13 ส.ค. 2024 เวลา 07:05 • ความคิดเห็น
ต้องถามกลับว่า ในคำว่าปัญญา นั่นเรามีกันจริงๆหรือ เหมือนที่ว่า ตาเราเห็น เราก็เห็นได้ แค่รูป เลยเกินเข้าไป เราก็มองไม่เห็น ยิ่งเป็นอารมณ์ความรู้สึก ความโลภโกรธหลง ที่เราก็ใช้อารมณ์อยู่เป็นนิจสิน มีราคะตัณหา เราก็ชอบใจ ยินดีในกานเสพกาม เรามาดูปัญญาของ ท่านก็บอกว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นของเสียของบูดเน่า แต่เราก็ไม่มีการรับรู้แบบนั้น เหมือนที่พระท่านบอก ทำไม่มันเป็นแบบนั้น หรือว่าสิ่งที่พระท่านบอก มันเป็นคำลวง .
.อย่างไรก็ตามเมื่อเรามีศรัทธา เหมือนที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านแนะนำว่า มาทางนี้ ๆ สร้างบุญกุศลบารมีขึ้นมา ปฏิบัติธรรมในรอยทั้งสี่ของท่าน สลัดละอารมณ์ หลีกหนีเรื่องการสร้างเวรกรรม สิ่งที่ท่านบอกกล่าวมา ก็ค่อยๆ เกิดขึ้นมาให้เรารับรู้ ในเรื่องราวต่าง เรื่องกาย อารมณ์ จิต เรื่องเวรกรรม เรื่องการชดเชยกรรม
เรื่องการกระทำให้เกิดเป็นอโหสิกรรม ไปจนเรื่องการที่บังคับกายให้นิ่ง ให้นิ่งอยู่เฉย ทุกข์ที่กายก็ปรากฏออกมา ก็ให้ทำจิตนิ่งเฉย อยู่กับแสงรัตนะ ปลดปล่อยกรรมที่กำลังไหลออกไป ไม่ไปขัดขวางกรรมทร่กำลังไหลออกไป การทีจะทำกายนิ่งได้ เป็นกายของบุญบารมีเต็มองค์ น้ำป่าน้ำอะไรไหลบ่ามา ก็ไม่สมารถทำกายนี้ ให้ลอยเคลื่อนที่ไปได้ เพราะน้ำหนักของบุญกุศลที่จิตนั้นสะสมมามันหนัก เกินกว่า ดืนฟ้าอากาศจะพัดพาไป
.. เราเองเป็นจิตน้อยๆมีความโง่ มีความหลงอยู่เต็มตัว ..เราก็มาพึ่งพระ ท่านไม่บอกให้เชื่อท่าน ..ท่านก็บอกว่า ทำอย่างนี้ดีนะ เราจะทำหรือไม่ทำก็เป็นเรื่องของเรา ไม่มีใครบังคับใครได้
โฆษณา