การออกเสียงถือว่าเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน โดยการออกเสียงภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเป็นแบบ rhotic (ออกเสียง r ระหว่างคำ เช่น card earth ฯลฯ หรือท้ายคำ เช่น regular park ฯลฯ) ในขณะที่การออกเสียงภาษาอังกฤษแบบบริติชเป็นแบบ non-rhotic (ไม่ออกเสียง r ระหว่างคำหรือท้ายคำ เช่น car (kah) park (pahk) ฯลฯ)
นอกจากนี้ภาษาอังกฤษทั้งสองแบบยังออกเสียง t ไม่เหมือนกัน โดยที่ภาษาอังกฤษแบบบริติชสำเนียง RP จะออกเสียง t ชัดเจน หรือถ้าเป็นสำเนียงท้องถิ่นจะไม่ออกเสียง t เมื่อไม่เน้น (unstressed) เช่น คำว่า water สำเนียงบริติชสำเนียงท้องถิ่นจะออกเสียงว่า wo-uh (เน้นที่พยางค์แรก) ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะออกเสียง t คล้ายเสียง d เมื่อไม่เน้น เช่น คำว่า butter จะออกเสียงว่า buh-der (เน้นที่พยางค์แรก)
ในขณะเดียวกัน คำที่เสียง t หรือ d ที่ไม่เน้นที่อยู่ด้านหน้าหรือหลังเสียง n มักจะไม่ออกเสียงหรือกลืนเสียงในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (โดยเฉพาะเสียง t) เช่น mountain identify scrutiny sedentary didn’t ฯลฯ
นอกจากเสียงพยัญชนะบางตัวที่ออกเสียงแตกต่างกันแล้ว ภาษาอังกฤษทั้งสองแบบยังออกเสียงสระของบางคำแตกต่างกันอีก โดยที่ภาษาอังกฤษแบบบริติชมีเสียงสระ /ɒ/ ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะใช้เสียงสระ /ɑ/ แทน เช่นคำว่า hot ในภาษาอังกฤษแบบบริติชจะออกเสียงว่า /hɒt/ ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะออกเสียงว่า /hɑːt/ นกจากนี้บางคำยังออกเสียงสระ /ɑ/ ในภาษาอังกฤษแบบ British ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะเป็นเสียงสระ /æ/ แทน
ไวยาการณ์ของภาษาอังกฤษทั้งสองแบบจะมีความแตกต่างเล็กน้อยในบางจุด โดยที่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการใช้ past simple/participle (หรือที่รู้จักกันใน v.2 และ v.3 นั่นเองครับ) โดย past participle คำว่า get ในภาษาอังกฤษแบบบริติชคือ got ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะใช้ gotten แทน นอกจากนี้ past simple/participle ของบางคำที่ลงท้ายด้วย -t ในภาษาอังกฤษแบบบริติช (ซึ่งเป็นการผันแบบ irregular) มักจะลงท้ายด้วย -ed ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เช่น burnt/burned learnt/learned dreamt/dream ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม past simple ของคำว่า dive ในภาษาอังกฤษแบบบริติชมักจะใช้ dived ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันนิยมใช้ dove มากกว่าครับ
ความแตกต่างระหว่าภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน: past simple/participle
นอกจากนี้ในภาษาอังกฤษแบบบริติชจะนิยมใช้โครงสร้าง s + have/has/ got (negative: s + have not (haven’t)/has not (hasn’t) got: interrogative: have/has + s + got) ได้โดยทั่วไป ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะนิยมใช้โครงสร้าง s + have/has/ (negative: s + don’t/doesn’t have; interrogative: do/does + s+ have + ?) ในบางครั้งท่านอาจจะเจอคำว่า need/needn’t (need not) ในฐานะ modal verb ในภาษาอังกฤษแบบบริติช ซึ่งในภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะใช้คำว่า need ในฐานะกริยาหลักครับ
การใช้ have กับ have got
สุดท้ายนะครับ ท่านจะสามารถเจอคำว่า shall ในภาษาอังกฤษแบบบริติชได้ ในขณะเดียวกันท่านแทบจะไม่เจอคำนี้ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน โดยที่จะใช้คำว่า will แทน อย่างไรก็ตามท่านยังสามารถเจอคำนี้ในภาษากฎหมายหรือคัมภีร์ไบเบิลได้ครับ