2 พ.ค. เวลา 07:43 • การศึกษา

4 ความแตกต่างของภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน

ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในภาษากลางของโลกในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ความบันเทิง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการอยู่หลายประเทศ เช่น สหราชอณาจักร สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ จึงทำให้ภาษาอังกฤษในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันบ้าง โดยเฉพาะภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกันที่มีความแตกต่างที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุด ในบทความนี้ผมจะยก 4 ความแตกต่างของทั้งคู่ ซึ่งประกอบไปด้วยการออกเสียง คำศัพท์ การสะกดคำ และไวยากรณ์ครับ
- การออกเสียง
การออกเสียงถือว่าเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน โดยการออกเสียงภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเป็นแบบ rhotic (ออกเสียง r ระหว่างคำ เช่น card earth ฯลฯ หรือท้ายคำ เช่น regular park ฯลฯ) ในขณะที่การออกเสียงภาษาอังกฤษแบบบริติชเป็นแบบ non-rhotic (ไม่ออกเสียง r ระหว่างคำหรือท้ายคำ เช่น car (kah) park (pahk) ฯลฯ)
นอกจากนี้ภาษาอังกฤษทั้งสองแบบยังออกเสียง t ไม่เหมือนกัน โดยที่ภาษาอังกฤษแบบบริติชสำเนียง RP จะออกเสียง t ชัดเจน หรือถ้าเป็นสำเนียงท้องถิ่นจะไม่ออกเสียง t เมื่อไม่เน้น (unstressed) เช่น คำว่า water สำเนียงบริติชสำเนียงท้องถิ่นจะออกเสียงว่า wo-uh (เน้นที่พยางค์แรก) ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะออกเสียง t คล้ายเสียง d เมื่อไม่เน้น เช่น คำว่า butter จะออกเสียงว่า buh-der (เน้นที่พยางค์แรก)
ในขณะเดียวกัน คำที่เสียง t หรือ d ที่ไม่เน้นที่อยู่ด้านหน้าหรือหลังเสียง n มักจะไม่ออกเสียงหรือกลืนเสียงในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (โดยเฉพาะเสียง t) เช่น mountain identify scrutiny sedentary didn’t ฯลฯ
นอกจากเสียงพยัญชนะบางตัวที่ออกเสียงแตกต่างกันแล้ว ภาษาอังกฤษทั้งสองแบบยังออกเสียงสระของบางคำแตกต่างกันอีก โดยที่ภาษาอังกฤษแบบบริติชมีเสียงสระ /ɒ/ ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะใช้เสียงสระ /ɑ/ แทน เช่นคำว่า hot ในภาษาอังกฤษแบบบริติชจะออกเสียงว่า /hɒt/ ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะออกเสียงว่า /hɑːt/ นกจากนี้บางคำยังออกเสียงสระ /ɑ/ ในภาษาอังกฤษแบบ British ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะเป็นเสียงสระ /æ/ แทน
นอกจากนี้คำบางคำที่ลงท้ายด้วย -ile ในภาษาอังกฤษแบบบริติชจะออกเสียงว่า -aɪl ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะออกเสียง schwa แทน เช่น missile mobile versatile juvenile
จากที่กล่าวมาข้างต้น ภาษาอังกฤษทั้งสองแบบยังมีรายละเอียดการออกเสียงบางอย่างที่แตกต่างกันในบาง เช่น การเน้นพยางค์ที่ต่างกัน การออกเสียง h ในบางคำ ฯลฯ ทั้งนี้ท่านสามารถเช็กการออกเสียงที่พจนานุกรมแบบ English-English ได้เลยครับ
ความแตกต่างระหว่าภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน: การออกเสียง (pronunciation)
- การสะกด
การสะกดคำบางคำในภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกันนั้นสะกดต่างกัน โดยที่การสะกดคำแบบอเมริกันมีการทำให้สะกดง่ายขึ้นในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบบริติชยังคงอนุรักษ์การสะกดแบบเดิมซึ่งมีความซับซ้อนกว่า อาทิ คำบางคำที่ลงท้ายด้วย -our ในภาษาอังกฤษแบบบริติชมักสะกดด้วย -or ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เช่น color/colour labor/labour flavor/flavour ฯลฯ และคำบางคำที่ลงท้ายด้วย -re ในภาษาอังกฤษแบบบริติชมักจะลงท้ายด้วย -er ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เช่น center/centre meter/metre
นอกจากนี้คำกริยาส่วนใหญ่ที่ลงท้ายด้วย -ize ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกันมักจะลงท้ายด้วย -ise ในภาษาอังกฤษแบบบริติช เช่น realize/realise mometize/monetise organize/organise
คำกริยาในภาษาอังกฤษบางคำที่ลงท้ายด้วย -l ถ้าเกิดว่าเติม suffix ลงไปไม่ว่าจะเป็นการผันกริยาหรือทำให้เป็นคำนามหรือคำ adjective มักจะเกิดการเติมตัว l เพิ่มอีก 1 ตัวในภาษาอังกฤษแบบบริติช ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะไม่มีการตัว l เพิ่ม อาทิ traveler/traveller counselor/counsellor cancelation/cancellation bejeweled/bejewelled
ความแตกต่างระหว่าภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน: การสะกด (spelling)
- คำศัพท์
คำศัพท์หลายๆ คำในภาษาอังกฤษทั้งสองแบบมีการใช้ที่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามในภาษาอังกฤษทั้งสองแบบมีการใช้คำเพื่อกล่าวถึงสิ่งๆ หนึ่งที่แตกต่างกัน อาทิ ภาษาอังกฤษแบบบริติชจะใช้คำว่า autumn ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะใช้คำว่า fall แทน ซึ่งทั้งสองคำหมายถึงฤดูใบไม้ร่วงเหมือนกัน ทางที่ดีท่านควรรู้คำศัพท์จากภาษาอังกฤษทั้งสองแบบจะเป็นการดีที่สุดครับ
ความแตกต่างระหว่าภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน: คำศัพท์ (vocabulary)
- ไวยากรณ์
ไวยาการณ์ของภาษาอังกฤษทั้งสองแบบจะมีความแตกต่างเล็กน้อยในบางจุด โดยที่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการใช้ past simple/participle (หรือที่รู้จักกันใน v.2 และ v.3 นั่นเองครับ) โดย past participle คำว่า get ในภาษาอังกฤษแบบบริติชคือ got ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะใช้ gotten แทน นอกจากนี้ past simple/participle ของบางคำที่ลงท้ายด้วย -t ในภาษาอังกฤษแบบบริติช (ซึ่งเป็นการผันแบบ irregular) มักจะลงท้ายด้วย -ed ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน เช่น burnt/burned learnt/learned dreamt/dream ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม past simple ของคำว่า dive ในภาษาอังกฤษแบบบริติชมักจะใช้ dived ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันนิยมใช้ dove มากกว่าครับ
ความแตกต่างระหว่าภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกัน: past simple/participle
นอกจากนี้ในภาษาอังกฤษแบบบริติชจะนิยมใช้โครงสร้าง s + have/has/ got (negative: s + have not (haven’t)/has not (hasn’t) got: interrogative: have/has + s + got) ได้โดยทั่วไป ในขณะที่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะนิยมใช้โครงสร้าง s + have/has/ (negative: s + don’t/doesn’t have; interrogative: do/does + s+ have + ?) ในบางครั้งท่านอาจจะเจอคำว่า need/needn’t (need not) ในฐานะ modal verb ในภาษาอังกฤษแบบบริติช ซึ่งในภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะใช้คำว่า need ในฐานะกริยาหลักครับ
การใช้ have กับ have got
สุดท้ายนะครับ ท่านจะสามารถเจอคำว่า shall ในภาษาอังกฤษแบบบริติชได้ ในขณะเดียวกันท่านแทบจะไม่เจอคำนี้ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน โดยที่จะใช้คำว่า will แทน อย่างไรก็ตามท่านยังสามารถเจอคำนี้ในภาษากฎหมายหรือคัมภีร์ไบเบิลได้ครับ
นี่คือ 4 ความแตกต่างหลักๆ ระหว่างภาษาอังกฤษแบบบริติชและอเมริกันนะครับ เพื่อให้ทุกท่านสามารถแยกความแตกต่างหลักๆ ของภาษาอังกฤษทั้งสองแบบและสามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้ภาษาอังกฤษแบบไหนได้ครับ อันที่จริงแล้วภาษาอังกฤษทั้งสองแบบ (รวมถึงภาษาอังกฤษแบบอื่นๆ) ยังมีคำศัพท์ สำนวน คำสแลงที่ใช้เฉพาะในภาษาอังกฤษแบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งคนที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบอื่นๆ อาจจะเกิดความสงสัยในความหมายได้ครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา