Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Happy eyes
•
ติดตาม
31 ส.ค. 2024 เวลา 16:13 • หนังสือ
สรุปหนังสือ พระพุทธเจ้าสอน แต่ (เสือกไม่เชื่อ)
ผู้เขียน คุณปัญญาวุโธ
ต้องขอบอกก่อนเลยว่า เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ที่แอดเอามาสรุปให้ได้อ่านไม่ได้มีเจตนา ลบลู่หรือดูถูกความเชื่อของใคร
แอดได้ไปเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญและได้ลองซื้อมาอ่านแบบตัดอคติทุกอย่างออกไปแล้วลองให้นักเขียนได้เล่าในมุมมองของเขาที่เขาอยากจะสะท้อนเรื่องราวในสิ่งที่เขาคิดออกมาให้เราได้อ่าน
ตอนแรกที่ได้อ่านก็รู้สึก ว่า เขาตีความออกมาได้ตรงมาก เพราะน้อยคนที่จะกล้าออกมาพูดถึงเรื่องความเชื่อ ความศรัทธาของคน ซึ่งมันมีอนุภาพทำลายล้างคนที่คิดต่างสูงมาก แต่พอเราได้อ่านไปเรื่อยๆ มันก็ทำให้เราต้องเชื่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้แบบมีสติมากยิ่งขึ้น
วันนี้แอดอยากจะพาทุกคนให้ลองเปิดใจดูว่า สิ่งที่เราทำสืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ปู่ย่าตายาย ความเชื่อความเข้าใจแบบเดิมๆ มันขัดกับหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้หรือไม่ เราทำถูกต้องกันจริงๆแล้วใช่ไหม
เนื้อหาในหนังสือค่อนข้างที่จะส่อเสียดกับพิธีกรรมความเชื่อแบบเดิมๆ เพราะผู้เขียนได้ยกเอาพระธรรมในพระไตรปิฎกขึ้นมาเปรียบเทียบกับความเชื่อที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน ว่าสิ่งที่เราเคยเข้าใจมันถูกต้องจริงๆไม่ได้ขัดกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าใช่ไหม
" ศรัทธากับงมงาย มีเส้นบางๆคั่นกลางเอาไว้อยู่ "
“ คุณแน่ใจจริงๆ แล้วหรือไม่ ว่าคุณทำบุญกันอย่างถูกวิธีแล้ว? ”
“ เรานับถือศาสนาพุทธหรือนับถือศาสนาไหนกันแน่? ”
“ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วที่เราทำกันอยู่เราทำเพื่ออะไรกัน? ”
“หมอดูเป็นใคร ทำไมเราต้องเชื่อ? ”
“พระภิกษุนับไม่ถ้วนในยุคนี้ก็เหมือนกับบวชพระเป็นอาชีพ มีผ้าไตรจีวรเป็นเครื่องแบบ กินฟรีอยู่ฟรี มีหน้าที่เพียงแค่ออกรับกิจนิมนต์ถือศีลครบบ้าง ไม่ครบบ้าง เรื่องจะคิดหวังถึงขั้นนิพพานเป็นไม่ต้องพูดถึง”
คุณผู้อ่านเคยได้ยินคำว่า สายมูไหมค่ะ ทุกคนรู้ไหมค่ะว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง?
“สายมู” คำนี้ว่ากันว่ามาจากภาพยนต์เรื่อง “ มูเตลู ศึกไสยศาสตร์ ” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ของประเทศอินโดนีเซีย
พวกที่เป็น “สายมู” ก็คือกลุ่มคนที่มีความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ และเวมมนตร์คาถา เช่น เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เชื่อในพิธีกรรมต่างๆ เชื่อในวัตถุมงคล เชื่อในเรื่องดวงดีดวงร้าย เชื่อหมอผี เชื่อหมอดู เชื่อซินแส หรือเชื่อพระภิกษุที่ตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์และประกอบเดรัจฉานวิชา
ภาพนี้ใช้เพียงเพื่อประกอบในเนื้อหาเท่านั้น
พวกสายมูเชื่อว่า ไสยศาสตร์เหล่านี้จะช่วยดลบันดาลโชคลาภ ช่วยให้สมหวังในด้านต่างๆ แต่ที่น่าตลกก็คือ สายมูส่วนใหญ่ล้วนนับถือศาสนาพุทธด้วยกันทั้งนั้น
จริงอยู่ ที่พระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามไม่ให้ฆราวาสไปยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์
(แต่ห้ามพระสงฆ์ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเดรัจฉานวิชา)
ไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์ไม่มีวันไปด้วยกันได้ เราไม่สามารถนับถือศาสนาพุทธและไสยศาสตร์ไปพร้อมๆกันโดยไม่เกิดความขัดแย้งได้ เพราะศาสนาพุทธกับไสยศาสตร์มีจุดมุ่งหมายที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เหมือนขาวกับดำ สูงกับต่ำ มืดกับสว่าง
ศาสนาพุทธมุ่งเน้นให้ละทางโลกเพื่อการหลุดพ้นนิพพานส่วนไสยศาสตร์มุ่งเน้นให้มัวเมาอยู่กับกิเลสทางโลกโดยอาศัยเวทมนตร์คาถาซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆรองรับ
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ประเทศไทยเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด หันไปทางไหนก็เจอแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไล่ไปตั้งแต่ วัตถุมงคลต่างๆ,จอมปลวก,ต้นไม้,บ่อน้ำ,ถ้ำ,หิน ซากศพ(ของพระเกจิอาจารย์), รูปปั้นต่างๆ หรือแม้กระทั่งสัตว์บางชนิดที่เกิดมาพิกลพิการ ก็ไม่พ้นถูกอุปโลกน์ให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โชคให้ลาภ และแห่กันไปจุดธูปกราบกราน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้สายมูส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นแท้จริงคือสิ่งใด
จุดประสงค์ของการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการยกระดับจิตใจเลย กราบไหว้เพื่อหวังให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิตบ้าง กราบไหว้เพื่อขอหวย ขอโชคลาภ แล้วก็นึกมโนไปเองว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะประทานพรให้ได้ตามที่ขอ
บางคนเกิดสมหวังตามที่ขอขึ้นมา ก็เชื่อเป็นตุเป็นตะไปว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ แต่ถ้าไม่ได้ตามที่หวังก็ไม่แม้แต่จะคิดว่าสิ่งนั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่จะเปลี่ยนไปไหว้วอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ แทนต่อเรื่อยๆ
รากเหง้าของวิชาดูดวงดูหมอ
ภาพนี้ใช้เพียงเพื่อประกอบในเนื้อหาเท่านั้น
วิชาโหราศาสตร์หรือหมอดูพยากรณ์ มีปราหฏอยู่แทบทุกมุมโลก สำหรับประเทศไทยเรา มีความเชื่อเรื่องหมอดูมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย วิชาดูดวงดูหมอจึงนับว่าเป็นองค์ความรู้โบราณที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
ในศาสนาฮินดู โหราศาสตร์เป็นวิชาเก่าแก่ที่ปรากฏมานานหลายพันปีก่อนคริสตกาลด้วยซ้ำ โดยปรากฏในคัมภีร์พระเวทของพวกพราหมณ์ วิชาโหราศาสตร์จำทำนายทายทักโดยดูจากการโคจรของดวงดาวเป็นสำคัญ
แต่เมื่อประเทศไทยได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดู ก็เกิดความเชื่อของโหราศาสตร์ตามไปด้วย สังเกตว่าจะมีพวกโหราจารย์ทำหน้าที่ทำนายทายทักชะตาบ้านเมืองอยู่คู่กับชนชั้นกษัตริย์เรื่อยมา แม้ว่ากษัตริย์ของไทยจะนับถือศาสนาพุทธก็ตาม
อาชีพดูดวงในพระไตรปิฏก
ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้ามองการเป็นหมอดูหรือการพยากรณ์ต่างๆ ว่าเป็นเดรัจฉานวิชาและให้โทษว่าไม่ใช่วิชาที่ควรเรียนรู้ ควรเชื่อถือ
ในพระไตรปิฎกมีการกล่าวถึงผู้มีญาณหยั่งรู้อนาคตไว้ด้วย เรียก ญาณนี้ว่า
"อนาคตังสญาณ" แต่ผู้ที่จะมีญาณนี้ได้ ต้องเป็นผู้บรรลุธรรมและได้อภิญญาจิต ซึ่งก็มีเพียงพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์เท่านั้น
ส่วนพวกหมอดูซินแสทั้งหลาย คงไม่มีใครบรรลุธรรมจนมีอนาคตังสญาณได้
ส่วนพระสงฆ์จำพวกที่ตั้งตนเป็นหมอดู ดูดวงดูฤกษ์ดูยามให้ญาติโยม ก็คงไม่มีรูปไหนบรรลุถึงอนาคตังสญาณเช่นกัน อย่าว่าแต่อนาคตังสญาณเลย หวังแค่ให้ก้าวพ้นจากเดรัจฉานวิชายังลำบาก ซึ่งพระประเภทนี้ไม่ควรค่าแก่การกราบไหว้หรือทำบุญทำทานด้วย
ท่านใดสนใจสั่งซื้อหนังสือเพื่ออ่านเพิ่มเติม
สามารถแอดไลน์เข้าไปสั่งซื้อได้เลยค่ะ
Line : @IntrendPub
facebook : @IntrendPub
หนังสือ
ความรู้รอบตัว
พัฒนาตัวเอง
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย