17 ม.ค. เวลา 04:14 • ประวัติศาสตร์

ปริศนาคดีฆาตกรรมแบล็กดาเลีย (The Black Dahlia Murder)

🕵️‍♂️ ตอนที่ 3: รอยเลือดและเบาะแส (Blood Trails and Clues)
หลังจากการค้นพบศพของเอลิซาเบธ ชอร์ต (Elizabeth Short) ในย่านเลเมิร์ตพาร์ค (Leimert Park) เมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1947 เจ้าหน้าที่ตำรวจลอสแอนเจลิส (LAPD) ได้เริ่มต้นการสืบสวนคดีฆาตกรรมที่ซับซ้อนและลึกลับนี้อย่างจริงจัง
ภาพที่เกิดเหตุที่พบร่างของเอลิซาเบธ ชอร์ต ในย่านเลเมิร์ตพาร์ค ลอสแอนเจลิส เมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1947
🔍 การตรวจสอบที่เกิดเหตุ
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมายังจุดเกิดเหตุ พวกเขาพบศพของเอลิซาเบธในสภาพที่ถูกทารุณอย่างโหดเหี้ยม ร่างของเธอถูกตัดแบ่งออกเป็นสองท่อนที่ส่วนเอวอย่างประณีต ไม่มีร่องรอยของเลือดในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าศพถูกนำมาทิ้งไว้หลังจากที่ถูกฆ่าและทำลายศพที่อื่น
เจ้าหน้าที่ LAPD ตรวจสอบหลักฐานในคดีฆาตกรรม เอลิซาเบธ ชอร์ต (Black Dahlia) เพื่อหาเบาะแสสำคัญเชื่อมโยงถึงฆาตกร
🩸 ร่องรอยของการทำลายศพ
การตัดแบ่งร่างกายของเอลิซาเบธทำได้อย่างประณีตและแม่นยำ สภาพของศพถูกล้างทำความสะอาดอย่างดี ทำให้เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าฆาตกรอาจเป็นบุคคลที่มีความรู้ด้านการแพทย์หรือกายวิภาคศาสตร์
การตัดแบ่งร่างมีลักษณะที่คล้ายกับการทำศัลยกรรม โดยการตัดผ่านกระดูกโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ วิธีการนี้เป็นที่รู้จักในวงการแพทย์ว่า “การตัดแบบฮีมิคอร์พอเรกโตมี (hemicorporectomy)” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ต้องใช้ความชำนาญสูง
ภาพสแกน MRI และ CT แสดงรายละเอียดของการตัดแบ่งร่างกายอย่างแม่นยำ คล้ายกับเทคนิคทางการแพทย์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญด้านกายวิภาคศาสตร์ที่อาจเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมเอลิซาเบธ ชอร์ต (Black Dahlia)
🔦 เบาะแสสำคัญในคดี
การสืบสวนในเบื้องต้นมีการค้นพบเบาะแสสำคัญหลายประการ ได้แก่
1. ร่องรอยการขนส่งศพ – ไม่มีเลือดในที่เกิดเหตุ ซึ่งบ่งบอกว่าศพถูกเคลื่อนย้ายมาทิ้งที่นี่ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าฆาตกรอาจใช้ยานพาหนะในการขนศพ
2. ร่องรอยการมัดและทำร้ายร่างกาย – มีร่องรอยการถูกมัดและรอยบาดแผลที่แสดงถึงการทรมานอย่างต่อเนื่องก่อนเสียชีวิต
3. จดหมายลึกลับจากฆาตกร – หลังจากการพบศพ มีการส่งซองจดหมายไปยังสำนักข่าวท้องถิ่น โดยในซองมีบัตรประจำตัวของเอลิซาเบธ ชอร์ต และเอกสารสำคัญอื่น ๆ ที่แช่อยู่ในน้ำมันเบนซินเพื่อลบลายนิ้วมือ
ภาพศพของ เอลิซาเบธ ชอร์ต (Black Dahlia) ที่ถูกทิ้งในพื้นที่รกร้างย่าน เลเมิร์ตพาร์ค ลอสแอนเจลิส เมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1947
ภาพถ่ายใบหน้าของ เอลิซาเบธ ชอร์ต (Black Dahlia) หลังการเสียชีวิต แสดงรอยกรีดจากมุมปากถึงใบหูหรือที่เรียกว่า "Glasgow Smile" ซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะสำคัญของคดีฆาตกรรมสุดสะเทือนขวัญนี้
จดหมายลึกลับที่ส่งถึงสำนักข่าวโดยบุคคลที่อ้างว่าเป็นฆาตกรในคดี เอลิซาเบธ ชอร์ต (Black Dahlia) โดยมีข้อความว่า "HERE IT IS. TURNING IN WED JAN. 29 10 A.M. HAD MY FUN AT POLICE. BLACK DAHLIA AVENGER" ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกและเป็นเบาะแสสำคัญในการสืบสวนคดีนี้
ภาพของ ดร. จอร์จ โฮเดล (Dr. George Hodel) หนึ่งในผู้ต้องสงสัยหลักในคดีฆาตกรรม เอลิซาเบธ ชอร์ต (Black Dahlia) เนื่องจากความเชี่ยวชาญด้านกายวิภาคศาสตร์และพฤติกรรมที่น่าสงสัยของเขา
🕵️‍♂️ ผู้ต้องสงสัยและทฤษฎีต่าง ๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวนผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก โดยเน้นไปที่บุคคลที่มีความรู้ด้านการแพทย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเอลิซาเบธในช่วงสุดท้ายของชีวิต อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเพียงพอในการจับกุมผู้กระทำผิด
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยหลักคือ ดร. จอร์จ โฮเดล (Dr. George Hodel) แพทย์ผู้มีความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์และมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย แม้ว่าเขาจะไม่เคยถูกตั้งข้อหา แต่บันทึกส่วนตัวของเขาแสดงถึงความเชื่อมโยงกับคดีนี้
หนังสือพิมพ์รายงานข่าวคดีฆาตกรรมเอลิซาเบธ ชอร์ต หรือ "Black Dahlia" ที่กลายเป็นข่าวพาดหัวและได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อมวลชน
📰 บทบาทของสื่อมวลชน
สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการสร้างกระแสของคดีนี้อย่างมาก ข่าวคดีฆาตกรรมของเอลิซาเบธ ชอร์ต ได้กลายเป็นข่าวพาดหัวในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ซึ่งเน้นไปที่การขุดคุ้ยชีวิตส่วนตัวของเธอ จนทำให้เกิดการบิดเบือนข้อมูลเพื่อกระตุ้นความสนใจของประชาชน
ฉายา "แบล็กดาเลีย (Black Dahlia)" ถูกตั้งขึ้นโดยสื่อมวลชน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง "The Blue Dahlia" และลักษณะการแต่งกายของเอลิซาเบธที่มักใส่เสื้อผ้าสีดำ
โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง "The Blue Dahlia" (1946) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้สื่อมวลชนตั้งฉายา "Black Dahlia" ให้กับเอลิซาเบธ ชอร์ต เนื่องจากลักษณะการแต่งกายของเธอที่มักสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ
🔗 เบาะแสที่หายไปและความล้มเหลวในการสืบสวน
แม้จะมีเบาะแสหลายอย่าง แต่การสืบสวนกลับเต็มไปด้วยอุปสรรค เช่น
- การทำลายหลักฐาน – หลักฐานสำคัญบางอย่างหายไปหรือถูกทำลาย
- การบิดเบือนจากสื่อ – ข้อมูลจากสื่อทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและส่งผลต่อแนวทางการสืบสวน
- การขาดเทคโนโลยีทางนิติวิทยาศาสตร์ในยุคนั้น ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบ DNA หรือร่องรอยอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การมีผู้คนจำนวนมากในที่เกิดเหตุ รวมถึงสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป อาจนำไปสู่การทำลายหรือปนเปื้อนหลักฐานสำคัญ
เจ้าหน้าที่หญิงกำลังตรวจสอบลายนิ้วมือเพื่อหาหลักฐานในคดีฆาตกรรมยุค 1940s ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการสืบสวน แม้จะขาดเทคโนโลยีทันสมัยในขณะนั้น
🕯️ สรุป
คดีฆาตกรรมเอลิซาเบธ ชอร์ต หรือ แบล็กดาเลีย เป็นคดีที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและปริศนา แม้จะมีเบาะแสหลายอย่าง แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดได้ คดีนี้ยังคงเป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมที่ลึกลับและโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
📚 แหล่งอ้างอิง (References)
FBI – Famous Cases & Criminals: The Black Dahlia
🔗 fbi.gov
The Black Dahlia: Inside The Gruesome Murder Of Elizabeth Short
Who Killed the Black Dahlia? Revisiting Elizabeth Short's Unsolved Murder
Crime Library – The Black Dahlia
The Short Life of Elizabeth Short aka the “Black Dahlia”
โฆษณา