5 ก.ค. 2024 เวลา 15:27 • สุขภาพ

ศิลปินผู้ต่อสู้กับโรคซึมเศร้า "Edvard Munch"

หากวันนี้ของคุณไม่ใช่วันที่ดี หากสัปดาห์นี้ของคุณไม่เป็นดั่งหวัง หากหนึ่งปีหลังสุดของคุณไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
หากคุณกำลังต้องตั้งคำถามกับคุณค่าของตัวเอง กำลังมืดมน กำลังหมดหวัง กำลังแสวงหาที่พึ่งทางจิตใจ และกำลังอีกสักเฮือกเพื่อกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ขอให้รู้ไว้ ว่าคุณไม่ใช่คนเดียว ยังมีคนรอบกายคุณ อีกนับหมื่นนับพัน ทั้งคนที่คุณเจออยู่ทุกวัน และคนที่อยู่ห่างจากคุณข้ามเส้นขอบฟ้า ที่ก็ต้องเผชิญปัญหาที่หนักหนาไม่ต่างจากคุณ
เอ็ดเวิร์ด มุงค์(Edvard Munch) เป็นศิลปินชาวนอร์เวย์ที่มีชื่อเสียง ผลงานของเขาส่งอิทธิพลสำคัญต่อศิลปะแบบเอ็กเพรสชั่นนิสซึมในช่วงต่อมาเช่นเดียวกับแวนก๊อก และโกแกง ที่อยู่ในยุคเดียวกัน มุงค์เกิดปี 1860 มีชีวิตที่มีความทุกข์ ขมขื่น ตั้งแต่วัยเด็ก แม่เสียชีวิตเมื่อเขาอายุ 5 ขวบ และพี่สาวเสียชีวิตเมื่อเขาอายุ 14 ปี และต้องทนอยู่กับพ่อที่เคร่งศาสนาและมักทำร้ายจิตใจของมุงค์อยู่เสมอ
การต้องอยู่กับพ่อผู้เคร่งครัดและไม่เคยแสดงออกถึงความรัก ทำให้มุงก์ที่ตอนนั้นยังเยาว์วัยนักมองหาความอบอุ่นและความรักดังที่แม่ของเขาเคยมอบให้ มุงค์สนิทกับพี่สาวชื่อ Sophie เป็นอย่างมาก เสมือนเป็นตัวแทนของแม่ผู้ล่วงลับ แต่เมื่อตายจากไปในอีก 9 ปีต่อมา จิตใจของเขาก็แตกสลาย พี่สาวได้ขอให้เขาช่วยอุ้มเธอไปวางไว้บนเก้าอี้ ซึ่งภาพนั้นก็กลายมาเป็นซับเจกต์ที่เขาวาดเสมอมา และเขาก็เก็บเก้าอี้ตัวนั้นของพี่สาวไว้จนตลอดชีวิต
ความตายและความผิดปกติทางจิตรายล้อมรอบตัวมุงก์มาตลอดชีวิต น้องสาวของมุงก์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช ในขณะที่น้องชายคนหนึ่งที่เป็นดังเพื่อนสนิทของมุงก์ก็เสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยโรคปอดบวมในวัยเพียง 30 ปี ในครอบครัวที่มีโศกนาฏกรรมเป็นดังบันทึกของครอบครัวนี้
1
ทั้งที่ตัวของมุงค์หลงไหลในศิลปะ แต่พ่อแท้ๆของเขากลับมองว่า ศิลปะนั้นเป็น "เส้นทางแห่งความชั่วร้าย(unholy trade)" ไม่เพียงแต่พ่อของเขาเท่านั้นที่แสดงความไม่พอใจ แม้กระทั่งเพื่อนบ้านของเขาที่เคร่งศาสนาไม่แพ้พ่อของเขาก็ยังแสดงออกถึงความเดือดดาลถึงขนาดที่ส่งจดหมายไม่ลงชื่อไปต่อว่ามุงก์เลยทีเดียว
ในปี 1881 มุงก์จึงเข้าเรียนใน Royal School of Art and Design เขากลายเป็นแถวหน้าของชั้นและพัฒนาทักษะทางศิลปะอย่างรวดเร็วจนทำให้เพียง 2 ปีถัดมา เขาก็สามารถมีผลงานจัดแสดงต่อสาธารณชนได้
โดยหนึ่งในผลงานที่ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์มากที่สุดก็คือ ภาพพอร์เทรตของ ฮันส์ จูเกอร์ (Hans Jaeger) นักเขียนและนักปรัชญาชื่อดังชาวนอร์เวย์ที่เขาชื่นชม โดย มุงก์ได้จัดท่าทางให้จูเกอร์นั่งอยู่บนโซฟาโดยมีหมวกปิดลงมาถึงหน้าผาก ซึ่งการนำเสนอเสื้อคลุมสีเทาที่จูเกอร์สวมใส่นั้นก็สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะลัทธิประทับใจ (Impressionism) ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในยุคนั้น
ในขณะที่ชีวิตของมุงค์กำลังรุ่งโรจน์ ความสำเร็จต่างๆเข้าหาเขาราวกับเนรมิตได้ ผู้คนมากมายเริ่มพูดถึงเขาในแง่ศิลปินดาวรุ่งแห่งวงการ Impressionism แต่เขากลับถูกต่อต้านอย่างรุนแรง และไม่ใช่จากใครที่ไหน แต่เป็นคนในครอบครัวของเขาเอง
ความไม่พอใจจากผู้เป็นพ่อไม่เพียงมาจากการที่มุงก์ทุ่มเทให้กับศิลปะที่พ่อของเขามองว่าเป็นปีศาจร้าย แต่พ่อของเขายังรับไม่ได้กับการที่ลูกชายไปสนิทสนมกับ Jæger ผู้ยึดถือวิถีชีวิตแบบโบฮีเมียนที่ปฏิเสธการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ ซึ่งขัดกับแนวทางเคร่งศาสนาของผู้เป็นพ่อ พ่อของเขาทำลายภาพวาดนู้ดของเขาไปจนแทบหมดสิ้น และตัดขาดการสนับสนุนทางการเงินกับมุงก์อย่างเด็ดขาด
มุงค์ผู้ไร้ที่พึ่งทางใจในวัยประมาณ 45 ปีต้องต่อสู้กับอาการซึมเศร้า และใช้เวลากว่า 8 เดือนที่สถานพักฟื้นในเดนมาร์ก โศกนาฏกรรมทั้งหลายตลอดชีวิตของเขาทำให้เขาหมกมุ่นกับความตายและการตั้งคำถามกับการมีชีวิตอยู่อย่างมาก จนกระทั่งเขาวาดภาพที่ชื่อ By the Deathbed (Fever) ในปี 1893 เพื่อสะท้อนทรรศนะของเขาที่มีต่อความตาย
By the Deathbed (Fever), (1893)
ภาพที่มีชื่อเสียงของเขาที่สุด และเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกคือ The Scream ถูกวาดออกมาเป็น 4 เวอร์ชั่น คือเวอร์ชั่นสีชอล์ก 2 ภาพ (ปี 1893 และ 1895) และเวอร์ชั่นภาพสีพู่กันอีก 2 ภาพ และยังมีเวอร์ชั่นภาพพิมพ์ออกมาอีกมากมาย แต่เวอร์ชั่นที่เรารู้จักกันมากที่สุดคือเวอร์ชั่นปี 1893 ที่กลายมาเป็นหนึ่งในไอคอนของงานศิลปะยุคโมเดิร์น และถูกขนานนามให้เป็นดัง Mona Lisa แห่งยุคสมัยใหม่
รูปทรงของมนุษย์ที่ดูไม่ออกว่าเป็นเพศใด ร่างกายที่คดงอบิดเบี้ยว ใบหน้าที่ดูราวกับเดกดทารกที่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดา และปากกับตาที่เบิกอ้าเป็นโพรงด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด คือภาพสะท้อนความรู้สึกของมุงก์ในช่วงขณะนั้น
ที่ธรรมชาติรอบกายเขากลับปลุกอารมณ์ความรู้สึกในตัวเขาให้ตื่นขึ้นอย่างครบครันทุกองคาพยพ ท้องฟ้าสีแดงฉานราวกับเลือด เพื่อนร่วมเดินที่หันมามองเขาด้วยใบหน้าขาวอมเหลือง และเสียงที่ดังก้องอยู่ในหูของเขาที่ราวกับเป็นเสียงกรีดร้องของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ เหล่านี้คือสิ่งที่มุงก์เห็นและรู้สึก ณ ช่วงเวลาแห่งยามเย็นอันกลายมาเป็นแรงบันดาลใจแห่งภาพอันยิ่งใหญ่นี้
The Scream (1893)
ตลอดชีวิตของมุงค์เขาต่อสู้กับหลายอย่างในชีวิต ทั้งครอบครัวที่ต้องเผชิญกับเรื่องน่าเศร้าสลดมากมาย พ่อที่แทบไม่เคยอยู่เคียงข้างเขา สังคมที่ไม่เป็นมิตร แต่ที่รุนแรงที่สุด คือความย้อนแย้งในจิตใจของเขา การทำตามขนบหรือเดินไปสู่เส้นทางใหม่ ซึ่งยากมากทั้งในฐานะศิลปินสาย Impressionism ในยุคนั้น และในฐานะลูกคนหนึ่งที่ต้องการจะเป็นคนที่ดีในสายตาของบิดา ความเศร้าซึมและหดหู่กัดกินจิตใจของเขา ถูกสะท้อนออกมาเป็นงานศิลปะมากมาย
เรื่องราวของมุงค์สะท้อนให้คนธรรมดาๆอย่างเราเห็น ว่าแม้แต่ศิลปินระดับโลก ก็ต้องเผชิญอุปสรรคและความกระทบกระเทือนทางอารมที่แทบไม่แตกต่างจากเรา การยอมรับ เรียนรู้ และแปลเปลี่ยนมันออกมาเป็นพลังในเวลาที่เหมาะสม
ไม่ใช่เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเปลี่ยนไปอย่างไร แต่เพื่อเยียวยาความรู้สึกและจิตใจอันบุบสลาย และพร้อมจะโอบกอดตัวเองเพื่อเริ่มต้นใหม่และก้าวเดินต่อไป บนเส้นทางที่ไม่ว่าจะมีใครรออยู่หรือไม่ อย่างน้อยก็จงอุ่นใจว่า เราเข้าใจความรู้สึกและเจตนาของตัวเองอย่างแท้จริง หรือไม่ก็มากที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะเข้าใจตนเองได้
1
อ้างอิง
โฆษณา