผู้เป็นแม่ที่รักเขาหมดหัวใจนั้นมันเป็นยังไง
จึงพูดตอบกลับไปว่า
“ไม่เห็นจะไร้สาระตรงไหนเลย
ฉันรู้ว่าเธอเจอกับอะไรมาหนักนะ นูเดิล
แต่ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
ฉันไม่ยอมปล่อยให้เธอ
เน่าตายอยู่ในร้านซักรีดนั่นแน่ๆ”
เมื่อนูเดิลได้ยินเช่นนั้น
เธอเริ่มสัมผัสได้ทันทีว่า
ความจริงใจ ความหวังดี
และความหนักแน่นที่มีต่อคำพูดของวิลลี่
เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
มันทำให้เด็กน้อยเริ่มมีความหวังขึ้นมาว่า
ความฝันของเธออาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้ในสักวัน
ด้วยการช่วยเหลือของวิลลี่
จึงถามเขากลับไปด้วยประโยคสั้นๆ ว่า
“คุณสัญญาน?ะ”
วิลลี่เลยตอบกลับไปทันทีอย่างมั่นใจว่า
“ฉันทำได้ดีกว่านั้นอีก ฉันเกี่ยวก้อยสัญญาเลย
เป็นคำสาบานที่หนักแน่นที่สุด”
ซึ่งการที่วิลลี่เลือกจะพูดแบบนั้นออกไป
ก็เพราะเขายังจำความรู้สึกตอนเป็นเด็กได้ดี
ความรู้สึกตอนที่แม่ของเขา
เกี่ยวก้อยให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า
ถ้าวันที่ลูกเผยช็อกโกแลตให้กับโลกนี้เมื่อไหร่
แม่จะมาอยู่ข้างๆ ลูก
ประโยคนี้มีความหมายกับวิลลี่เสมอมา
และเขารู้ดีว่า หากได้มอบ
คำมั่นสัญญาแบบนี้ให้กับนูเดิลบ้าง
มันก็คงจะเติมเต็มชีวิต
ที่เหี่ยวเฉาของเธอให้มีสีสันขึ้นมา
และมันก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดจริงๆ
เพราะในตอนนี้คำพูดและการกระทำของวิลลี่
เริ่มทำให้เธอยิ้มได้
นูเดิลจึงเริ่มพูดกับตัวเองว่า
“แค่เพียงครู่เดียวเหมือนเปลี่ยนชีวิตที่เลวร้าย
และแค่เพียงครู่เดียวก็เหมือน
ความหม่นหมองถูกลืมหาย
เขาคือสิ่งดีๆ เพียงสิ่งเดียว
ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของฉัน (For a Moment)”
นูเดิล
ในตอนนี้หัวใจของนูเดิล
กำลังพองโต ฟูฟ่อง ลอยละลิ่วปลิวไปไกล
เมื่อวิลลี่ทำให้เธอสัมผัสได้ถึง
พลังแห่งความฝันและความหวัง
จนเริ่มเชื่อขึ้นมาจริงๆ แล้วว่า
สิ่งเหล่านี้จะนำชีวิตไปสู่อิสรภาพ
ที่ใฝ่ฝันได้จริงๆในสักวัน
จากนั้นเมื่อได้นมยีราฟ
ในปริมาณที่เพียงพอไปทำช็อกโกแลตแล้ว
พวกเขาก็บอกลาแอบิเกลเพื่อนใหม่
พร้อมวิ่งออกไปจากสวนสัตว์ด้วยความร่าเริง
โดยภายในใจต่างเต็มเปี่ยมไปด้วย
ความหวังที่จะโบยบินไปสู่อิสรภาพ
วิลลี่คว้ามัดลูกโป่งสวรรค์
จากร้านค่าแห่งหนึ่งในสวนสัตว์
แล้วพานูเดิ บินออกไป
พร้อมกับเหล่านกฟลามิงโก้
ที่เป็นการบอกเป็นนัยยะว่า
ขณะนี้การต่อสู้เพื่ออิสรภาพของคนสองคน
ที่ต่างมีความฝันร่วมกันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
พวกเขาลอยขึ้นไปบนหลังคาของห้าง แกเลอรี่ โกร์เมต์
และเต้นรำด้วยกันใต้แสงจันทร์
ราวกับว่าเมืองๆ นี้เราเพียงสองคน,,,
บทที่ 11: ตัวอักษร A ✏️
แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งคู่
ก็คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะเมื่อลงมาถึงพื้น
พวกเขาก็ต้องเจอเข้ากับ
หัวหน้าตำรวจคนดีคนเดิมอีกครั้ง
ที่คราวนี้มีเรื่องอยากจะ
คุยกับวิลลี่เป็นการส่วนตัว
ทันใดนั้นหัวหน้าตำรวจก็
จับหัวของเขากดลงไปในบ่อน้ำพุ
พร้อมตะโกนว่า
“ห้ามขายช็อกโกแลตในเมืองนี้
ไม่งั้นนายจะโดนหนักกว่านี้ เข้าใจมั้ย?”
ทำเอาหนุ่มน้อยผู้ไร้เดียงสาถึงกับอึ้ง
เพราะเขาไม่เข้าใจว่าหัวหน้าตำรวจ
จะมาทำร้ายเขาทำไม?
เพียงแค่ห้ามไม่ให้ขายช็อกโกแลต
รวมถึงเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ว่าการขายช็อกโกแลตของเขาผิดยังไง
และมันไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใครกันแน่?
เมื่อกลับมาถึงยังห้องซักรีด
แม้ว่าเครื่องซักผ้าของวิลลี่
จะใช้งานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ
แต่ทุกคนก็ต่างพากันสงสัย
ว่าเขาหายไปไหนมาทั้งวัน
วิลลี่จึงรู้ตัวได้อย่างทันทีว่า
คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบอกความจริงกับทุกคน
ว่าเขานั้นคือนักทำช็อกโกแลต
และเขาพยายามลอบออกไปจากที่นี้
ก็เพื่อไปขายช็อกโกแลต
และหวังจะนำเงินมาชดใช้คุณนายสครับบิทนั่นเอง
อบาคัสที่ได้ยินเช่นนั้น
จึงพูดสวนกลับไปทันทีว่า
“แล้วคุณก็ไปเจอหัวหน้าตำรวจเล่นงานเข้าใช่มั้ย”
นั่นเลยทำให้วิลลี่รู้สึกแปลกใจมากว่า
อบาคัสรู้เรื่องเหล่านี้ได้ยังไง
ชายวัยเก๋าจึงเล่าให้วิลลี่ฟังว่า
ก่อนที่ชะตากรรมของเขา
จะมาลงเอยยังห้องซักรีดแห่งนี้
ก็เคยเป็นนักบัญชีให้กับกิจการของสลักเวิร์ธ
จนไปแอบเจอว่ากิจการนี้มีการทำบัญชีสองเล่ม
เล่มหนึ่งเอาไว้เปิดเผยสำหรับทางการ
ส่วนอีกเล่มคือรายละเอียดของการทำธุรกิจมืด
ทั้งการติดสินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หรือการกระทำต่างๆในการเตะตัดขาเหล่าคู่แข่ง
ทุกๆ อย่างถูกบันทึกเอาไว้ในนั้น
รวมถึงพวกเขายังติดสินบน
เหล่าบาทหลวงในโบสถ์ใหญ่
ประจำเมืองด้วยช็อกโกแลต
และกักเก็บช็อกโกแลตส่วนหนึ่ง
ของเหล่าพ่อค้ารายใหญ่ทั้งสาม
ไว้ในห้องลับใต้โบสถ์นั้น
ซึ่งพวกเขาเอาไว้ใช้เกี่ยวกับ
การทำธุรกิจมืดต่างๆร่วมกันโดยตรง
พร้อมบอกให้วิลลี่ทำใจยอมรับเถอะว่า
เหล่าพ่อค้ารายใหญ่ทั้งสาม
ถือไพ่เหนือกว่าของเขามาก
พยายามสู้ไปก็เปล่าประโยชน์
จากนั้นวิลลี่จึงกลับขึ้นไปบนห้องพัก
พร้อมครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อบาคัสพูดให้เขาฟัง
โดยเขาก็ดูจะทำใจยอมรับ
กับความจริงที่ว่า พ่อค้ารายใหญ่ทั้งสาม
เป็นต่อทุกด้านจริงๆ อย่างไรก็ตามสิ่งเดียว
ที่ฉุกคิดขึ้นในหัวของวิลลี่ก็คือ
“คำสัญญา” ที่เขาให้ไว้ต่อนูเดิล
ที่แม้ไม่รู้ว่าชะตากรรมข้างหน้าจะเป็นยังไง
แต่สิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีที่สุดในตอนนี้
คือการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ
พ่อหนุ่มสายมายากล
จึงรีบลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่หน้าต่างห้อง
และส่งเสียงกระซิบเรียกนูเดิล
ที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้าม
พร้อมยิงหนังสติ๊กขึงเชือก
ไปยังหน้าต่างของห้องเธอ
จากนั้นเขาก็หย่อนตระกร้าพร้อมขวดโหล
ที่เต็มไปด้วยช็อกโกแลตมาให้กับนูเดิล
นั่นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจว่า
วิลลี่ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
เขาจึงบอกเธอว่า
“ได้กินช็อกโกแลตตลอดชีวิตไง จำได้มั้ย?”
ก็ฉันให้สัญญากับเธอไว้แล้วนี่
สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาสิ”
นูเดิล ที่ได้ยินเช่นนั้น
จึงรู้สึกซาบซึ้งกับความหนักแน่น
ของวิลลี่เป็นอย่างมาก
เธอจึงส่งตระกร้ากลับมา
พร้อมกับกระดาษใบหนึ่ง
ที่มีสัญลักษณ์บางอย่างเขียนเอาไว้
เมื่อวิลลี่หยิบดูเขาก็พึมพำอยู่คนเดียวว่า
“นี่คืออะไร รูปน้ำเหลือครึ่งแก้วหรอ”
นูเดิลที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับทำสีหน้าสุดเอือม
เธอจึงตอบกลับไปว่า “มันคือตัวเอ (A)
ฉันกำลังสอนคุณอ่านหนังสือ
ฉันจะไม่ยอมให้หุ้นส่วนของฉันถูกใครหลอกอีก”
วิลลี่เลยซาบซึ้งใจอย่างมาก
ทั้งประทับใจที่ นูเดิล พยายามจะมอ
บบางสิ่งบางอย่างให้กับชีวิตของเขา
นั่นก็คือทักษะการอ่านหนังสือ
รวมถึงยังรู้สึกขอบคุณที่นูเดิล
ยังคงเชื่อมั่นในตัวของเขาอยู่
แม้ว่าเขาจะต้องตกที่นั่งลำบาก
ในการต่อสู้กับเหล่าพ่อค้ารายใหญ่ทั้งสาม
แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะยืนหยัดฝ่ามันไปกับเขา
ซึ่งนูเดิลได้บอกกับวิลลี่ว่า
สิ่งที่เธอกังวลตอนนี้คือ
วิธีในการขายช็อกโกแลตของเขา
เพราะหากถูกตำรวจตามมาเจอ
จะต้องถูกจับและขับให้พ้นจากเมืองอย่างแน่นอน
หรือเขาก็ต้องหายตัวหนีไปให้ได้ราวกับนักมายากล โ
ดยคำว่า “นักมายากล” นี้เอง
ที่ได้สะกิดต่อมความคิดของวิลลี่
เพราะตัวเขาเอง
ก็มีความสามารถด้านนี้อยู่แล้ว
ก่อนจะบอกว่า
นักมายากลสามารถหายตัวได้เมื่ออยู่บนเวที
เพราะบนนั้นมีเชือกรอกและประตูกล
แต่ติดปัญหาตรงที่บนถนนไม่มี
ทันใดนั้นเอง อบาคัส, เบนท์, ลอตตี้
และชัคเคิลส์เวิร์ธ ที่อยู่ห้องข้างๆ
ก็โผล่ออกมาที่บานหน้าต่างของห้องตัวเอง
เพื่อเข้าร่วมวงสนทนาในครั้งนี้ด้วย
ซึ่งพวกเขาพร้อมที่จะใช้ความสามารถ
ที่ตัวเองมีในการช่วยทำงานของทั้งคู่ให้สำเร็จ
และหวังว่าทุกคนจะได้ออกจากที่นี้ไปพร้อมกัน
โดยเบนท์ที่เป็นช่างประปาบอกว่า
จริงๆ แล้วบนถนนมีประตูกลอยู่
เรียกว่า “ท่อระบายน้ำ”
ซึ่งเธอรู้จักช่องทางเข้าออกเป็นอย่างดี
เพราะมันคืออาชีพที่ทำทุกวัน
ยินดีพาไปดู หากให้เข้าร่วมทีมด้วย
แต่อบาคัสกลับไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้
เพราะเขามองว่ามันสุ่มเสี่ยงเกินไป
และมีโอกาสถูกตำรวจจับได้สูงมากๆ
นูเดิล จึงโยนช็อกโกแลตของวิลลี่
ให้ได้ลองชิมดูว่ารสชาติของมันเลิศรสมากเพียงใด
พอได้กินเท่านั้นแหละ อบาคัสถึงกับตาวาว
พร้อมถาม “เริ่มลุยกันเมื่อไหร่ดี?”
ซึ่งเมื่อทุกคนกิดความมั่นใจ
ที่จะลุยภารกิจนี้อย่างทันที
ด้วยความเชื่อมั่นว่าช็อกโกแลตแสนวิเศษของวิลลี่
จะปลดปล่อยพวกเขาไปสู่อิสรภาพได้แน่
ค่ำคืนนั้นจึงเหมือนมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างลับๆ
ในสถานที่ที่ไม่มีใครคาดคิดว่า “ความหวัง” จะเกิดขึ้น
บทที่ 12: คุณไม่เคยได้กินช็อกโกแลตเช่นนี้ 🍫
เช้าวันต่อมา พวกเขาก็เริ่มปฏิบัติการ
ขายช็อกโกแลตสุดพิลึกอย่างทันที
ด้วยการให้ วิลลี่ ปลอมตัวเข้าไปยัง
สถานที่ต่างๆ ภายในเมือง
เพื่อแอบขายช็อกโกแลตในสถานที่นั้นๆ
เช่น ปลอมไปเป็น พนง.เสิร์ฟในร้านอาหาร
พร้อมกับขาย “มาการองนมยีราฟ (Giraffe Milk Macaron)”
ให้กับหนุ่มๆ ที่กำลังเขินอาย
ต่อการเข้าไปจีบสาวๆ
โดยสรรพคุณของช็อกโกแลตสูตรนี้
จะทำให้ผู้ที่กินเข้าไป
เกิดความมั่นใจในตัวเองขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม
เหมือนกับความสูงของยีราฟ
ที่สามารถยืนเด่นสง่า
อยู่ท่ามกลางสัตว์อื่นๆได้เสมอ
หรือแม้กระทั่งปลอมตัวไปเป็นช่างตัดผม
พร้อมขาย “เอแคลร์บำรุงผม (Hair Repair Eclair)”
ที่ทำให้เหล่าท่านชายที่
สูญเสียความมั่นใจจากการมีผมขาดหลุดร่วง
กลับมาหล่อเหลาได้อีกครั้ง
ด้วยผมดกเงางามที่งอกขึ้นมาใหม่ทันที
หลังจากที่กินมันเข้าไป
รวมถึงปลอมตัวไปเป็น พนง.ขายตั๋วโดยสา
รบนรถรางประจำเมือง พร้อมขาย
“ช็อกโกแลตบรอดเวย์ (Broadway Chocolate)”
ให้กับสาวๆ ที่เมื่อกินเข้าไปแล้ว
จะสามารถร้องเพลงได้อย่างไพเราะ
ราวกับเป็นดาวจรัสในละครบรอดเวย์เลยทีเดียว
ซึ่งทางด้านนูเดิลและคนอื่นๆ
จะคอยสอดส่องดูเหล่าตำรวจในบริเวณรอบๆ
และเมื่อไหร่ที่ถูกพบเข้า
พวกเขาก็จะส่งสัญญาณบางอย่าง
บอกให้วิลลี่รับรู้
เพื่อรีบหนีลงไปในท่อระบายน้ำบริเวณใกล้ๆ
ที่เบนท์ได้เปิดรอเอาไว้
โดยแผนการทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดีเป็นระยะ
พวกเขาทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกวัน
กินระยะเวลานานหลายเดือน
ที่ได้เปลี่ยนโฉมให้เมืองแห่งนี้
กลายเป็นเมืองที่มีสีสัน
และมีชีวิตชีวาขึ้นมา
จากความมหัศจรรย์ของช็อกโกแลตวองก้า
ผู้คนต่างเรียกร้องและ
โหยหาช็อกโกแลตของเขามากขึ้นๆ
พร้อมบอกต่อกันปากต่อปากว่า
“คุณไม่เคยได้กินช็อกโกแลตเช่นนี้แน่ๆ
(You’ve never had chocolate like this)”
แม้ว่าชาวเมืองจะมีความสุข
และรักช็อกโกแลตวองก้ามากแค่ไหน
ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่รู้สึกไม่ปลื้มใจและ
ไม่ยินดีกับความสำเร็จนี้ของเขาแม้แต่น้อย
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก
เหล่าพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
ที่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
พวกเขาก็ยิ่งหัวเสียมากเท่านั้น
เพราะยอดขายช็อกโกแลตวองก้า
กำลังแย่งฐานลูกค้าของพวกเขาไปอย่างมหาศาล
ขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป เจ๊งแน่นอน
นั่นทำให้หัวหน้าผู้บัญชาการตำรวจ
ต้องเข้มงวดกับงานนี้มากขึ้น
และกำชับให้เหล่าลูกน้องเร่งมือตามจับวิลลี่มาให้ได้
เมื่อเวลาผ่านไปถึงจุดหนึ่ง
นายตำรวจน้ำดีบางคนก็เริ่มสงสัย
กับคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้าขึ้นมาว่า
ทำไมต้องให้ความสำคัญ
กับการตามล่าพ่อค้า
ช็อกโกแลตธรรมดาๆ คนหนึ่งถึงขนาดนี้
ทั้งที่มันรสชาติดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร
หนำซ้ำยังสร้างความสุขให้กับผู้คนที่ได้ลิ้มลองมันอีกด้วย
สู้เอาเวลาและกำลังพลไปทำเรื่อง
ที่สำคัญและเร่งด่วนกว่านี้
อย่างการตามจับเหล่าอาชญากรยังดีกว่า
ซึ่งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน
เหล่าตำรวจที่พยายามทุกวิถีทาง
ก็ยังคงคว้าน้ำเหลวในการตามจับวิลลี่
และพรรคพวกอยู่ดี
(โปรดติดตามต่อใน Part 2)
โฆษณา