27 ส.ค. 2024 เวลา 16:06 • หนังสือ

#หนังสือสำหรับผู้ป่วยโรคแพนิค Don't Feed the Monkey Mind หยุดเลี้ยงลิงในสมอง

เราขอแนะนำหนังสือเรื่องนี้เพราะ เราเป็นหนึ่งคนที่เป็นโรคแพนิคเป็นมาตั้งแต่อายุ 25 จนตอนนี้ 29 แล้วค่ะ ทั้งกินยา หาหมอจิตแพทย์ เป็นจนถึงขนาดที่หมอแทบจะไม่อยากรักษาแล้วค่ะ หมอบอกแค่เพียงว่า ยาเป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งแต่ที่เหลือคุณต้องช่วยตัวเองนะครับ คุณหมอบอกว่า "คุณลองออกกำลังกาย+นั่งสมาธิดูนะครับเผื่อจะช่วยให้คุณ Stop อาการต่างๆได้ดียิ่งขึ้น"
โรคแพนิค หรือ (Panic Disorder) , (Panic attack) หรือ อาการตื่นตระหนก จนเป็นโรควิตกกังวลชนิดหนึ่ง เกิดจากการที่ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ อาการแพนิคที่เกิดขึ้นผู้ป่วยมักจะรู้สึกตื่นกลัว วิตกกังวล กระวนกระวายใจ โดยที่ไม่มีสาเหตุ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยมักมีอาการกลัวถึงขีดสุดภายใน 10 นาที และอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น มักจะคงอยู่ไม่เกิน 20-30 นาที
13 อาการแพนิคที่สามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง
  • 1.
    ​รู้สึกเหมือนว่าไม่ใช่ตัวเองเหมือนไม่ได้อยู่ในความเป็นจริง
  • 2.
    ​ตัวสั่นควบคุมไม่ได้
  • 3.
    ​กลัวตาย
  • 4.
    ​เหงื่อแตก
  • 5.
    ​เจ็บแน่นหน้าอก
  • 6.
    ​คลื่นไส้หรือไม่สบายท้อง
  • 7.
    ​รู้สึกเวียนศีรษะ ใจหวิวเหมือนจะเป็นลม
  • 8.
    ​หนาวสั่นหรือรู้สึกร้อน
  • 9.
    ​มีความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกหรือหายใจไม่สุด
  • 10.
    ​ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วหรือหัวใจเต้นรัว
  • 11.
    ​ตัวชา เป็นได้ทั้งอาการตึงๆไม่รู้สึกอะไร หรือซ่าๆ
  • 12.
    ​กลัวจะเสียความควบคุม รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า
  • 13.
    ​รู้สึกเหมือนจะสำลัก
ลองเช็คอาการตัวเองดูก่อนนะคะว่าคุณเข้าข่ายเป็นโรคแพนิคกันบ้างไหม
และวันนี้เราจะพามาดูหนังสือเล่มนี้ ที่จะทำให้คุณมองเห็นทุกเรื่องที่พวกคุณต้องรู้เพื่อช่วยบรรเทาภาวะวิตกกังวล และความเครียด ด้วยวิธีที่ชัดเจนและจดจำง่าย
นักปราชญ์เปรียบเทียบสมองมนุษย์กับลิงมายาวนานหลายพันปี " ความคิด " เปรียบเหมือนลิงที่กระโดดจากกิ่งไม้กิ่งหนึ่งไปสู่อีกกิ่งหนึ่งไม่เคยพอใจ
ไม่เคยหยุดพัก ความกังวลดังก้องในหัวเราเหมือนเสียงลิงที่เจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด
เราหลายล้านคนต่างทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลท่วมท้นซึ่งสิ่งหนึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจาก พันธุกรรมหรือเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจที่เกิดขึ้นในชีวิตแบบไม่คาดคิด แม้ว่าภาวะวิตกกังวลของแต่ละคนจะมีหลากหลายรูปแบบและความรุนแรงที่แตกต่างกัน
แต่เราทุกคนล้วนมีข้อเท็จจริงหนึ่งร่วมกัน คือ เราไม่อาจผ่อนคลายหรือสงบจิตใจได้จนกว่าจะรู้สึกปลอดภัย
การเอาชีวิตรอดสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกๆสายพันธุ์ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการรักษาชีวิตตัวเองให้แคล้วคลาดปลอดภัยอยู่เสมอ
นักเขียนได้ยกเปรียบสมองของเราเป็นลิงถ้าอย่างนั้นเรามาดูวิธีคิดแบบลิงกันดีกว่าค่ะ ว่ามันทำงานกันยังไง อะไรคือตัวกระตุ้นที่ทำให้เราเกิดอาการแพนิค
เจนนิเฟอร์ แซนเนอร์ นักจิตบำบัด จะสะกิดคุณให้หันกลับไปเผชิญหน้าลิงในสมองมองทะลุเบื้องหลังวงจรความวิตกกังวลที่เกิดจาก "วิธีคิดแบบลิง"
อย่างการทนความไม่แน่นอนไม่ได้ นิยมความสมบูรณ์แบบ และรับผิดชอบจนล้นเกินพร้อมแนะกลยุทธ์รับมืออารมณ์เชิงลบผ่าน การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (CBT) และแบบฝึกใจเพื่อรู้เท่าทันกลลวงของลิงในทุกสถานการณ์
วิธีคิดแบบลิง
  • ​ทนความไม่แน่นอนไม่ได้: ฉันต้องแน่ใจเต็มร้อย
  • ​นิยมความสมบูรณ์แบบ: ฉันต้องไม่ทำผิดพลาด
  • ​รับผิดชอบจนล้นเกิน: ฉันต้องรับผิดชอบความสุขและความปลอดภัยของทุกคน
ข้อสันนิษฐานเหล่านี้สร้างมาตราฐานที่ไม่มีวันปฏิบัติได้จริงขึ้นมายิ่งเราพยายามใช้ชีวิตตามมาตราฐานเหล่านี้เท่าไหร่ก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นเท่านั้น มิหนำซ้ำเราจะไม่ยอมเผชิญความเสี่ยง ซึ่งจำเป็นหากต้องการใช้ชีวิตให้มีอิสรเสรีและได้ทำตามฝัน
1. ผู้ที่ทนความไม่แน่นอนไม่ได้
คุณเคยเป็นคนประเภทที่ชอบกังวลว่าความรู้สึกทางกายต่างๆ เป็นสัญญาณเตือนของอาการป่วยร้ายแรงไหม ครั้งแรกที่คุณเจ็บแปลบที่หน้าอกเพียง1ครั้ง เสียงที่ลอยเข้ามาในหัวครั้งแรก คือ ฉันจะต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ก่อนที่อาการจะหนักมากกว่านี้ หรือว่า คุณแคะจมูกจนเลือดออก ภาพแรกที่ฉายในหัวจะวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาว่า คุณจะไปต้องให้ถึงโรงพยาบาลเลยภายใน 5 นาที และถ้าคุณยังไม่ถึงโรงพยาบาลสักที ภาพจนวนเวียนจนกว่าคุณจะได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อคุณไปถึงโรงพยาบาลเรียบร้อยคุณจะรู้เลยว่า นี่แหละคือสิ่งที่คุณได้ให้อาหารเจ้าลิงไปเรียบร้อยแล้ว
2. ผู้ที่นิยมความสมบูรณ์แบบ
คุณเคยเป็นคนประเภทที่คิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอและจะต้องสมบูรณ์แบบกว่านี้ตลอดเวลาไหม เมื่อคุณจะลงมือทำอะไรสักอย่างคุณจะมีเหตุผล 108 ที่จะไม่ยอมลงมือทำอะไรบางอย่างสักที เมื่อคุณจะเริ่มลงมือทำจริงจัง สมองของคุณก็จะส่งสัญญาณเสียงออกมาทันทีว่า "ฉันจะทำผิดพลาดไม่ได้" ดังนั้น คุณก็จะเลื่อนการตัดสินใจออกไปก่อนเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดตามมา นี่แหละคือสิ่งที่คุณได้ให้อาหารเจ้าลิงไปเรียบร้อยแล้ว
3.ผู้ที่รับผิดชอบจนล้นเกิน
คนที่เป็นคุณแม่จะเข้าใจดีค่ะ สำหรับหัวข้อนี้คุณจะรู้สึกยังไงเมื่อคุณมีลูกที่เป็นวัยรุ่นกลับบ้านไม่ตรงเวลาบ้างในแต่ละวัน ในหัวคุณก็จะมีแต่ภาพที่สยองขวัญของลูกลอยเข้ามาตลอดและคุณจะสบายใจจนกว่า คุณจะโทรไปเช็คว่าเขาปลอดภัยดีแล้วจริงๆ นี่แหละคือสิ่งที่คุณได้ให้อาหารเจ้าลิงไปเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้กำลังบอกทางออกที่ดีที่สุดให้เรานั่นก็คือ
"การฝึกอยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด" เมื่อมีความวิตกกังวลมากระทบจิตใจ เช่น คุณกังวลเกี่ยวกับอาการทางกายที่อยู่ๆหัวใจคุณก็เต้นแรงมากกว่าปกติ
จากที่คุณคิดว่าจะไปหาหมอในทันที ให้คุณคิดใหม่ว่า "ฉันอยากให้หัวใจเช่นเต้นแรงมากกว่านี้อีก" เพราะยิ่งคุณหาวิธีหลีกเลี่ยงอาการแพนิคมากขึ้นเท่าไหร่ แพนิคก็จะยิ่งมาหาคุณเร็วมากขึ้นเท่านั้น สมองมักจะตอบสนองต่อวิธีการเอาตัวรอดเสมอ
แต่ถ้าคุณทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสมองของคุณ เท่ากับคุณทิ้งความคิดแบบเดิมๆ เพื่อลองสิ่งใหม่ๆ ที่คุณยังไม่เคยลอง อาจจะทำให้คุณได้เจอทางออกที่ดีที่จะทำให้คุณหลุดพ้นจากอาการที่เป็นอยู่ได้ค่ะ
อย่าปล่อยให้ลิงร้องดังกลบเสียงความต้องการในใจ
อย่าปล่อยให้ความกังวลบดบังศักยภาพในตัว
เมื่อสมองปลอดโปร่งไร้ลิงมากวนใจ โลกใบใหม่ก็พร้อมเปิดกว้างต้อนรับคุณ
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังเผชิญกับอาการแพนิคแย่ๆนี้ด้วยนะคะมันเป็นเองได้ก็ต้องหายเองได้ค่ะ ถ้ามันไม่หายเราก็จะเรียนรู้ที่อยู่กับมันให้ได้
ชีวิตไม่ต้องสมบูรณ์แบบมากนักหรอกค่ะ เพราะความไม่สมบูรณ์แบบนี่แหละคือสีสัน และรสชาตของชีวิต คิดบวกไว้ก่อน+++
สุดท้ายขอบคุณแพนิคที่ทำให้ฉันได้ลด อีโก้และอัตตาตัวตนในตัวเองลง
สนใจสั่งซื้อหนังสือ : https://s.shopee.co.th/7fGZst23J4
4
โฆษณา