22 เม.ย. 2024 เวลา 13:23 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Wonka: ความฝัน ความหวัง และอิสรภาพ Part 2

บทที่ 13: “อุมปา ลุมป้า 🟢🟠”
จนมาถึงคืนหนึ่งที่วิลลี่
กำลังนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง
หลังเหน็ดเหนื่อยในการขายช็อกโกแลตมาทั้งวัน
ก็ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมอุทานว่า “จับได้แล้ว”
ด้วยกลไกกับดักที่เขาประดิษฐ์
เอาไว้ได้ทำงานขึ้น
เพื่อหวังจะจับ “คนตัวเล็กสีส้ม”
สิ่งมีชีวิตปริศนาที่คอยตามขโมย
ช็อกโกแลตของเขามาตลอดหลายปี
ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม
จากที่เคยเล่าให้นูเดิลฟังก่อนหน้านี้
แต่เธอก็ไม่เชื่อเขาเลย
โดย วิลลี่ หวังว่าหากจับเจ้าตัวนี้ได้เมื่อไหร่
เขาจะเอาไปเป็นหลักฐานให้ทุกคนได้ดูว่า
สิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องจริง
และเมื่อเขาเปิดสวิทช์ไฟในห้อง
ก็ได้พบเห็นกับสิ่งที่น่าประหลาดใจสุดๆ
นั่นก็คือร่างของชายที่มีขนาดตัวเล็กอย่างมาก
ถึงแค่ประมาณหัวเข่าของเขา
ตัวสีส้ม ผมสีเขียว อย่างที่เคยนึกภาพ
ถูกขังเอาไว้ในขวดโหลใส่ช็อกโกแลต
ทันใดนั้นเจ้าคนตัวเล็กสีส้ม
ก็ได้เริ่มพูดต่อว่าวิลลี่ทันทีว่า
ไม่มีสิทธิมาขังเขาเอาไว้แบบนี้
วิลลี่จึงตอบกลับไปว่า
“ก็นายมาขโมยช็อกโกแลตของฉันไงล่ะ”
คนตัวเล็กสีส้มที่ได้ยินเช่นนั้น
จึงรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
พร้อมสวนว่า “ก็นายขโมยก่อน”
นั่นก็ยิ่งทำให้ วิลลี่ สับสน
กับสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าเดิม
ว่าเขาไปขโมยของใครตอนไหนกัน
คนตัวเล็กสีส้มจึงถือโอกาสแนะนำตัว
และอธิบายทุกอย่างให้ วิลลี่ ได้เข้าใจว่า
ตัวเขานั้นเป็นชนเผ่าที่มีชื่อ
“อุมปา ลุมป้า (Oompa Loompa)”
จากเกาะ ลุมป้าแลนด์ (Loompa Land)”
ผู้เคยเป็นหน่วยยามรักษาการณ์
ประจำเกาะแห่งนั้น และมีอยู่วันหนึ่ง
ที่วิลลี่ได้เดินทางขึ้นไปที่นั่น
พร้อมกับเด็ดเอาเมล็ดโกโก้ไปถึง 4 ฝัก
ซึ่งสำหรับชาว อุมปา ลุมป้าแล้ว
เมล็ดโกโก้ถือเป็นของที่มีค่าอย่างมาก
เพราะบนเกาะ ลุมป้าแลนด์
เป็นพื้นที่ที่ต้นโกโก้เติบโตได้ยากมาก
พวกเขาจึงต้องดูแลมันอย่างดีเป็นพิเศษ
และเมื่อวิลลี่มาฉกเอาไปดื้อๆ
ยามรักษาการณ์อย่างเขาจึง
ต้องซวยรับผลของการกระทำนี้
โดยเขาถูกชาว อุมปา ลุมป้า ที่เหลือ
เนรเทศให้ออกจากเกาะ พร้อมกับเงื่อนไขที่ว่า
เขาจะได้รับการอภัยโทษก็ต่อเมื่อ
สามารถนำเมล็ดโกโก้กลับมาคืนให้ได้
เป็นจำนวนหนึ่งพันเท่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม
ถึงต้องคอยตามขโมยคืนจากวิลลี่
พอได้เข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างลึกซึ้งแล้ว
หนุ่มผู้คลั่งรักช็อคโกแลต
ก็แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคุณลุมป้า
โดยบอกว่า เขาเข้าใจปัญหาที่กำลังประสบอยู่
แต่คงให้ช็อกโกแลตทั้งหมดที่มีในตอนนี้ไปไม่ได้
เพราะมีกลุ่มคนที่กำลังรอความหวังจากเขาอยู่
เมื่อลุมป้าฟังเหตุผลของวิลลี่จบ
เขาก็ทำท่าทีราวกับว่าเห็นใจเช่นกัน
จึงบอกให้ วิลลี่ ปล่อยออกไปจากขวดโหล
แล้วค่อยมาหาทางตกลงกันอีกทีหนึ่ง
และด้วยความไร้เดียงสาของหนุ่มน้อย
วิลลี่ก็เชื่อใจลุมป้าทันที
โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นลุมป้าก็บอกให้วิลลี่
ไปหยิบกระทะใบหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังห้องมาให้เขา
ซึ่งวิลลี่ก็ไม่รู้เหตุผลว่าลุมป้า จะเอาไปทำอะไร
แต่เขาก็ยอมทำตามคำขออย่างไม่มีข้อสงสัย
ซึ่งเมื่อลุมป้าได้กระทะใบดังกล่าวมาอยู่ในมือ
เขาก็ใช้มันฟาดเข้าที่หน้าของวิลลี่เข้าอย่างจัง
พร้อมรีบกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่าง
และนำขวดโหลที่เต็มไปด้วยช็อกโกแลตของวิลลี่
ที่แม้ว่าเขาจะพยายามขอร้องให้เจ้าลุมป้าว่าอย่าเอามันไป
ก็ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังพูดสวนกลับมา
อีกว่า “เราชาว อุมปา ลุมป้า จะไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น”
บทที่ 14: นี่คือโลกส่วนตัว 🍭🍫🌷🌈
เช้าวันต่อมา ก่อนที่วิลลี่และผองเพื่อน
จะออกไปขายช็อกโกแลตตามปกติ
เขาก็บอกกับทุกคนว่า
ช็อกโกแลตได้ถูกขโมยไปอีกครั้ง
โดยเจ้าคนตัวเล็กสีส้ม
แน่นอนเมื่อทุกคนได้ฟัง
ต่างก็พากันส่ายหัวให้กับสิ่งที่พูดออกมา
หนำซ้ำยังหาว่า วิลลี่ นอนฝัน
แล้วละเมอกินช็อกโกแลตของตัวเองจนหมดมากกว่า
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าวันนี้
พวกเขาจะไม่ต้องขายช็อกโกแลต
อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป
เมื่อนูเดิลได้บอกกับวิลลี่ว่า
ตอนนี้เงินที่ได้จากการขายช็อกโกแลต
สามารถเก็บสะสมมาได้ถึงยอดจำนวนหนึ่ง
ที่จะสามารถนำไปต่อยอด
เช่าพื้นที่ในห้างแกเลอรี่โกร์เมต์
เพื่อเปิดร้านช็อกโกแลตในฝัน
อย่างที่วิลลี่ตั้งใจเอาไว้ได้แล้ว
จากนั้นพวกเขาจึงพากันเข้าไปเยี่ยมชมร้านดังกล่าว
ซึ่งพบว่าภายในมีความเก่าและทรุดโทรมอย่างมาก
ผนังก็เต็มไปด้วยรอยร้าว
ฝ้าเพดานก็พังถล่มลงมาเนื่องจากน้ำที่ท่วมขัง
โดยในสีหน้าแววตาที่เต็มไปด้วย
ความสับสนและลังเลของวิลลี่
ทำให้ นูเดิล เริ่มกังวลใจ
และถามไปว่า “เป็นยังไงบ้าง คุณชอบที่นี้มั้ย?”
วิลลี่ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะตอบกลับไปว่า
“ฉันชอบมั้ยหรอ?
มันเหมือนที่ฉันจินตนาการมาตลอดเลย
ไม่สิ มันดีกว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้ด้วยซ้ำ!
พวกเราจะไม่ต้องทนอยู่ในร้านซักรีดอีกต่อไปแล้ว
จากนี้พวกเราจะเป็นอิสระ เหมือนกับเหล่านกฟลามิงโก้”
เมื่อพูดจบนูเดิลก็วิ่งโผกอดวิลลี่ด้วยความดีใจ
พร้อมกับรอยยิ้มของทุกคนที่เชื่อมั่น
ในความหวังที่วิลลี่หยิบยื่นให้พวกเขา
และเมื่อใช้เวลาในการปรับปรุงต่อเติมร้านอยู่พักหนึ่ง
ก็ถึงเวลาแล้วที่วิลลี่จะ
เผยโฉมร้านช็อกโกแลตสุดมหัศจรรย์
ตามที่เขาใฝ่ฝันให้กับโลกได้เห็น
โดยวินาที่ที่วิลลี่
เปิดประตูร้านช็อกโกแลตวองก้าออกไป
พร้อมกับเชิญชวนทุกคนในที่แห่งนี้
ได้ลองเข้ามาสัมผัสโลกแสนวิเศษ
ที่เขาเนรมิตขึ้นมาหลังประตูบานนั้น
ทันใดนั้นเองผู้คนก็ต่างพากัน
วิ่งกรูเข้าไปในร้าน
ราวกับว่าจะได้หลุดเข้าไปในสวรรค์
หรือดินแดนวิเศษอะไรทำนองนั้น
ซึ่งคำๆ นี้ก็ไม่ถือเป็น
คำกล่าวเกินตัวแต่อย่างใด
เพราะสิ่งที่ทุกคนได้เห็น
หลังย่างก้าวเข้าไปในร้านนั้น
สวยงามดุจดินแดนในเทพนิยายก็มิปาน
โดยตรงกลางของร้านจะมีต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่
ใบของมันมีสีชมพูคล้ายต้นซากุระ
พร้อมกับผลบางอย่างที่ห้อยอยู่
คล้ายกับลักษณะของลูกเชอร์รี่
รอบๆ เหมือนกับเป็นลำธาร
ที่มีเรือลำน้อยกำลังแล่นอยู่
นอกจากนั้นในทั่วทั้งบริเวณของร้าน
ยังถูกประดับไปด้วยดอกไม้นานาชนิด
สีสันสวยสดงดงาม ที่ทำให้ลูกค้าเพลิดเพลิน
เหมือนได้อยู่ท่ามกลาง
ความสวยของธรรมชาติที่แสนสดชื่น
นอกจากนั้นที่ด้านบน
ยังมีลูกกวาดขนาดยักษ์รูปสายรุ้งห้อยอยู่
ที่ได้สร้างความเบิกบานใจให้กับทุกคน
ที่ได้เชยชมความสวยงามในสีของรุ้งทั้งเจ็ดนั้น
และที่สำคัญที่สุดก็คือทุกอย่างในที่แห่งนี้กินได้
เพราะมันล้วนทำมาจากช็อกโกแลต
รวมถึงของหวานชนิดอื่นๆ มากมาย
ที่ถูกรวบรวมเอาไว้ในที่เดียว
โดยวิลลี่ได้กล่าวกับลูกค้าทุกท่านว่า
“นี่คือโลกส่วนตัวที่พักพิงให้อุ่นไอ
สนุกกันถ้วนทั่วได้ทำตามหัวใจ
ไม่ว่าโชคชะตาจะพัดพาไปแห่งใด
บ้านเราตรงนี้เราเป็นได้ดั่งใจ (A World of Your Own)”
ซึ่งเหตุผลที่วิลลี่ออกแบบร้าน
ให้เป็นลักษณะนี้ก็เพราะ
ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ใน
ความทรงจำวัยเด็กของเขากับแม่
เช่น การได้ล่องเรือไปในแม่น้ำ
ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติ
และเป็นภาพที่เขาจดจำได้ดีอย่างไม่มีวันลืม
วิลลี่จึงตั้งใจที่จะนำความทรงจำที่สวยงามนี้ของเขา
แบ่งปันมันให้กับทุกๆ คน
ผ่านสื่อกลางด้วยช็อกโกแลตที่รักนั่นเอง
โดยเขาหวังว่าเมื่อลูกค้าทุกคน
ได้กินช็อกโกแลตร้านนี้
จะรู้สึกประทับใจและมีความสุข
เหมือนกับตอนที่เขาได้กินช็อกโกแลตของแม่
บนเรือลำนั้นนั่นเอง
บทที่ 15: ยาพิษ ☠️
แต่ขณะที่ลูกค้าทุกคน
กำลังเพลินเพลินและมีความสุข
ไปกับร้านช็อกโกแลตของวิลลี่นั้น
จู่ๆ ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เมื่อลูกค้าบางคนเริ่มมีผม
และหนวดงอกขึ้นมาอย่างผิดปกติ
แถมยังมีสีสันหลากสีต่างกันออกไป
ที่มองดูยังไงนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากได้
จากการกินช็อกโกแลต
วิลลี่จึงรีบเช็กและชิมช็อกโกแลตเขาทันที
พร้อมพบว่ามันมีส่วนผสมบางอย่าง
ที่เขาไม่ได้ตั้งใจใส่มันลงไป
ซึ่งสิ่งนั้นเรียกว่า “เหงื่อของเยติ (Yeti Sweat)”
แปลว่าช็อกโกแลตเขาถูกวางยาพิษ
เมื่อลูกค้าทุกคนได้ยินเช่นนั้น
ก็ต่างพากันโวยวายต่อว่าวิลลี่
และเรียกร้องค่าเสียหายกันยกใหญ่
ที่ถึงแม้ว่าพ่อหนุ่มพลังบวก
จะพยายามอธิบายร้องขอความเห็นใจ
ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจอยากให้เป็น
แต่ก็ไม่เกิดผลใดๆ หนำซ้ำยังทำให้
ลูกค้าโกรธเคืองเขามากขึ้น
พร้อมอาละวาดทำลายข้าวของภายในร้าน
ในที่สุดโคมไฟที่ถูกแขวนอยู่ในร้าน
ก็ร่วงหล่นลงมา เกิดเป็นประกายไฟ
ทำใหร้านลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสุดร้อนแรง
ก่อนที่ลูกค้าจะทยอยพากันหนีตายออกไป
พร้อมภาพที่วิลลี่
นั่งคุกเข่าลงด้วยความหดหู่เกินทน
สิ่งที่ตั้งใจสร้างมาราวกับแดนสวรรค์ในเทพนิยาย
กำลังเลือนหายไปกลายเป็นเถ้าธุลีแสนอดสู
โดยสิ่งที่เขารู้สึกสิ้นหวัง
ยิ่งกว่าช็อกโกแลตที่กำลังมอดไหม้
ก็คือชื่อเสียงที่ถูกทำลายอย่างป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
จากนี้คงไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวเขาอีกแล้ว
จากนี้คงไม่มีใครอยาก
ลิ้มลองช็อกโกแลตของเขาอีกต่อไป
ช็อกโกแลตแสนวิเศษที่ตั้งใจสรรสร้าง
ได้ถูกมองว่าเป็น “ยาพิษ”
ที่แสนอันตรายไปเสียแล้ว
ซึ่งในขณะที่ วิลลี่ กำลังนั่งครุ่นคิด
อยู่บนเศษซากกองเถ้าถ่านนั้น
เหล่าผองเพื่อนก็ได้หารือกัน
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีสาเหตุมาจากอะไร
อบาคัส จึงพูดสวนขึ้นมาทันทีว่า
“ยังไม่ชัดอีกหรอ ก็ฝีมือ
พวกพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ไง”
ทันใดนั้นนูเดิล
ก็ได้เข้ามาปลอบใจวิลลี่
ว่าถึงร้านจะถูกทำลายก็ไม่เป็นไร
ยังไงพวกเราก็จะช่วยกันสร้างมันขึ้นมาใหม่
แต่วิลลี่ที่กำลังตกอยู่ใน
ภาวะความสิ้นหวังอย่างสุดขีด
ก็ได้บอก “ไม่มีประโยชน์หรอก
แม่เคยบอกว่าจะมา
ในวันที่ฉันเผยช็อกโกแลตให้กับโลก
แต่สุดท้ายก็ไม่มา มันเป็นแค่ความฝันโง่ๆ”
นั่นทำให้นูเดิลรู้สึกตกใจ
กับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก
เธอไม่คิดว่าคนที่มองโลกในแง่ดี
และเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน
อันแรงกล้าอย่างวิลลี่
จะมาอยู่ในจุดที่สิ้นหวังและยอมแพ้
ให้กับทุกสิ่งได้ขนาดนี้
ทุกคนจึงค่อยๆพากันเดินออกจากร้าน
ปล่อยให้วิลลี่ได้ลองทบทวน
อยู่กับตัวเองสักพักหนึ่ง
จากนั้นพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
ก็ได้โผล่เข้ามาทักทาย
แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด
แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายขนาดนั้น
โดยพวกเขาได้มาบอกว่า
ทั้งหมดเป็นฝีมือของพวกเขาเอง
ซึ่งสลักเวิร์ธได้ตามสืบจนรู้ว่าวิลลี่
อาศัยอยู่ที่ร้านซักรีดของคุณนายสครับบิท
จึงไปบอกความลับของวิลลี่
ให้คุณนายได้รับรู้ ว่าเขานั้น
แอบหนีออกไปขายช็อกโกแลตกับเพื่อนๆ
พร้อมกับจ้างคุณนายให้วางยา
ลงไปในช็อกโกแลต
โดยที่พวกเขามากันในวันนี้
ก็เพื่อจะยื่นข้อเสนอให้กับวิลลี่
ว่าให้ยอมถอยออกไปจากเมืองนี้
และห้ามทำช็อกโกแลตอีกตลอดชีวิต
ซึ่งหากวิลลี่สามารถทำตามข้อตกลงนี้ได้
ก็ได้รับเงินไปชดใช้หนี้ของเขา
และผองเพื่อนทุกคนที่ติดคุณนายตัวแสบอยู่
ทุกคนจะได้รับอิสระทันที
รวมถึงนูเดิลที่จะได้รับเงินก้อนพิเศษ
ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเธออีกด้วย
วิลลี่ที่ได้ยินเช่นนั้น
จึงรับรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องยอมตอมรับ
ข้อตกลงนี้อย่างไม่มีทางเลือก
เพราะเหตุการณ์ในวันนี้ได้เป็นข้อพิสูจน์แล้ว
ที่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใด
ก็ไม่อาจเอาชนะอำนาจมืด
ของพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสามได้เลย
บทที่ 16: ขอโทษนะ นูเดิล 🥲
เมื่อตอบรับข้อเสนอแล้ว
วิลลี่ก็เดินตรงกลับมายังที่พักทันที
โดยมีคุณนายสครับบิท
ที่รอต้อนรับเขาอยู่แล้ว
วิลลี่เดินตรงขึ้นไปบนห้อง
เพื่อเก็บข้าวของ
ก่อนจะค่อยๆ กวาดตามอง
ทุกอย่างภายในห้อง
ราวกับว่าเขาจะได้เห็นมันเป็นครั้งสุดท้าย
ซึ่งบนผนังมีกระดาษตัวอักษรตั้งแต่ A-Z
ที่นูเดิลเขียนให้กับเขาติดเอาไว้
นั่นยิ่งทำให้วิลลี่รู้สึกผิดและเสียใจ
ที่ไม่สามารถทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเธอได้
โดยเขาหวังว่าสักวันหนึ่ง
นูเดิลคงจะเข้าใจ
ว่าสิ่งที่เขาต้องทำลงไป
มันคือความจำเป็นอย่างที่
เขาไม่มีทางเลือก
พร้อมพึมพำกับตัวเองว่า
“ขอโทษนะนูเดิล
ฉันอาจจะพาเธอคิดเพ้อไปไกล
ฉันก็แค่อยากให้เธอ
มีความสุขเหมือนกับตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก”
จากนั้นเขาก็เดินไปที่ท่าเรือ
เพื่อพบกับพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
รวมถึงหัวหน้าผู้บัญชาการตำรวจ
ที่รออยู่ส่งเขาขึ้นเรือออกไปอย่างไม่มีวันกลับ
โดยก่อนที่จะจากกัน สลักเวิร์ธ
ก็ได้ทำการจับมือกับ วิลลี่ เพื่อบอกลา
ช่างเป็นการจับมือที่แนบแน่น
แต่แฝงไปด้วยความไม่จริงใจอย่างถึงที่สุด
พร้อมกับส่งวิลลี่เดินขึ้นเรือ
ไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสะใจ
ว่าคู่แข่งที่เก่งกาจที่สุดของพวกเขา
จะไม่มีวันกลับมาเหยียบเมืองนี้อีก
แต่วิลลี่กลับไม่รู้เลยว่าทั้งสาม
รวมถึงหัวหน้าตำรวจ
ได้วางแผนการสุดชั่วร้ายเอาไว้
ในการกำจัดเขาออกไปอย่างถาวร
ซึ่งการที่วิลลี่ได้มาขึ้นเรือลำนี้นั้น
มันคือตั๋วเที่ยวเดียวไม่มีวันกลับ
และไม่มีจุดหมายปลายทางอีกด้วย
รวมถึงกัปตันเรือก็เป็นคนที่พวกเขาจ้างมานั่นเอง
โดยขณะที่วิลลี่
กำลังนั่งอยู่บนเรือท่ามกลาง
ความหนาวเหน็บนั้น
เจ้า “ลุมป้า” เจ้าเก่าเจ้าเดิม
ก็ตามเขาขึ้นมาบนเรืออีกครั้ง
เพื่อทวงช็อกโกแลตที่ยังติดค้างอยู่ต่อไป
วิลลี่เลยบอกกับลุมป้าว่า
เขาคงไม่ได้ทำช็อกโกแลตแล้ว
เลิกตามทวงจากเขาจะดีกว่า
ลุมป้าจึงพูดสวนกลับไปว่า
“นายจะยอมทำตาม
ข้อตกลงแสนงี่เง่านี่จริงๆ เหรอ?
นายควรจะลุกขึ้นสู้กับคนชอบรังแกพวกนั้น”
วิลลี่จึงตอบกลับไป
ด้วยสีหน้าที่ยังตกอยู่ในความสิ้นหวัง
ว่ามันจำเป็นต้องทำ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของนูเดิล
เขาเกี่ยวก้อยให้สัญญากับเธอไว้แล้ว
และในขณะที่วิลลี่
กำลังนั่งก้มหน้ายอมรับ
ในโชคชะตาของเขาอยู่นั้น
เจ้าตัวก็ได้สังเกตไปที่ฝ่ามือของตัวเอง
ซึ่งมีรอยแหวนที่สลักเวิร์ธ
สวมไว้ตอนจับมือกับเขาประทับอยู่
เป็นรอยรูปตัว A ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นได้ว่า
แหวนทรงแบบนี้คือแบบเดียว
กับสร้อยของนูเดิลที่มีตัว N สลักอยู่
และถ้าทุกอย่างเป็นแบบที่คิดจริงๆ
นูเดิลต้องกำลังตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ
วิลลี่เลยรู้ตัวทันทีว่า
ต้องรีบกลับไปช่วยเธอ
เพราะสลักเวิร์ธจะไม่ยอมทำตาม
ข้อตกลงที่ให้ไว้แน่นอน
จึงรีบวิ่งไปที่ห้องของกัปตันอย่างทันที
แต่สิ่งที่เขาพบก็คือ ระเบิดไดนาไมท์
ที่ถูกจุดฉนวนเรียบร้อย
และกำลังจะระเบิดในอีกไม่ช้า
ทันใดนั้นเรือก็ได้ระเบิดออกเป็นจุณ
เกิดเป็นเปลวเพลิงพร้อมกับ
ควันพวยพุ่งกลางมหาสมุทร
ที่ทำทำให้กลุ่มพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
ต่างเชื่อว่านี่คือจุดจบของวองก้าอย่างแท้จริง
บทที่ 17: เปลี่ยนแปลงโลก 🌍
ทางด้านของนูเดิล
และทุกคนในร้านซักรีด
ได้ตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่
พร้อมกับค้นพบว่าชะตาชีวิตของพวกเขา
ที่กำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เมื่อคุณนายสครับบิทได้เรียก
มารับทราบข้อตกลงที่วิลลี่
ได้ทำร่วมไว้กับพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
นั่นคือการที่เขายอมละทิ้งความฝัน
ในการเปิดร้านช็อกโกแลต
เพื่อแลกกับการซื้ออิสรภาพทุกคน
นูเดิลถึงกับอุทานขึ้นมาทันทีว่า
“อะไรนะ” เพราะเธอแทบ
ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
ว่าคนอย่างวิลลี่จะยอมแพ้
และยอมละทิ้งความฝันอันสวยงามของเขาไปจริงๆ
โดยคุณนายได้บอกให้ อบาคัส, เบนท์,
ลอตตี้ และชัคเคิลส์เวิร์ธ
สามารถออกไปจากร้านซักรีด
และใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติทั่วไปได้แล้ว
ส่วนนูเดิลนั้นจะต้องอยู่ที่นี้ไปตลอดชีวิต
เพราะเงินที่คุณ สลักเวิร์ธ ได้จ่าย
ไม่ได้ซื้ออิสรภาพให้กับนูเดิล
แต่เป็นการจ่ายเพื่อให้เธอ
ถูกขังอยู่ที่นี้ไปตลอดกาล
นูเดิลที่ได้ยินเช่นนั้น
จึงโกรธเคืองคุณนายเป็นอย่างมาก
พร้อมตะโกนว่า “ฉันเกลียดคุณ แล้วรู้อะไรมั้ย?
เจ้า บลีชเชอร์ ก็ไม่ใช่คนชั้นสูง
ไม่ใช่ท่านลอร์ดอะไรทั้งนั้น
พวกเราแต่งเรื่องขึ้นมาเองต่างหาก ยายแก่บ้า!”
เมื่อคุณนายฟังจบ เธอก็หัวเสีย
และใจสลายเป็นอย่างมาก
พร้อมกับนำตัวเธอขึ้นไปขังลืม
ไว้บนห้องใต้หลังคาอีกครั้ง
นูเดิลเลยนั่งถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง
จากที่เคยจินตนาการถึงอิสรภาพ
ที่ฝันร่วมกันไว้กับวิลลี่
แต่สุดท้ายเธอก็ต้องกลับมา
จมปลักอยู่ในที่แห่งเดิมอีกครั้ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแทกอย่างดังด้านนอก
คล้ายกับเสียงของคนที่กำลัง
ใช้บันไดปีนขึ้นมายังบริเวณนี้
นูเดิลจึงมองออกไปที่
ช่องระบายอากาศด้วยความหวาดกลัว
แต่แล้วจู่ๆ วิลลี่ ก็โผล่หน้า
มาที่ช่องเล็กๆ ช่องนั้น
นั่นทำให้นูเดิลรู้สึกประหลาดใจ
และดีใจอย่างบอกไม่ถูก
เพราะเธอคิดว่าวิลลี่ได้จากเมืองนี้ไปแล้ว
ซึ่งวิลลี่ก็ได้บอกกับเธอว่า
ที่เขาตัดสินใจกลับมา
เพราะไปเจอพิรุธบางอย่างของสลักเวิร์ธเข้า
ชนิดที่หากพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่เหล่านี้ไม่ถูกจัดการ
นูเดิลก็จะไม่มีวันได้เป็นอิสระอย่างแน่นอน
รวมถึงเขายังได้ตามเพื่อนๆ ทุกคน
กลับมาช่วยเธออีกด้วย
โดยวิลลี่ได้วางแผนที่จะเข้าไปขโมย
สมุดบัญชีอีกเล่มของกลุ่มพ่อค้าทั้งสาม
ที่บันทึกเกี่ยวกับการทำธรุกิจมืดต่างๆ ไว้ภายในนั้น
อบาคัสเลยแย้งขึ้นมาว่า
สมุดเล่มนั้นถูกซ่อนเอาไว้
ภายในห้องลับใต้โบสถ์
ที่มีเหล่าบาทหลวง
และหน่วยรักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่
และต่อให้วิลลี่ขโมยมันออกมาได้
ทั้งสามก็จะติดสินบนเจ้าหน้าที่ให้พ้นผิดอยู่ดี
นูเดิลเลยพยักหน้าด้วยความเห็นด้วย
พร้อมเสริมว่า “ใช่แล้ว
คนโลภย่อมชนะคนจนเสมอ
ฉันเคยบอกคุณแล้วไง วิลลี่
มันเป็นวิถีของโลก”
วิลลี่จึงพูดกลับไปว่า
“เธอพูดถูก นูเดิล ฉันเกลียดที่
จะต้องยอมรับมันแต่เธอพูดถูก
นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องทำอีกอย่าง”
นูเดิลถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ทำอะไรล่ะ?” วิลลี่ตอบกลับ
ด้วยความหนักแน่น “เปลี่ยนแปลงโลกไง!”
บทที่ 18: คำพิพากษาในรูปแบบของยีราฟ 🦒
เมื่อสามารถพานูเดิล
ออกมาจากห้องใต้หลังคาได้แล้ว
วิลลี่และผองเพื่อนก็ได้เริ่มปฏิบัติการ
ของพวกเขาทันที
ซึ่งวิลลี่กับนูเดิล
ได้พากันกลับเข้าไปที่สวนสัตว์อีกครั้ง
โดยทั้งคู่หวังที่จะพึ่งพา
ความช่วยเหลือของเพื่อนคอยาว
ที่อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้นนั่นคือ “แอบิเกล”
เจ้ายีราฟแสนเชื่องที่เคยมารีดน
ไปทำช็อกโกแลตแสนวิเศษนั่นเอง
โดยทั้งคู่ได้ทำทุกอย่างเหมือนคราวก่อน
ที่ลอบเข้ามาในสวนสัตว์แห่งนี้ทุกประการ
นั่นคือการนำช็อกโกแลตสูตร “คืนสำราญ”
ไปให้กับ รปภ. ได้กิน และฟุบหลับไป
ก็เป็นทางสะดวกที่จะพาตัวแอบิเกล
ออกมาสู่โลกกว้างในโบสถ์ใหญ่ประจำเมือง
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่า
เบื้องใต้ที่แห่งนี้นั้นจะเคลือบแฝง
ความชั่วร้ายบางอย่างเอาไว้
รวมถึงก็ไม่มีใครคาดคิดเช่นกันว่า
สิ่งที่กำลังจะบุกเข้าไปในนั้นก็คือเจ้าแอบิเกล
วิลลี่เลยบอกให้นูเดิล
แฝงตัวเป็นเด็กหลงทาง
ไปขอความช่วยเหลือ
จากเหล่าบาทหลวง
แล้วแอบหย่อนช็อกโกแลต
สูตร “อเคเซีย มินท์” ที่เป็น
ของโปรดเจ้า แอบิเกล
ลงไปในกระเป๋าของพวกเขา
และเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน
รถขนยีราฟก็ได้จอดลงที่หน้าประตูโบสถ์
เจ้าแอบิเกลเลยวิ่งตรงเข้าไปทันที
ด้วยฟีลคุ้มคลั่งเหมือนกำลังตามล่าอะไรบางอย่าง
ใช่ครับ เพราะมันทนต่อกลิ่น
แสนเย้ายวนของช็อกโกแลตสูตรนี้ไม่ไหว
ทำเอาเหล่าบาทหลวง
ต่างพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดเป็นจ้าละหวั่น
รวมถึงการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
ก็ต้องทำการยกเลิกทั้งหมด
เพราะเจ้าแอบิเกลได้ยึดที่นี้
เอาไว้หมดแล้วนั่นเอง
บาทหลวงจูเลียส
จึงโทรติดต่อไปที่สวนสัตว์
เพื่อให้ จนท. รีบมาจับยีราฟตัวนี้
กลับไปอย่างทันที
ทุกอย่างได้อยู่ในแผนที่
พวกเขาเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว
โดยลอตตี้ที่เป็น พนง.
สลับสายโทรศัพท์นั้น
ก็ได้เข้าไปยังออฟฟิศเธอ
เพื่อสลับสายดังกล่าวไปเข้ายัง
ตู้โทรศัพท์สาธารณะแห่งหนึ่ง
ซึ่งที่นั่นวิลลี่และคนอื่นๆ
ได้เตรียมรอรับสายดังกล่าว
ของบาทหลวงจูเลียสไว้อยู่แล้ว
และผู้ที่ปลอมตัวรับสายเป็น
จนท. สวนสัตว์ก็คือ ชัคเคิลส์เวิร์ธ
นักแสดงตลกมากความสามารถ
ที่ชั่วเวลาเพียงครู่เดียว
เขาก็สามารถใช้ทักษะการแสดงอันยอดเยี่ยม
หลอกให้บาทหลวงจูเลียสเชื่อตาม
จากนั้นพวกเขาก็ขับรถคันเดิมกลับมาที่โบสถ์
แล้วปลอมตัวว่าเป็น จนท.คนเดิมเข้าไปข้างใน
เพื่อจับเจ้าแอบิเกลออกมา
โดยด้านในกรงยีราฟมีวิลลี่กับนูเดิลซ่อนตัวอยู่
และเมื่อทางสะดวกทั้งคู่ก็แอบลอบ
เข้าไปในลิฟท์ที่พาลง
ไปยังห้องลับเบื้องล่าง
ซึ่งที่หน้าประตูทางเข้าห้องลับ
มี จนท.หญิงอีกรายดูแลอยู่
ทั้งคู่ที่กำลังซ่อนตัวบนหลังคาลิฟท์
จึงแอบหย่อนช็อกโกแลต
สูตร “คืนสำราญ” ลงไปอีกชิ้น
พร้อมกระดาษข้อความที่เขียนว่า
“ขอบคุณที่ตั้งใจทำงานอย่างดี
นี่คือของขวัญจากกลุ่มพ่อค้าช็อกโกแลต”
เมื่อเธอเห็นเช่นนั้น จึงรู้สึกปลาบปลื้ม
และได้หยิบมาลิ้มลองอย่างทันที
และแน่นอนว่าจากนั้นไม่นาน
เธอก็ฟุบสลบลงไปอย่างง่ายดาย
วิลลี่กับนูเดิลจึงรีบไปหยิบกุญแจ
ที่เข็มขัดของเธออย่างทันที
พร้อมใช้มันไขเพื่อเปิด
ประตูนิรภัยห้องลับแห่งนี้เข้าไปจนได้
บทที่ 19: ช็อกโกแลตแห่งความตาย ⚰️
ขณะที่วิลลี่กับนูเดิล
กำลังค้นห้องนี้จนทั่ว
เพื่อหาสมุดบัญชีดังกล่าว
สลักเวิร์ธที่บังเอิญได้ยิน
ข่าวรายงานทางวิทยุ
เกี่ยวกับเหตุการณ์ความวุ่นวาย
ที่เกิดขึ้นในโบสถ์ รวมถึงเรื่องยีราฟ
จึงไหวตัวได้ทันทีว่า นี่จะต้องเป็น
ฝีมือของวิลลี่และพรรคพวกอย่างแน่นอน
กลุ่มพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
จึงรีบมุ่งหน้ามาที่นี่ เพื่อหวังจะปิดฉาก
เรื่องราวความยุ่งเหยิงทั้งหมดให้ได้ในคราวนี้
จนในที่สุดวิลลี่กับนูเดิล
ก็พบสมุดบัญชีเล่มดังกล่าวจนได้
แต่ทันใดนั้นเองกลุ่มพ่อค้าทั้งสาม
ที่พึ่งเดินทางมาถึง
ก็ได้ยิงปืนขู่พวกเขาหนึ่งนัดทันที
พร้อมบอกทั้งคู่ว่า
“วองก้า แกกับเด็กรับใช้ของแก
หยุดเล่นซุกซนไปมากกว่านี้ได้แล้ว
ก่อนที่จะมีใครเจ็บตัว”
วิลลี่เลยสวนว่า
“เธอไม่ใช่แค่เด็กรับใช้หรอก
ใช่ไหมคุณสลักเวิร์ธ?
เธอเป็นมากกว่านั้น
เป็นเป็นครอบครัวของคุณ”
นูเดิลถึงกับอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน
วิลลี่จึงอธิบายให้เธอฟังว่า
สลักเวิร์ธมีแหวนแบบเดียวกับสร้อยเธอ
ซึ่งมันน่าจะเป็นแหวนประจำตระกูล
และเมื่อสลักเวิร์ธรู้ตัวว่า
เขาคงไม่มีความจำเป็น
ที่จะต้องปกปิดความลับไร้สาระนี้อีกต่อไป
จึงอธิบายความจริงทั้งหมดให้ได้รู้ว่า
ทุกอย่างที่วิลลี่คิดเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด
แหวนบนสร้อยคอของนูเดิล
คือแหวนของน้องชายเขา “เซเบดี (Zebedee)”
ซึ่งแอบไปแต่งงานมีลูกอย่างลับๆ
และตายก่อนที่จะได้มรดกของตระกูล
ทิ้งให้เขากลายเป็นทายาทคนเดียว
ที่ได้ครอบครองทรัพย์สินทั้งหมด
จนอยู่ๆ ผ่านไปเกือบปีได้
แม่ของนูเดิลก็มาหาเขาที่บ้าน
อ้อนวอนให้ช่วยดูแลลูกน้อยแรกเกิด
ของผู้เป็นน้องชาย โดยเขาก็ตกลง
ว่าจะช่วย แต่เมื่อรับนูเดิลมาจากแม่ของเธอแล้ว
เขากลับทำในสิ่งตรงกันข้าม
เพราะไม่อยากให้ใครมีสิทธิ
เข้ามาก้าวก่ายในมรดกของตระกูลสลักเวิร์ธ
นอกจากตัวเอง จึงนำนูเดิลไปโยนทิ้ง
ในช่องส่งผ้าของร้านคุณนายสครับบิท
และเมื่อคุณนายมาพบเข้า
เธอจึงเห็นแหวนที่ติดตัวทารกน้อยมา
และคิดว่าเป็นรูปตัว N ที่สลักอยู่
เลยตั้งชื่อเด็กว่านูเดิล
แต่ความเป็นจริงมันต้องมองกลับด้าน
เป็นตัว Z นั่นเอง
พอนูเดิลฟังจบก็รู้สึกร้อนรน
และโหยหาอาวรณ์ต่อผู้เป็นแม่อย่างทันที
พร้อมถามสลักเวิร์ธกลับไปว่า
“แล้วแม่ของหนูชื่ออะไร?”
สลักเวิร์ธครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
ก่อนที่จะตอบสาวน้อยผู้น่าสงสารกลับไปว่า
“ขอโทษนะ ฉันจำไม่ได้หรอก
เพราะแม่ของเธอไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันเลย”
และในขณะที่นูเดิล
กำลังก้มหน้ายอมรับความสิ้นหวังอยู่นั้น
วิลลี่ก็พูดขึ้นมาว่า “แม่ของเธอ
ชื่อว่า โดโรธี สมิธ (Dorothy Smith)
มันมีเขียนไว้ในสมุดบัญชีเล่มนี้
ฉันว่าตลอดช่วงที่ผ่านมา
เธอสอนให้ฉันอ่านหนังสือได้สำเร็จแล้วล่ะ”
นั่นทำให้นูเดิ อมยิ้มด้วยความดีใจและภูมิใจ
ทั้งการที่เธอได้รู้ชื่อจริงของผู้เป็นแม่
ที่เฝ้าตามหามาตลอดชีวิต
รวมถึงการที่ได้รับรู้ว่าเพื่อนรัก
สามารถอ่านหนังสือได้ตามดั่งตั้งใจเแล้วในที่สุด
ซึ่งในขณะที่ทั้งคู่กำลังซาบซึ้ง
กับเรื่องราวดีๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ อยู่นั้น
สลักเวิร์ธก็ได้บอกให้วิลลี่
ยื่นสมุดบัญชีคืนมาให้กับเขา
เพื่อนำมันไปเก็บไว้ที่เดิม
แล้วให้ทั้งคู่เดินเข้าไปใน
ห้องเก็บช็อกโกแลตเหลวที่อยู่ด้านหลัง
โดยพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
ได้ตัดสินใจที่จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด
เพื่อจัดการพวกเขาอย่าางถาวร
ด้วยการหวังให้จมอยู่ในห้อง
ที่เต็มไปด้วยช็อกโกแลต
และให้ตำรวจคิดว่านี่คืออุบัติเหตุเพียงเท่านั้น
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทำแบบนั้น
วิลลี่ได้อ้อนวอนให้ทั้งสาม
ช่วยอะไรเขาอย่างหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย
นั่นคือการนำช็อกโกแลตขวดโหลนี้
ไปมอบให้กับ “คนตัวเล็กสีส้ม”
ที่เขาติดหนี้ช็อกโกแลตอยู่
ตัวร้ายหัวหมอที่ทั้งไม่เข้าใจ
ว่าในเวลาสุดขับขันขนาดนี้
ยังจะมาขอให้ใครช่วยอะไรอีก
รวมถึงเรื่องคนตัวเล็กสีส้มที่ว่า
ก็เป็นอะไรที่ไร้สาระสุดๆ
แต่ด้วยความเอือมและไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไม
จึงตอบรับคำขอของมาอย่างไม่สงสัยอะไร
จากนั้นพวกเขาก็ได้ทำการเปิดวาล์ว
ที่ทำให้ช็อกโกแลตเหลวจำนวนมหาศาล
หลั่งไหลเข้าไปในห้องแห่งนั้น
บทที่ 20: น้ำพุช็อกโกแลต ⛲
วิลลี่กับนูเดิล
ต่างตื่นตระหนกด้วยความหวาดกลัว
โดยสิ่งเดียวที่พวกเขาคิดได้
คือรอให้ช็อกโกแลตเหลวเหล่านี้
ไหลเอ่อจนท่วมห้อง
แล้วดันตัวพวกเขาขึ้นไปยัง
บานกระจกที่อยู่บนเพดานด้านบน
เพื่อจะได้ส่งเสียงตะโกนออกไป
หวังให้ใครมาช่วย
แต่เมื่อช็อกโกแลตเหลวดันตัวพวกเขา
จนมาถึงบานกระจกดังกล่าว
กลับไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง
ขอความช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย
หนำซ้ำพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
ยังโผล่หน้ามาสมน้ำหน้าพวกเขาอีกด้วย
และในวินาทีที่ทั้งคู่กำลัง
จะจมลงไปในช็อกโกแลตด้วยความสิ้นหวัง
วิลลี่ก็ขอโทษนูเดิลที่เขา
ไม่สามารถช่วยเธอเอาไว้ได้
หนำซ้ำยังพาเธอมาพบกับ
จุดจบที่น่าอดสูเช่นนี้
แต่นูเดิลก็ได้บอกเขากลับไปว่า
“ไม่ต้องขอโทษหรอก
อย่างน้อยคุณก็ทำให้หนูได้รู้ชื่อจริงของแม่
ทำให้หนูได้ขยับเข้าใกล้กับความฝันที่หนูมี
แค่นี้ก็มากเกินพอสำหรับสิ่งที่หนูต้องการแล้ว”
ก่อนที่ช็อกโกแลตจะค่อยๆ ไหลเอ่อ
ท่วมจนมิดห้องไปในที่สุด
และในขณะที่ทุกอย่าง
ดูเหมือนจะดำเนินมาถึงจุดจบ
ปาฏิหาริย์บางอย่างก็ได้เกิดขึ้น
เมื่อช็อกโกแลตเหลวค่อยๆ ไหล
ออกจากห้องอย่างช้าๆ
ทำให้วิลลี่กับนูเดิล
ต่างสงสัยว่าอาจมี
คนมาช่วยพวกเขาก็เป็นได้
จนเมื่อทั้งคู่มองขึ้นไปยัง
บานหน้าต่างด้านบน
ก็พบกับ “คนตัวเล็กสีส้ม” หรือเจ้าลุมป้า
ที่ได้บุกเข้ามาในโบสถ์
และสามารถปิดวาว์ลได้สำเร็จ
นั่นจึงทำให้นูเดิลได้ค้นพบกับ
ความจริงที่ว่าคนตัวเล็กสีส้มมีตัวตนจริง
วิลลี่ไม่ได้โกหกเธอเลยแม้แต่น้อย
พร้อมกับตะโกนลั่นอย่างสุดเสียงว่า
“ขอบคุณนะ คนตัวเล็กสีส้ม ขอบคุณ”
ทางด้านพ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
ได้เดินออกจากโบสถ์ไปอย่างหน้าตาเฉย
ราวกับว่าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรเกิดขึ้น
แถมยังพากันอิ่มหนำสำราญ
ไปกับช็อกโกแลตของวิลลี่
ที่พวกเขาแย่งกันกินจนหมดโหล
ซึ่งแม้พวกเขาจะเสแสร้งว่ารสชาติ
มันห่วยแตกมากเพียงใด
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงในใจที่ว่า
ตัวเองก็คลั่งไคล้ช็อกโกแลตวองก้า
ไม่แพ้จากชาวเมืองทุกคน
พร้อมกับมีหัวหน้าผู้บัญชาการตำรวจ
และกำลังพลจำนวนหนึ่งตามมาสมทบ
เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความวุ่นวาย
โดยสลักเวิร์ธได้บอกกับหัวหน้าตำรวจว่า
ทุกอย่างเรียบร้อยดีและพวกเขา
สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้แล้ว
แต่ทันใดนั้น วิลลี่กับนูเดิล
ที่ตัวเปื้อนเต็มไปด้วยช็อกโกแลต
ก็เดินออกจากโบสถ์มาพร้อมกับ
สมุดบัญชีเล่มดังกล่าว
ทำเอาสลักเวิร์ธและหัวหน้าตำรวจ
ต่างอึ้งไปตามๆ กันว่า
ทั้งคู่ยังมีชีวิตรอดออกมาได้ยังไง!?
จากนั้นนูเดิลได้ยื่นสมุดบัญชีที่ว่า
ให้กับตำรวจน้ำดีรายหนึ่งที่อยู่ในบริเวณนั้น
พร้อมบอกว่าภายในมีการบันทึก
การทำธุรกิจมืดและสิ่งผิดกฎหมายมากมาย
ของกลุ่มคนเหล่านี้
โดพ่อค้าทั้งสามและหัวหน้าตำรวจ
ก็ได้บอกกับนายตำรวจรายนั้นว่า
“อย่าไปเชื่อพวกเขา
ทุกอย่างที่พูดเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น”
แต่เมื่อนายตำรวจได้ลองเปิดสมุดบัญชีดู
เขาก็พบว่า ทุกอย่างที่วิลลี่กับนูเดิลพูด
ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
หัวหน้าตำรวจจึงบอกให้
ส่งสมุดบัญชีมา เพราะจะได้เริ่ม
ดำเนินการทางกฎหมาย
กับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างทันที
แน่นอนนายตำรวจน้ำดีผู้นี้
ก็ได้ตอบปฏิเสธผู้เป็นหัวหน้าอย่างไม่ลังเล
พร้อมกล่าวว่า “คงจะทำแบบนั้นไม่ได้
เพราะชื่อของท่านเองก็อยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน
ทุกท่านครับ ท่านถูกจับแล้ว”
ทันใดนั้นกลุ่มพ่อค้าทั้งสาม
ต่างพากันวิ่งหนีเอาตัวรอดกันยกใหญ่
ขณะที่วิลลี่กลับนิ่งเฉย ชิลๆ
เมื่อร่างทั้งสามเริ่มลอยขึ้นจากพื้น
เพราะนั่นคือผลจากการกินช็อกโกแลตของวิลลี่
เข้าไปก่อนหน้านี้ และช็อกโกแลตเหล่านั้
นก็คือ “โฮเวอร์ช็อก” นั่นเอง
ซึ่งทุกอย่างเป็นแผนสำรองที่
วิลลี่วางเอาไว้แต่แรกอยู่แล้ว
โดยเขามองว่าทั้งสาม
จะไม่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับคนตัวเล็กสีส้มแน่
และจะพากันกินช็อกโกแลตของเขา
ด้วยตัวเองจนหมด
ทั้งสามเลยพากันเอื้อมมือ
เกาะยอดของน้ำพุหน้าโบสถ์เอาไว้
พร้อมพูดกับวิลลี่ว่า
“แกคิดว่าแกฉลาดมากใช่มั้ย? วองก้า
เรามีช็อกโกแลตหลายพันแกลลอนอยู่ข้างใต้นี้
เราจะติดสินบนเจ้าหน้าที่ และทำทุกวิถีทาง
เพื่อให้รอดไปได้”
วิลลี่เลยให้นูเดิลเคาะท่อระบายน้ำ
เพื่อส่งสัญญาณให้เพื่อนๆ
ที่อยู่ในห้องลับด้านล่าง
ทำการเปิดวาล์วช็อกโกแลตเหลวอีกครั้ง
ซึ่งคราวนี้ทิศทางของมันไม่ได้ไหล
ไปที่ห้องกักเก็บ แต่ไหลขึ้นมาด้านบน
ยังลานน้ำพุแห่งนี้แทน
เกิดเป็นน้ำพุช็อกโกแลตขนาดยักษ์
ที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างสวยสดงดงาม
พร้อมทำให้ สลักเวิร์ธ, ฟิกเคิลกรูเบอร์
และพร็อดโนส ปลิวกระเด็น
ลอยไปจากแรงกระแทกของน้ำพุ
จากนั้นวิลลี่ก็ได้กล่าวกับชาวเมืองทุกคน
ที่อยู่เป็นสักขีพยานในการเปิดโปงสุดยิ่งใหญ่ครั้งนี้
ว่า “ผม วิลลี่ วองก้า และผองเพื่อน
ขอเชิญทุกท่านอร่อยไปกับ
ช็อกโกแลตของพวกเราทุกคน”
ก่อนที่เขากับนูเดิลจะพากันไป
เช็ดเนื้อเช็ดตัวที่เปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยช็อกโกแลต
เพื่อกลับมาร่วมฉลองกับชาวเมืองอีกครั้ง
โดยวิลลี่ค่อยๆ นั่งมองชาวเมืองทุกคน
ที่อยู่ ณ ลานน้ำพุช็อกโกแลตแห่งนี้
ด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานใจ
ซึ่งชัยชนะที่เขามีต่อ
พ่อค้าช็อกโกแลตรายใหญ่ทั้งสาม
ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรือ
ผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงเท่านั้น
แต่เป็นชัยชนะที่เขาได้มอบอิสระให้กับ
แกเลอรี่โกร์เมต์แห่งนี้
ปลดแอกชาวเมืองจากอำนาจมืด
ทำให้ทุกคนสามารถลิ้มรสและเข้าถึง
ความอร่อยแสนวิเศษของช็อกโกแลตได้มากขึ้น
ไม่ต้องมีพ่อค้าหน้าใหม่รายไหนมาถูกทำลายความฝัน
ด้วยน้ำมือของกลุ่มคนเหล่านี้อีก
เพราะฉะนั้นของขวัญสุดล้ำค่า
ที่วิลลี่ได้มอบให้กับเมืองๆ นี้
นอกจากช็อกโกแลตแล้ว
ก็คือ “อิสรภาพ” ที่หาซื้อไม่ได้จากที่ไหน
แต่ต้องไขว่คว้ามาด้วยความจริงใจ
ที่อยากจะเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้
ให้กลายเป็นเมืองที่ทุกคนได้มีความสุข
ไปกับช็อกโกแลตแสนวิเศษของเขานั่นเอง
บทที่ 21: สูตรลับของแม่ 🍫
ขณะที่วิลลี่กำลังเฝ้ามอง
ไปยังเหล่าชาวเมือง
ที่กำลังเอร็ดอร่อยไปกับ
ช็อกโกแลตตัวเองนั้น
เขาก็ได้หยิบช็อกโกแลตแท่งของแม่ขึ้นมา
เพื่อหวังจะระลึกถึงความทรงจำบางอย่าง
และเมื่อแกะห่อของช็อกโกแลตออกมา
จึงพบกับกระดาษแผ่นเงาสีทอง
ที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใน
พร้อมข้อความที่ฝากเอาไว้
จากแม่ผู้ที่เฝ้ามองจากบนฟากฟ้า
โดยมีใจความระบุว่า
“สูตรลับก็คือ สิ่งสำคัญไม่ใช่ช็อกโกแลต
แต่เป็นคนที่เราแบ่งปันด้วย รัก จากแม่”
และเมื่อวิลลี่เงยหน้ามองออกไป
เขาก็พบว่าผู้เป็นแม่ ได้มายืนเฝ้ามองเขาอยู่
ท่ามกลางผู้คนมากมายเหล่านั้น
ด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
พร้อมกุมมือไว้ที่หน้าอก
เพื่อแสดงออกว่าเธอภูมิใจ
และปลาบปลื้มในตัวลูกชายคนนี้มากแค่ไหน
ก่อนที่ภาพในจินตนาการนั้น
จะค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ
วิลลี่เลยยิ้มออกมาด้วยความเบิกบานใจ
ราวกับว่าเขาได้กลับไปเป็นเด็กน้อยของแม่อีกครั้ง
พร้อมน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความปลาบปลื้ม
ว่าสิ่งที่แม่ของเขาสัญญาเอาไว้ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว
ในที่สุดเขาก็สามารถเผยและแบ่งปัน
ช็อกโกแลตของตัวเองให้กับโลกได้สำเร็จ
ซึ่งแม้ภาพของแม่จะเป็นเพียงภาพในจินตนาการ
แต่มันก็เป็นจินตนาการที่ไม่ผิดเพี้ยน
ไปจากความเป็นจริงเลย
เพราะตัวตนของผู้เป็นแม่ที่ปลูกฝังเลี้ยงดูวิลลี่
ให้เติบใหญ่มาเป็นคุณวองก้าในปัจจุบัน
ยังคงสถิตอยู่เป็นส่วนสำคัญในตัวตนของเขาเสมอ
มันคือสิ่งที่เห็นได้มาตลอดจากการกระทำ
และตัวตนในแบบที่วิลลี่
แสดงออกมาให้กับคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะเป็นความไร้เดียงสา ความจริงใจ
ความรัก ความเห็นอกใจ
และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่เขามีให้ทุกคน
นับตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามายังแกเลอรี่โกร์เมต์
จนมาเจอกับเพื่อนๆ รวมถึงเจ้า ลุมป้า
ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความจริงใจเหล่านี้
จนเกิดความเชื่อมั่นในตัววิลลี่
และพร้อมใจต่อสู้เพื่อเป้าหมายที่มีร่วมกัน
อย่างสุดความสามารถ
ซึ่งหากวิลลี่ ไม่มีเพื่อนๆ
คอยช่วยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ความสำเร็จต่างๆที่เกิดขึ้นในฐานะของคุณวองก้า
ก็คงไม่ผลิดอกออกผลได้สวยงามขนาดนี้อย่างแน่นอน
โดยในจุดนี้แสดงให้เห็นว่า
คนเราจำเป็นที่จะต้องมีเพื่อนพ้อง
หรือคนคอยสนับสนุนที่ดี
เพราะบางครั้งเราก็ไม่สามารถ
ทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว
ยังต้องพึ่งพาความสามารถของผู้อื่นด้วยเช่นกัน
โดยทุกคนก็มีสิ่งที่ถนัดและทำได้แตกต่างกันออกไป
แต่ทุกความสามารถเหล่านั้น
ล้วนเกิดประโยชน์ได้ในที่ๆ เหมาะสมอยู่เสมอ
สูตรลับที่แม่สามารถทำช็อกโกแลตแสนอร่อย
ให้วิลลี่ได้กินมาตลอดนั้น
ก็คือการใส่ความรักและความจริงใจลงไปในนั้น
สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่คนที่เราแบ่งปันด้วย
เพราะหากได้ตั้งใจทำอะไรให้คนที่รัก
เราก็มักจะทุ่มเททุกอย่างลงไปให้กับสิ่งๆ นั้น
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็จะเป็นสิ่งที่
มีคุณค่าและสวยงามให้กับผู้รับเสมอ
เหมือนกับความทุ่มเทที่วิลลี่
ใส่ลงไปในช็อกโกแลตของเขาที่มักจะพูดว่า
“อยากแบ่งปันช็อกโกแลตของฉันให้กับโลก”
ที่หมายถึงเขาอยากให้ทุกคน
สามารถเข้าถึงช็อกโกแลตของเขาได้
ด้วยการตั้งราคาเพียงน้อยนิด
ไม่หวังผลตอบแทนหรือกำไรมากเกินไป
เพียงแค่อยากให้ทุกคนได้มีโอกาสลิ้มลอง
สิ่งที่เขาตั้งใจสรรสร้างขึ้นจากความรัก
เหมือนกับที่แม่ของเขาทำ
และมันคือสิ่งที่ทำให้วิลลี่
ยิ้มได้อย่างมีความสุขเสมอมา
หากลูกค้าทุกคนของเขาได้มีโอกาส
สัมผัสความรู้สึกนี้เหมือนกัน
นั่นจึงถือเป็นความสำเร็จที่แท้จริง
ไม่ใช่ชื่อเสียงหรือว่าเงินทอง
แต่เป็นความสุขของผู้คน
ที่ได้รับจากการกินช็อกโกแลตของเขา
ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์เหนือกว่า
สรรพคุณสุดพิศวงของพวกมันด้วยซ้ำ
และเมื่อเหล่าลูกค้ารู้สึก
ได้รับความรักจากช็อกโกแลต
ที่แสนจริงใจของเขา
วิลลี่ก็จะได้ความรัก
และความจริงใจกลับมาเช่นกัน
เพราะมันทำให้ทุกคนต่างได้รับความสุข
และเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้
ให้กลายเป็นเมืองที่มีสีสันมากขึ้น
ด้วยช็อกโกแลตของเขา
จึงไม่แปลกว่าทำไม
ทุกคนต่างพากันเรียกร้องหา
ช็อกโกแลตของวองก้ากันอย่างบ้าคลั่ง
ต่างจากช็อกโกแลต
ของกลุ่มพ่อค้ารายใหญ่
ที่บูชาแต่โลกแห่งทุนนิยม
จนหลงลืมคุณค่าที่แท้จริงของช็อกโกแลตไป
ว่าช็อกโกแลตเปรียบเหมือน
สื่อแทนของความรัก ความฝัน
ความหวัง และอิสรภาพ
ที่สามารถมอบสิ่งเหล่านี้
ให้กับผู้ที่ได้ลิ้มรสชาติของมันเข้าไป
แต่พวกเขากลับใช้มันไปในทางที่ผิด
ทำให้ช็อกโกแลตมีค่าเพียงเงินทอง
ด้วยการขายราคาแพงๆ
และทำให้ผู้คนเข้าถึงได้ยาก
นำไปสู่การกัดกินระบบความยุติธรรมทางสังคม
หรือผู้รักษากฎหมายอย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ
รวมถึงสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ
ว่าจะถูกครอบงำด้วยเรื่องเหล่านี้ได้
อย่างสถาบันศาสนาก็เช่นกัน
หนำซ้ำยังใช้มันในการทำร้ายผู้อื่น
ไม่ว่าจะเป็นการใช้มันสร้างฐานอำนาจ
ให้กับพรรคพวกของตัวเอง
ทั้งการเตะตัดขาทำลายคู่แข่งทางธุรกิจ
ด้วยการวางยาช็อกโกแลต
หรือแม้กระทั่งการพยายามจบชีวิตผู้อื่น
ด้วยสิ่งที่ทรงคุณค่าและสวยงามอย่างช็อกโกแลต
ซึ่งแท้จริงแล้วทั้งสามไม่ได้เสียฐานลูกค้าให้วิลลี่
เพราะเขาทำช็อกโกแลตได้อร่อย
หรือมีความตื่นตาตื่นใจมากกว่า
แต่เป็นเพราะช็อกโกแลตของวิลลี่
มีความ “จริงใจมากกว่า” ต่างหาก
และไม่ว่ามันจะมีมูลค่าหรือราคาเท่าไหร่
ผู้คนก็พร้อมจะทุ่มจ่ายลงไป
เพื่อซื้อความสุขให้กับตัวเองและคนที่รัก
ซึ่งในท้ายที่สุดความไม่จริงใจ
และความประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น
ก็ได้นำพาพวกเขามาพบกับ
จุดจบสุดเวทนาแบบนี้นั่นเอง
โดยหลังจากที่วิลลี่
แกะห่อช็อกโกแลต
จนได้เข้าใจความหมายที่แท้จริง
เกี่ยวกับสูตรลับของแม่แล้ว
แม้ช็อกโกแลตแท่งนี้
จะเป็นของดูต่างหน้าเพียงชิ้นเดียว
ที่หวงแหนมันมากเพียงใดก็ตาม
แต่เขาก็เลือกที่จะหักแบ่งมันให้กับ
นูเดิล และเพื่อนๆ อีกสี่คนที่เหลือ
ได้กินกันคนละชิ้นพอดีอย่างมีความสุข
นูเดิลเลยเอ่ยปากถามว่า
“เป็นยังไง อร่อยอย่างที่
เคยกินตอนเด็กๆหรือเปล่า?”
วิลลี่เลยอมยิ้มและตอบกลับ
อย่างไม่ลังเลว่า “ไม่มีผิดเพี้ยนเลย”
บทที่ 22: สู่ดินแดนที่ใจได้จินตนาการ 🏭
หลังจากที่ทุกคนได้สัมผัสถึง
รสชาติแห่งความสุขจากช็อกโกแลตวองก้า
วิลลี่ก็ได้กล่าวลอยๆ ขึ้นมาว่า
“น่าจะได้เวลาแล้วล่ะ”
นูเดิลเลยถาม “เวลาอะไร?”
วิลลี่จึงอธิบายว่าเมื่อไม่นานมานี้
ทุกคนได้พยายามช่วยกันทุกวิถีทาง
ในการตามหาคนชื่อ “โดโรธี สมิธ”
ซึ่ง “ลอตตี้” ได้โทรศัพท์รวบรวมข้อมูล
มาได้ถึง 106 ชื่อที่อยู่ในเมืองนี้
และในที่สุดก็เจอคนที่
คาดว่าเป็นแม่ของนูเดิล
โดยเธออาศัยและทำงาน
อยู่ที่หอสมุดประจำเมือง
ซึ่งหนังสือก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นูเดิล
มีความทรงจำบางอย่างที่ทำให้
ผูกผันกับมันมาตั้งแต่เด็กๆ
จากนั้นทุกคนก็ได้กล่าวร่ำลา
กันอย่างเป็นทางการในท้ายที่สุด
ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามทาง
เพื่อกลับสู่สถานที่ที่พวกเขาจากมา
อบาคัสได้กลับไปหาครอบครัว
เบนท์ได้กลับไปเจอเพื่อนๆ ที่สำนักงานประปา
ชัคเคิลส์เวิร์ธได้กลับไปขึ้นเวที
แสดงตลกที่เขารัก
และลอตตี้ได้กลับไปทำงาน
เป็นพนักงานสลับสายโทรศัพท์อีกครั้ง
ก่อนจะถึงเวลาที่วิลลี่พานูเดิล
กลับไปสู่อ้อมกอดแห่งรักของผู้เป็นแม่อีกครั้ง
เพื่อสานฝันให้กับเธอตาม
ที่เขาได้ให้สัญญาเกี่ยวก้อยเอาไว้
พาเธอไปส่งยังหอสมุดที่แม่กำลังรออยู่
ซึ่งในขณะที่กำลังเดินๆ อยู่นั้นเอง
จู่ๆ นูเดิล ก็ได้หยุดชะงักขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
พร้อมกับสีหน้าแววตาที่บ่งบอกถึงความกังวล
และความสับสนบางอย่าง
ที่กำลังเกิดขึ้นภายในใจของเธอ
วิลลี่ที่พอจะเข้าใจถึงความรู้สึกเหล่านั้น
จึงได้พูดกับเธอว่า
“มากับฉันเถอะ สู่ดินแดนที่ใจได้จินตนาการ
เอื้อมมือไปคว้าสิ่งที่ครั้งหนึ่ง
เคยอยู่เพียงแค่ในจินตนาการของเธอ
ไม่ต้องอายหรอก ไม่เป็นไร
ถ้าหากว่าเธอกำลังรู้สึกสับสน ฉันเข้าใจดี
แต่บางทีเรื่องบางเรื่องก็
ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมาอธิบายหรอก
และถ้าหากว่าเธออยากพบเจอ
กับความฝันที่รอคอย
มันก็อยู่แค่ตรงหน้าเธอนี่เอง
เพียงแค่มีใครสักคนมาสวมกอดเธอเอาไว้
สิ่งที่เธอต้องการก็มี
เพียงเท่านี้ใช่ไหมล่ะ? (Pure Imagination)”
ทันใดนั้นประตูของหอสมุดก็ได้เปิดออก
พร้อมกับสตรีรูปงามรายหนึ่ง
ที่ได้ออกมารอต้อนรับพวกเขา
และเธอมีชื่อว่า โดโรธี สมิธ
ผู้เป็นแม่แท้ๆ ของ นูเดิล นั่นเอง
ทำเอาเด็กหญิงตัวน้อยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
พร้อมหันมองวิลลี่ด้วยความกังวลอย่างถึงขีดสุด
เป็นน้ำตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีกันอยู่ภายใน
ทั้งดีใจที่วิลลี่สามารถเติมเต็ม
ภาพฝันของเธอให้เป็นจริงได้ในที่สุด
และทั้งสับสนว่าการไปอยู่กับผู้เป็นแม่
จะมีความสุขอย่างที่จินตนาการเอาไว้หรือไม่?
รวมถึงยังกังวลและเป็นห่วงวิลลี่
เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้
ต้องเป็นงานอะไรที่หนักหนาเต็มไปด้วยอุปสรรค
ไม่แพ้กับเรื่องราวต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญ
ร่วมกันมาก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
เธอจึงรู้สึกไม่มั่นใจว่า
ควรไปอยู่กับผู้เป็นแม่
เพื่อทำตามความฝัน
หรืออยู่กับวิลลี่ต่อเพื่อช่วยเหลือเขา
ซึ่งวิลลี่เข้าใจดีว่านูเดิลกำลังคิดอะไรอยู่
แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรกับ
นอกจากยิ้มตอบรับให้กับ
สีหน้าความกังวลเหล่านั้น
นูเดิลเองก็เข้าใจได้ดีเช่นกันว่า
วิลลี่กำลังสื่อสารกับเธอว่าเขาดูแลตัวเองได้
และจะเดินหน้าทำสิ่งที่ตั้งใจต่อไป
เพราะอยากให้นูเดิลได้รับรู้ถึง
ความสุขในการที่ความฝันสำเร็จเป็นจริงขึ้นมานั่นเอง
แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีโอกาส
ได้ทำตามความฝันเหล่านั้นให้เกิดขึ้นจริง
ในการได้กลับไปเจอกับผู้เป็นแม่อีกครั้ง
แต่อย่างน้อยก็สามารถหยิบยื่นโอกาสเหล่านั้น
ให้กับเพื่อนรักตัวน้อยได้
การเติมเต็มความฝันของนูเดิลจนสำเร็จ
ก็เหมือนกับว่าความฝันของตัวเขาเองนั้น
ได้เป็นจริงตามไปด้วย
เมื่อเห็นรอยยิ้มของวิลลี่แบบนั้น
ก็มั่นใจได้ทันทีว่าเขายินดี
กับเส้นทางนี้ของเธอมากๆ
และอยากให้ได้ทำตามหัวใจ
ในสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตลอด
นูเดิลจึงส่งรอยยิ้มกลับไปให้วิลลี่
เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
รวมถึงบอกให้เขารับรู้ว่า
สิ่งนี้มีความหมายต่อเธอมากเพียงใด
ก่อนที่นูเดิลจะวิ่งโผ
เข้าไปกอดผู้เป็นแม่ทันที
ช่างเป็นกอดอันแนบแน่น
ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
และความอบอุ่นอย่าง
ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
นังเป็นวันที่สองแม่ลูก
ต้องจดจำไปตลอดชีวิต
ส่วนวิลลี่ที่กำลังยืนเฝ้ามอง
ปาฏิหาริย์แสนสวยงามของสองแม่ลูกอยู่นั้น
สีหน้าแววตาที่กำลังยิ้มแย้ม
ด้วยความเบิกบานใจ
ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็น
ความเศร้าหมองบางอย่างที่เกิดขึ้น
อย่างเฉียบพลันเช่นเดียวกัน
โดยสิ่งที่วิลลี่กำลังรู้สึก
ก็เป็นความสับสนทางอารมณ์มากมาย
ที่กำลังตีกันไปมาอยู่ในใจเขาอย่างบ้าคลั่ง
แม้จะดีใจที่ได้เห็นความฝันของนูเดิล
ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์สวยงาม
แต่เขาก็เหมือนได้เสียเพื่อนคนหนึ่ง
ไปแบบไม่เต็มใจนัก และยังมีความ
ห่วงหาอาวรณ์ที่มีต่อเธอ
ใดๆ เขาก็ต้องทำใจยอมรับ
ในการปล่อยให้เธอได้กลับไปอยู่ในอ้อมกอด
ของผู้เป็นแม่ที่รักเธออย่างบริสุทธิ์ใจอีกครั้ง
ทำให้เขาคิดถึงแม่ของตัวเองมากๆ เช่นเดียวกัน
ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยมีนูเดิล
และผองเพื่อนที่คอยมอบความรัก
และความจริงใจให้
แต่ในตอนนี้วิลลี่รู้ตัวแล้วว่า
ต่อจากนี้เขาจะต้องกลับไปใช้ชีวิตคนเดียว
อย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง และไม่มีใคร
ให้พักพิงได้เหมือนเก่าอีกต่อไป
ทันใดนั้นเองลุมป้าเจ้าเก่าเจ้าเดิม
ก็ได้โผล่มาด้านหลังอย่างเงียบๆ
เพื่อมาทวงหนี้ช็อกโกแลตโหลสุดท้าย
ที่วิลลี่ยังติดเขาอยู่ พร้อมกล่าวว่า
“ช่างเป็นการกระทำดี ในโลกที่แสนเหนื่อยล้า”
ซึ่งวิลลี่ก็ได้ปรับอารมณ์มาพูดคุยด้วยความสนุก
พร้อมกล่าวขอบคุณที่ลุมป้าช่วยชีวิตเขากับนูเดิลเอาไว้
ก่อนที่จะยื่นช็อกโกแลตโหลสุดท้ายให้ไปในที่สุด
โดยก่อนที่เจ้าลุมป้าจะเดินจากไป
วิลลี่ได้เอ่ยปากชวนขึ้นมาว่า
“ถ้าหากเขาอยากจะเผย
ช็อกโกแลตให้กับคนทั้งโลก
แค่เปิดร้านธรรมดาน่าจะไม่เพียงพอ
เขาคงต้องสร้างโรงงาน
และกำลังต้องการคนมาช่วย
คุมแผนกชิมรสชาติ”
เจ้าลุมป้าที่ติดใจใน
รสชาติช็อกโกแลตของวิลลี่อยู่แล้วนั้น
จึงไม่ลังเลที่จะตอบรับคำชวนของเขาทันที
จากนั้นทั้งคู่ก็ได้ร่วมมือกัน
สร้างโรงงานช็อกโกแลตแสนมหัศจรรย์สุดยิ่งใหญ่
นามว่า “วองก้า” ขึ้นมาในเมืองแห่งนี้ได้สำเร็จ
อย่างงดงามในท้ายที่สุด
“หากว่าอยากได้ยลโลกวิมาน เพียงแค่มองรอบตัวจะเข้าใจ
ทำได้เลยที่เธอวาดเอาไว้ เปลี่ยนโลกไปทั้งใบก็ไม่ยากเท่าไหร่
จะไม่พบสิ่งใดเหมือน กับชีวิตที่เราได้จินตนาการ
โลกแห่งนี้มีเสรี เท่าที่ใจเราควรได้มี”
บทส่งท้าย 📚
“ทุกสิ่งที่ดีงามในโลกนี้
ล้วนเริ่มต้นจากความฝัน”
แม่วิลลี่
ถือเป็นประโยคสุดทรงพลัง
ที่แฝงความหมายต่างๆ เอาไว้มากมาย
ผ่านตัวละครของ “วิลลี่ วองก้า”
ซึ่งเรื่องราวของนักทำช็อกโกแลตแสนน่าทึ่งผู้นี้
ที่ได้ส่งต่อแรงบันดาลใจเพื่อบอกให้
เราได้รับรู้ว่า “ความฝันเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ”
แม้บางครั้งมันอาจจะทำให้เรา
เจ็บปวดหรือสร้างรอยแผลเอาไว้
เมื่อเราเอื้อมไปไม่ถึงมัน
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไง
หากเรายังคงเก็บความฝัน
ที่สวยงามเหล่านั้นเอาไว้ในใจ
มันก็อาจนำพาเราไปสู่บางสิ่ง
ที่มีคุณค่ามากกว่านั้น
เหมือนกับที่วิลลี่ได้มาพบเจอ
กับมิตรภาพและคนที่มีความฝัน
เหมือนกันอย่าง “นูเดิล” ที่มีส่วนสำคัญ
ในการผลักดันให้เขาไม่ยอมแพ้
จนได้พบเจอกับสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต
หรือการนำไปสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่
กว่าความฝันที่เขาเคยตั้งใจเอาไว้ด้วยซ้ำ
ทั้งการได้เรียนอ่านหนังสือ
หรือการได้ลองสร้างสิ่งที่ท้าทายมากกว่า
การเปิดร้านขายช็อกโกแลตทั่วไป
นั่นคือการสร้างโรงงานช็อกโกแลต
ที่ทำให้ความฝันและเป้าหมายของ
สำเร็จออกมาอย่างสวยงามเกินกว่า
ที่จินตนาการเอาไว้เสียอีก
เพราะมันไม่ใช่แค่การแบ่งปันช็อกโกแลต
ให้กับชาว แกเลอรี่โกร์เมต์
เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
แต่เป็นการแบ่งปันช็อกโกแลตที่เขารักและตั้งใจ
สรรสร้างให้กับคนทั้งโลก
หรือจะบอกได้ว่าการที่วิลลี่กับนูเดิล
ได้มาพบเจอกันนั้น
ทั้งคู่คือส่วนเสริมที่ได้มาเติมเต็มซึ่งกันและกัน
ด้วยความที่ต่างคนก็ต่างมีตัวตนในแบบของตัวเอง
เหมือนเป็นจิ๊กซอว์ที่เข้ามาต่อกันพอดี
ซึ่งตัวตนของวิลลี่ที่เปี่ยมไปด้วย
จิตวิญญาณของพลังแห่งความฝัน
ได้เข้ามาเติมเต็มและมอบแรงบันดาลใจให้กับนูเดิล
ที่ไม่กล้าเชื่อมั่นในความฝันของตัวเอง
ให้เกิดความหวังว่าทุกสิ่งที่เธอคิด
สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้
ด้านตัวตนของนูเดิล ก็เปี่ยมไปด้วย
จิตวิญญาณแห่งการเอาตัวรอด
จากที่เธอนั้นเป็นเด็กกำพร้า
และต้องเติบโตมาท่ามกลาง
การเลี้ยงดูของคนที่ไม่ได้รักเธอจริง
นั่นจึงทำให้นูเดิลต้องคอยใช้ชีวิต
อย่างหวาดระแวงท่ามกลางโลกทุนนิยมอันโหดร้าย
และทำให้ไม่สามารถไว้ใจใครได้โดยง่าย
ต่างกับวิลลี่ที่เขานั้นได้รับ
การเลี้ยงดูมาอย่างดีจากผู้เป็นแม่
ด้วยการมอบความรักแสนจริงใจให้กับเขามาเสมอ
จึงทำให้เขากลายเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก
และเชื่อว่าทุกคนบนโลกจะใจดีกับเขา
เหมือนกับความรักที่แม่มอบให้
ซึ่งจริงๆ การมองโลกในแง่ดี
ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอยู่แล้ว
แต่การที่วิลลี่ได้เดินทางมายังแกเลอรี่โกร์เมต์
ก็ทำให้เขาได้เรียนรู้และเข้าใจ
ความเป็นจริงของโลกมากขึ้น
ว่าทุกอย่างนั้นล้วนมีหลายด้านเสมอ
 
หากเขาเลือกที่จะไว้ใจทุกคนที่พบเจอ
นั่นก็อาจนำไปสู่หายนะบางอย่างได้
เพราะไม่ใช่ทุกคนบนโลก
ที่พร้อมจะใจดีกับเราเสมอไป
บางคนก็อาจหวังผลประโยชน์
หรือหวังจะทำลายเราได้เช่นกัน
นูเดิลจึงเป็นคนที่ทำให้วิลลี่
ได้เข้าใจความหมายในจุดนี้อย่างชัดเจนขึ้น
เพราะเธอจะคอยชี้แนะและตักเตือนเขาอยู่เสมอ
รวมถึงยังสอนให้สามารถอ่านหนังสือออกได้
ซึ่งเป็นใบเบิกที่จะทำให้เขาตามผู้อื่นทัน
ไม่เสียรู้ให้กับกลุ่มคนที่คิดจะเอาเปรียบอีก
และการที่ตัวตนของทั้งคู่
มาเติมเต็มซึ่งกันและกันให้สมบูรณ์ขึ้นนั้น
ก็ทำให้เกิดเรื่องราวแสนมหัศจรรย์มากมาย
ที่ได้สร้างความแตกต่าง
พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเมืองแห่งนี้
รวมถึงสามารถปลดปล่อย
ความใฝ่ฝันของพวกเขาไปสู่อิสรภาพ
อย่างที่พยายามไขว่คว้ามาจนได้ในท้ายที่สุด
โดยอีกสิ่งหนึ่งที่เป็น
หัวใจสำคัญของตัวละครวิลลี่ วองก้า
ก็คือการพิสูจน์ตัวตนของตัวเอง
ซึ่งเรื่องราวของเขาได้ส่งต่อแรงบันดาลใจให้ทุกคน
ได้ตระหนักว่าแม้เราจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์
ที่ยากลำบากเพียงใด ก็อย่าได้สูญเสีย
ตัวตนของตัวเองเป็นอันขาด
เพราะตัวตนของเราคือสิ่งที่ทำให้
ทุกคนรักและเชื่อมั่นในแบบที่เราเป็น
และสิ่งนี้ก็ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญ
ที่ทำให้ช็อกโกแลตของวิลลี่
อร่อยเหนือกว่าช็อกโกแลตของเจ้าไหนๆ
ด้วยสูตรลับแห่งความจริงใจ
ที่ผู้เป็นแม่ได้ปลูกฝังให้กับเขามาตั้งแต่เด็ก
การที่วิลลี่มีความจริงใจ
ในการทำช็อกโกแลต
จากความรักที่เขาใส่ลงไป
นั่นจึงทำให้เขาคอยหมั่นหาวัตถุดิบ
ที่แปลกใหม่จากทั่วทุกมุมโลก
เพื่อทำให้ช็อกโกแลตของเขาอร่อย
และมีความพิเศษอย่างที่สุดอยู่เสมอนั่นเอง
พร้อมกับความจริงใจในการนำเสนอ
ที่อยากให้ลูกค้าทุกคนได้รับอะไรกลับไป
“มากกว่าแค่ช็อกโกแลต”
ด้วยการใส่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ
จากความเป็นนักประดิษฐ์และนักมายากล
เพื่อให้ช็อกโกแลตไม่เพียงแค่อร่อย
แต่ยังเกิดความแตกต่าง
ด้วยลูกเล่นแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร
สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ช็อกโกแลตของเขา
ได้รับการขนานนามว่าเป็น
ช็อกโกแลตวิเศษเลยทีเดียว
ซึ่งการที่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้นั้น
จะทำให้เราสามารถทำอะไรได้อย่าง
มีความสุขและยั่งยืน
เพราะทุกการกระทำจะถูกกลั่นกรอง
ออกมาจากความมั่นใจในสิ่งที่เราเชื่อ
และไม่ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่สบายใจนั่นเอง
หากสูญเสียตัวตนของตัวเองไปเมื่อใด
ก็อาจทำให้เราไร้จุดยึดเหนี่ยวในการมีชีวิต
ติดอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า
ในการค้นหาตัวตนของตัวเองต่อไป
ซิ่งวิลลี่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
ตัวตนของการมองโลกในแง่ดี
เหมือนกับเด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง
ที่ถึงแม้จะถูกทำร้ายและเอาเปรียบ
จากผู้อื่นมากเพียงใด
แต่ความตั้งใจปรารถนาดีของเขา
ก็สามารถนำไปสู่เรื่องราวดีๆ
และผู้คนที่ดีได้ในท้ายที่สุด
สื่อให้เห็นว่าวิลลี่เป็นตัวเอง
อย่างมีคุณภาพในแบบที่ดีขึ้น
ได้เรียนรู้ เติบโต และเข้มแข็งขึ้น
พร้อมพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า
สิ่งที่เขาคิดฝันสามารถเป็นจริงได้
และไม่ปล่อยให้ใครมาตัดสิน
หรือดูถูกความฝันที่พกใส่หมวกมา
เพราะฉะนั้นจงอย่ายอมให้ใค
รมาขโมยความฝันของเราไป
ยึดมันเอาไว้ให้ดี เหมือนกับการที่
“วิลลี่” ได้เติบโตมาเป็น “วองก้า”
“นี่คือโลกส่วนตัว ที่พักพิงให้อุ่นไอ
สนุกกันถ้วนทั่ว ได้ทำตามหัวใจ
ไม่ว่าโชคชะตา จะพัดพาไปแห่งใด
บ้านเราตรงนี้ เราเป็นได้ดั่งใจ,,,”
โฆษณา