Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือกฎหมาย
•
ติดตาม
23 ก.ค. 2024 เวลา 13:43 • การศึกษา
จำเลยเพียงแต่พูดข่มขู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2428/2554
เหตุการณ์ที่จำเลยที่ 1 ใช้แก้วเครื่องดื่มตบผู้เสียหายและใช้เก้าอี้ตีทำร้ายผู้เสียหายนั้นเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด และไม่ปรากฏถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ว่าจะทำร้ายผู้เสียหายมาก่อน ที่จำเลยที่ 1 ลงมือกระทำความผิดไม่มีพฤติการณ์หรือข้อเท็จจริงใดที่จะทำให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 ตกลงหรือร่วมกับจำเลยที่ 1
ในการที่จะทำร้ายผู้เสียหายมาก่อนอีกด้วย การที่จำเลยที่ 2 ใช้มือผลักอกผู้เสียหายพร้อมทั้งเงื้อมือขึ้นและร้องห้าม ประกอบกับเมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทหารถูกนางมาลีดึงแขนไว้ จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนหรือแสดงอาการไม่พอใจที่ไม่สามารถจะทำร้ายผู้เสียหายได้
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 เป็นทหาร ผู้เสียหายเป็นหญิง ในภาวะเช่นขณะเกิดเหตุนั้น หากจำเลยที่ 2 มีเจตนาจะตบทำร้ายผู้เสียหายแล้วก็น่าจะตบได้ แต่ก็มิได้กระทำ จำเลยที่ 2 เพียงแต่พูดในทำนองขู่ห้ามไว้เช่นนี้ การที่จำเลยที่ 2 ใช้มือผลักอกผู้เสียหายนั้น ไม่เป็นการกระทำโดยมีเจตนาที่จะร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ไปที่ร้านอาหารของผู้เสียหายสั่งสุราและอาหารหลายรายการมาร่วมดื่มและรับประทานร่วมกับบรรดาลูกน้องของจำเลยที่ 2 อีกประมาณ 5 ถึง 6 คน จนถึงเวลาประมาณ 23 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ออกไปจากร้านผู้เสียหายโดยไม่จ่ายค่าสุราและอาหาร จำเลยที่ 2 เดินไปนั่งดื่มเบียร์กับจำเลยที่ 1 ที่ร้านครัวขนุนที่เกิดเหตุคดีนี้
ซึ่งอยู่ติดกับร้านของผู้เสียหาย สักครู่ผู้เสียหายตามไปที่ร้านเกิดเหตุเข้าไปพูดทวงค่าสุราและค่าอาหารจากจำเลยที่ 2 ระหว่างที่ผู้เสียหายทวงค่าสุราและอาหารจากจำเลยที่ 2 นั้น ได้ถูกจำเลยที่ 1 ใช้แก้วเครื่องดื่มตบเข้าที่กกหูและใช้เก้าอี้พลาสติกตีถูกที่แขน จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายแล้วจำเลยที่ 1 ล้มลง เมื่อจำเลยที่ 1 ล้มลงขณะที่ผู้เสียหายจะตรงเข้าตอบโต้ทำร้ายจำเลยที่ 1 บ้างนั้น ได้ถูกจำเลยที่ 2 ใช้มือผลักอกพร้อมทั้งพูดขึ้นว่า “อย่ายุ่งกับเมียกู เดี๋ยวกูจะตบ”
ขณะที่จำเลยที่ 2 ผลักอกผู้เสียหายและทำท่าพร้อมทั้งพูดขึ้นดังกล่าว นางมาลีได้เข้าดึงมือจำเลยที่ 2 ไว้ ส่วนนางวันทนาได้พาผู้เสียหายแยกไปโรงพยาบาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานทำร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุกคนละ 8 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 เดือนและปรับ 2,000 บาท ทาจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2
เหตุผลที่ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะ
1. โจทก์มีนางสุจิต ผู้เสียหาย นางสาววันทนา และนางสาวมาลี เป็นประจักษ์รวม 3 ปาก เบิกความสอดคล้องต้องกันได้ความว่า ขณะที่ผู้เสียหายกำลังพูดทวงเงินค่าอาหารจากจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งอยู่ติดกับจำเลยที่ 2 ได้ลุกขึ้นยืนและใช้แก้วเครื่องดื่มตบเข้าที่กกหูของผู้เสียหายทันที เมื่อตบแล้วจำเลยที่ 1 ยังยกเก้าอี้พลาสติกขึ้นฟาดเข้าที่แขนของผู้เสียหายอีกด้วย
จากนั้นจำเลยที่ 1 ลื่นล้มลงผู้เสียหายจึงตรงเข้าจะทำร้ายจำเลยที่ 1 บ้าง จำเลยที่ 2 ได้ใช้มือผลักอกผู้เสียหายไว้ แล้วเงื้อมือขึ้นทำท่าจะตบผู้เสียหายพร้อมทั้งพูดขึ้นด้วยว่าอย่ายุ่งกับเมียกู เดี๋ยวกูจะตบ ขณะที่จำเลยที่ 2 ผลักอกผู้เสียหายและทำท่าพร้อมทั้งพูดขึ้นดังกล่าวนั้น นางมาลีได้เข้าดึงมือจำเลยที่ 2 ไว้ ส่วนนางสาววันทนาได้พาผู้เสียหายแยกไปโรงพยาบาล
2. จำเลยที่ 2 นั้นอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมากไม่ทันสังเกตว่าใครเป็นฝ่ายทำร้ายใครก่อน พยานลุกขึ้นยืนใช้มือซ้ายดันผู้เสียหายเอาไว้ ระหว่างที่ใช้มือดันก็พูดว่าอย่าเข้ามานะ เหตุที่พูดก็เพื่อให้ผู้เสียหายไม่กล้าเข้ามาเท่านั้น
3. เห็นว่า จากคำเบิกความของพยานทั้งสามของโจทก์แสดงว่า เหตุการณ์ที่จำเลย ที่ 1 ใช้แก้วเครื่องดื่มตบผู้เสียหายและใช้เก้าอี้ตีทำร้ายผู้เสียหายนั้นเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด
4. และจากคำเบิกความของพยานโจทก์ทุกปากก็ไม่ปรากฏถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ว่าจะทำร้ายผู้เสียหายมาก่อน ที่จำเลยที่ 1 ลงมือกระทำความผิดไม่มีพฤติการณ์หรือข้อเท็จจริงใดจากพยานโจทก์เพียงพอที่จะทำให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ตกลงหรือร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการที่จะทำร้ายผู้เสียหายมาก่อนอีกด้วย
5. การที่จำเลยที่ 2 ใช้มือผลักอกผู้เสียหายพร้อมทั้งเงื้อมือขึ้นและร้องห้าม ประกอบกับเมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทหารถูกนางมาลีดึงแขนไว้ จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนหรือแสดงอาการไม่พอใจที่ไม่สามารถทำร้ายผู้เสียหายได้
6. เห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 เป็นทหาร ผู้เสียหายที่เป็นหญิง ในภาวะเช่นขณะเกิดเหตุนั้นหากจำเลยที่ 2 มีเจตนาจะตบทำร้ายผู้เสียหายแล้วก็น่าจะทำได้ แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้กระทำเพียงแต่พูดในทำนองขู่ห้ามไว้เช่นนี้
7. ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่า การที่จำเลยที่ 2 ใช้มือผลักอกผู้เสียหายนั้นเป็นการกระทำโดยมีเจตนาที่จะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายตามฟ้อง
กฎหมาย
หนังสือ
พัฒนาตัวเอง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย