11 มี.ค. เวลา 00:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ ตลาดปรับฐานแรง หลังนักลงทุน Panic เพราะกลัว recession | วิกฤติหรือโอกาส

ในช่วงไม่นานมานี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดการเงินโลกเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีที่เคยเป็น “หัวใจ” หลักของกระแส AI และความคาดหวังในการเติบโตระยะยาว สถานการณ์ทวีความผันผวนยิ่งขึ้น เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินนโยบายขึ้นภาษีศุลกากร (Tariffs) รวมถึงอาจปรับลดงบประมาณในภาครัฐอย่างเร่งด่วน ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ สั่นคลอน และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในวงกว้าง
🔻 Nasdaq 100 กับการเทขายอย่างหนัก
จาก “Animal Spirits” สู่ “ความเสี่ยงภาวะถดถอย”
ดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงกว่า 4.7% ในวันเดียว นับเป็นการดิ่งที่นักลงทุนไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก หลังจากที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเทคเป็นตัวนำพาตลาดหุ้นอเมริกาสู่จุดสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
👉🏻 สถิติมีแนวโน้มลบในระยะสั้น
ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี บ่งชี้ว่า เมื่อ Nasdaq 100 ร่วงถึงระดับประมาณ 4.7% หรือมากกว่านั้น มักจะมีแรงขายต่อในช่วง 5 วันทำการถัดไป อย่างไรก็ดี หากมองในกรอบ 1-3 เดือนหลังการปรับฐาน หุ้นเทคโนโลยีมักจะฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว และให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
🧑🏻‍💼 ความเห็นนักวิเคราะห์: “ตลาดขับเคลื่อนด้วยข่าว”
จีน่า โบลวิน (Gina Bolvin) ประธาน Bolvin Wealth Management Group กล่าวว่า “เราเปลี่ยนจากภาวะ ‘Animal Spirits’ ซึ่งทุกคนกล้าได้กล้าเสีย มากลายเป็นการตั้งคำถามว่าเราจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ จึงถือเป็นตลาดที่ถูกขับเคลื่อนด้วยพาดหัวข่าว (Headline-Driven Market) อย่างแท้จริง ซึ่งทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่ชั่วโมง”
🔻S&P 500 จ่อเข้าสู่ “Correction”
ภาวะที่นักลงทุนหวั่นเกรงมานาน
การร่วงลงอย่างหนักของ Nasdaq 100 กำลังลุกลามมาที่ S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่นักลงทุนทั่วโลกจับตา ปัจจุบัน S&P 500 ใกล้เขต “Correction” หรือการปรับตัวลง 10% จากจุดสูงสุด
👉🏻 วันที่แย่ที่สุดในปี 2025
แรงขายที่เร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจนในชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย ทำให้ S&P 500 ปิดในแดนลบมากที่สุดในปีนี้ ขณะที่ Nasdaq 100 ก้าวเข้าสู่ภาวะ Correction ไปก่อนแล้ว
🧑🏻‍💼 ความเห็นนักวิเคราะห์: “ต้องจับตาการปิดต่ำกว่าเส้น 200 วัน”
 
แคลลี ค็อกซ์ (Callie Cox) แห่ง Ritholtz Wealth Management ระบุว่า “มีคำกล่าวในวอลล์สตรีทว่า ‘ไม่มีอะไรดีเกิดขึ้นเมื่อดัชนีปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน’ เพราะการเคลื่อนไหวในเขตนี้ทำให้การเทขายเร่งตัวขึ้นได้ง่าย และความผันผวนจะแรงขึ้นมาก”
📊 พื้นฐานกำไรยังไม่พัง แต่ราคานำหน้าปัจจัยจริง
การปรับลดคาดการณ์กำไรที่ “ไม่มาก” เท่าการร่วงของราคา
สิ่งที่ทำให้หลายฝ่ายแปลกใจ คือ การถูกเทขายหุ้นเทคดูรุนแรงเกินกว่าการปรับลดประมาณการกำไรที่เกิดขึ้นจริง โดยข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ชี้ให้เห็นว่า กลุ่ม Information Technology ในดัชนี S&P 500 ถูกปรับคาดการณ์การเติบโตของกำไรลงจาก 26.56% เมื่อต้นปี มาอยู่ที่ 25.83% ในช่วงล่าสุด ซึ่งลดลงเพียง 0.73 จุดเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
👉🏻 ราคาหุ้นอาจวิ่งล้ำมูลค่าพื้นฐาน
 
การที่มูลค่าหุ้นเทค (Valuation) ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา มีส่วนทำให้การปรับฐานดู “โหด” เป็นเงาตามตัว นักวิเคราะห์มองว่าความฝันด้าน AI และการเติบโตที่ทะยานเกินจริงอาจสร้าง “ช่องว่าง” ระหว่างราคาหุ้นกับตัวเลขกำไรจริง
เมื่อเทียบการปรับฐานจากจุดสูงสุด หุ้นเทคปรับลงกว่า 15% เป็นรองเพียงหุ้นกลุ่ม Consumer Discretionary ที่ได้รับแรงกดดันจากการดิ่งหนักของ Tesla แต่หากวัดแบบ Equal-Weight (ไม่ให้น้ำหนัก Tesla เกินจริง) ก็เห็นได้ชัดว่าหุ้นเทคตกหนักสุดในตลาด ทว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะมูลค่าที่เคยปรับตัวขึ้นสูงมาก และแม้ความคาดหวังด้าน AI อาจสั่นคลอนจากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น แต่การที่หุ้นเทคยังทำกำไรได้ดีในภาพรวม ย่อมเป็นกันชนชั้นดีต่อการดิ่งลงในระยะถัดไป
อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้า ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังแข็งแกร่งเกินกว่าที่นักลงทุนจะเทขายทิ้งทั้งหมด
🧑🏻‍💼 ความเห็นนักวิเคราะห์: “แรงกดดันเพราะหุ้นขึ้นมาสูงมาก”
หลายสำนักวิจัยเห็นตรงกันว่า กลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขายหนักสุด เพราะก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่มนี้ได้ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริษัทที่ได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนมหาศาลในการพัฒนา AI เช่น Nvidia, Microsoft, Alphabet และผู้เล่นอื่นๆ ซึ่งล้วนมีมูลค่าพุ่งเกินกว่าระดับที่อาจรองรับการปรับฐานได้ทันทีเมื่อเกิดปัจจัยลบขึ้น
🏛️ การเมืองสหรัฐฯ กับบทบาทของทรัมป์
ความไม่แน่นอนที่เขย่าความเชื่อมั่น
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมตลาด คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแสดงจุดยืนชัดเจนในการขึ้นภาษีศุลกากร ตัดลดงบประมาณ และเปลี่ยนแปลงบุคลากรในรัฐบาล ทรัมป์เองเคยกล่าวเตือนว่าอาจเกิด “ความเจ็บปวดระยะสั้น” เพื่อสร้างสมดุลใหม่ในการค้าระหว่างประเทศ บางฝ่ายกังวลว่าแนวทางนี้อาจทำให้เศรษฐกิจที่เคยแข็งแกร่งของสหรัฐฯ ชะลอตัว หรืออาจเกิดภาวะถดถอยในอนาคตอันใกล้
🧑🏻‍💼 ความคิดเห็นนักวิเคราะห์ต่อทรัมป์
ไมเคิล โรเซน (Michael Rosen) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการลงทุนของ Angeles Investment Advisors ชี้ว่า “ทรัมป์ได้ทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจระหว่างประเทศในเวลาไม่กี่สัปดาห์ โดยหวังว่าจะสร้างสิ่งที่ ‘ดีกว่า’ ขึ้นมาแทน แต่เมื่อยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร นักลงทุนก็จะยิ่งไม่มั่นใจ”
👉🏻 มุมมองเรื่องภาษีศุลกากร
 
เดวิด บาห์นเซน (David Bahnsen) ซีไอโอ The Bahnsen Group บอกว่า “การพูดถึงภาษีอาจสร้างผลกระทบแย่ยิ่งกว่าการใช้จริงเสียอีก เพราะทำให้ภาคธุรกิจและนักลงทุนชะลอการใช้จ่ายและลงทุน จนกว่าจะเห็นท่าทีที่แน่นอน หากเรื่องนี้ยืดเยื้อหนึ่งถึงสองไตรมาสก็อาจพาให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว และกลับมาสู่โต๊ะเจรจาที่ทำให้ทุกคนตั้งคำถามว่า ‘ทำไมเราต้องผ่านความยุ่งยากทั้งหมดนี้?’”
💵พันธบัตร: หลุมหลบภัยในยุคผันผวน
เงินเฟ้อระยะสั้นที่ขยับขึ้น แต่ตลาดยังมองไปข้างหน้า
รายงานของ New York Fed ระบุว่า อัตราคาดการณ์เงินเฟ้อระยะ 1 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 3.1% (สูงสุดนับตั้งแต่พฤษภาคมปีก่อน) อย่างไรก็ดี ตลาดพันธบัตรรัฐบาลกลับดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังเชื่อว่าหากเศรษฐกิจชะลอตัวตามแรงกดดันของนโยบายภาษี เงินเฟ้อระยะยาวจะถูกจำกัดโดยอัตโนมัติ อีกทั้ง Fed เองก็มีแนวโน้มยืดหยุ่น หากภาวะถดถอยเริ่มปรากฏ
🧑🏻‍💼ความเห็นนักวิเคราะห์: “ตลาดโฟกัสการลดดอกเบี้ย มากกว่าเงินเฟ้อ”
 
บางฝ่ายชี้ว่า เมื่อเกิดความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย Fed อาจใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย (ลดอัตราดอกเบี้ย) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงแรงซื้อพันธบัตรจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในยามตลาดหุ้นส่อเค้าอ่อนแอ
✅ ภาพรวมการเทขาย: “ยังไม่ใช่จุดวิกฤติ” เพราะการขายกระจุกในหุ้นยักษ์ใหญ่ แต่ไม่ทั่วทั้งตลาด
แม้ภาพรวมดูเหมือนว่ามีการเทขายอย่างหนัก แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นที่เรียกว่า Capitulation (การยอมแพ้ขายทุกราคา) เพราะยังมีหุ้นในดัชนี S&P 500 บางส่วนที่ไม่ได้ร่วงตาม ในช่วงกลางของวันทำการ พบว่ามีเพียงไม่ถึงครึ่งของหุ้นในดัชนีที่อยู่ในแดนลบ
👉🏻 Tesla และเมกะแคปดิ่งหนัก
กลุ่มที่ถูกเทขายแรงสุดคือ Tesla, Apple, Nvidia และหุ้นเทคใหญ่อื่นๆ ซึ่งมีน้ำหนักในดัชนีมาก เมื่อหุ้นตัวใดร่วงมากๆ ก็ฉุดดัชนีในเชิงจุดดัชนี (Index Points) ให้ตกแรงตามไปด้วย
🧑🏻‍💼 ความเห็นนักวิเคราะห์: “ระดับความผันผวนยังไม่ถึงขีดสุด”
เอมี วู ซิลเวอร์แมน (Amy Wu Silverman) นักกลยุทธ์อนุพันธ์ตราสารทุน RBC Capital Markets ให้สัมภาษณ์ใน Bloomberg Television ว่า “เรายังไม่เห็นตลาดพังลงแบบสุดขีด แต่เมื่อความผันผวนเพิ่มขึ้น สถานะการลงทุนบางอย่างอาจถูกบังคับให้เลิก (Unwinds) และสร้างความไม่แน่นอนซ้ำซ้อนจนเกิดแรงขายรอบใหม่”
🔻 ตลาดเอเชียเหวี่ยงตัวตาม ภาพย่อย “จีน-ฮ่องกง” ยังมีบวก
👉🏻 เงินทุนไหลเข้าหุ้น AI แม้ตลาดหลักจะร่วง
แรงกดดันจากสหรัฐฯ ลามถึงตลาดเอเชียอย่างรวดเร็ว ดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่นและ Hang Seng ของฮ่องกงมีแนวโน้มร่วงอีกราว 1.8% ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่มองเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นเทคฮ่องกง หลายคนเชื่อว่าการมาของโมเดล AI ใหม่ๆ เช่น DeepSeek อาจปฏิวัติอุตสาหกรรมเทคในเอเชียได้ จึงทำให้เม็ดเงินยังคงไหลเข้าอย่างคึกคักในบางกลุ่ม
🧑🏻‍💼 ความเห็นนักวิเคราะห์: “จับตาเงินทุนไหลเข้าสู่หุ้นเทคจีน”
นักวิเคราะห์มองว่า นักลงทุนจีนและเอเชียบางส่วนมองต่างจากสหรัฐฯ คือ เมื่อราคาหุ้นเทคเริ่มถูกลง พวกเขามองว่ามีโอกาสเข้าซื้อสะสม โดยหวังว่าการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นตามรอบการพัฒนา AI และนวัตกรรมดิจิทัลต่อไป
🎯 ความเสี่ยง – โอกาส – และมุมมองระยะยาว
การปรับฐานช่วย “ชำระล้าง” ราคาหุ้นที่สูงเกินไป
หลายฝ่ายมองว่าการปรับฐานรอบนี้ช่วยลดความร้อนแรงที่อาจเกินเหตุในภาคเทคโนโลยี และเปิดทางให้นักลงทุนที่มีสายตาระยะยาวสามารถเข้าหาหุ้นคุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น หากพื้นฐานบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงในเชิงลบมากนัก
👉🏻 “ตลาดต้องการความชัดเจน”
ภาพใหญ่ในสหรัฐฯ คือ เศรษฐกิจยังมีเสถียรภาพบางส่วน ประชาชนมีกำลังซื้อ และเทคโนโลยียังเป็นส่วนขับเคลื่อนนวัตกรรมที่ทั่วโลกต้องการ เพียงแต่ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงส่งผลให้เกิดการเทขายชั่วคราว
🧑🏻‍💼 ความเห็นนักวิเคราะห์: “นี่อาจเป็นโอกาสเข้าซื้อรอบใหม่”
 
อาลอน โรซิน (Alon Rosin) หัวหน้าฝ่ายอนุพันธ์ตราสารทุนของ Oppenheimer & Co. เผยว่า “การซื้อขายในวันที่หุ้นเทคร่วงอาจดูเหมือน ‘Death Spiral’ แต่หลายครั้งเมื่ออารมณ์ตลาดสงบลง สินทรัพย์ที่ถูกขายทิ้งมากเกินไป (Oversold) ก็มักฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว”
✅ บทสรุป: คาดการณ์ความผันผวนต่อเนื่อง
ตลาดการเงินในปัจจุบันกำลังเผชิญความไม่แน่นอนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- นโยบายภาษีศุลกากรและงบประมาณของทรัมป์ ที่ส่งผลให้ภาคธุรกิจและผู้บริโภคไม่กล้าลงทุนหรือใช้จ่ายมากนัก
- ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย หากภาษีและข้อพิพาทการค้ากระทบการขยายตัวของจีดีพี
- คำถามต่อมูลค่าหุ้นเทคว่า หลังจากวิ่งกันมาไกลแล้ว ตัวเลขกำไรและโอกาสเติบโตในอนาคตยังคุ้มค่าหรือไม่
ในระยะสั้น นักวิเคราะห์ยังคาดว่าความผันผวนจะคงอยู่ ซึ่งอาจเกิดแรงเทขายซ้ำได้ทุกเมื่อหากมีข่าวลบมากระตุ้น (เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด หรือสงครามการค้าขยายวง) อย่างไรก็ดี ในระยะยาว หุ้นเทคโนโลยียังมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลก เนื่องจากนวัตกรรม AI, Cloud Computing, Internet of Things (IoT) ยังคงเป็นกระแสหลักที่ภาคธุรกิจต้องการลงทุน
สำหรับนักลงทุนที่กล้าแบกรับความผันผวนและถือครองระยะยาว อาจมองว่าการปรับฐานครั้งนี้คือโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้น “คุณภาพดี” ในราคาที่สมเหตุสมผลกว่าเดิม แต่หากเป็นผู้ที่ไม่ชอบความเสี่ยง ควรพิจารณากระจายพอร์ต (Diversification) ให้ครอบคลุมสินทรัพย์อื่นๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกลุ่ม Defensive หรือแม้แต่ตราสารหนี้เอกชนเกรดดี เพื่อรับมือกับความผันผวนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววัน
👉🏻 ท้ายที่สุดแล้ว “ความไม่แน่นอน” ยังคงเป็นปัจจัยชี้นำตลาด
 
หากนโยบายของทรัมป์เริ่มชัดเจน หรือมีสัญญาณว่าการขึ้นภาษีและการปรับลดงบประมาณอาจผ่อนคลายลง ตลาดก็มีโอกาสฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิด แต่หากความตึงเครียดทางการค้าและภาวะเงินเฟ้อที่สูงเกินควบคุมยืดเยื้อ ตลาดอาจเตรียมรับแรงกระแทกอีกระลอก
ในสถานการณ์เช่นนี้ “ข้อมูล” คือหัวใจสำคัญของการลงทุน นักวิเคราะห์และนักลงทุนจึงจำเป็นต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การจ้างงาน เงินเฟ้อ ไปจนถึงผลประกอบการบริษัท เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา
🎯 ความเห็นส่วนตัวของนิคกี้ (รู้นะว่ารอกันอยู่)
หนึ่งเลย ให้ไปอ่าน 4 โพสต์นี้ค่ะ
1. “ย้อนรอยมหากาพย์สงครามการค้ารอบแรก เตรียมใจให้ทันสงครามการค้าซีซั่นสอง”
2. “Magnificent 7" น่าลงทุนแล้วหรือยัง?
3. “🎯 สรุป The Art of the Deal กลยุทธ์การเจรจาของทรัมป์ ย้อนรอย Trade War 1 อ่านใจทรัมป์ใน Trade War 2”
4. ย้อนรอยสงครามการค้าครั้งที่ 1 ดอยสูงแค่ไหน
ทั้ง 4 โพสต์นี้จะให้มุมมองเราว่า เราน่าจะเจออะไรกับอะไรบ้างในช่วงนี้ และทรัมป์คิดแบบไหนค่ะ
ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำคือ เอาอารมณ์ร่วมกับตลาดออกไปก่อน แล้วดูที่ตัวเลขปัจจัยพื้นฐานค่ะ จากในรูปของโพสต์นี้ และอีกหลายๆโพสต์ที่นิคกี้เขียนไว้ จะเป็นว่าจริงๆแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ใกล้เคียงกับ recession เลย หรือตลาดตกใจกันไปเองนั่นเองค่ะ
ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังแข็งแกร่งมากๆ และกำไรแทบไม่ถูกปรับลดลงเลยด้วยซ้ำ แต่ราคาหุ้นร่วงมาเยอะมาก จนตอนนี้ valuation ของหุ้นเทคฯ หลายตัวน่าสนใจสุดๆในรอบหลายๆปี (ขอยกเว้น TSLA ไว้ตัวนึง)
ทรัมป์มันต้องทำท่าว่าเค้าไม่แคร์อยู่แล้วว่าสหรัฐฯจะเกิด recession หรือไม่ หรือหุ้นจะร่วงแค่ไหน เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงเจรจา การทำแบบนั้นจะเป็นจุดอ่อนให้คู่กรณีเอามาโจมตีนั่นเองค่ะ (อ่านโพสต์ข้อ 3 จะเข้าใจดีเลย)
👉🏻 คำแนะนำสำหรับคนทั่วไปคือ Buy and Hold เพราะเราเห็นในโพสต์ข้อ 1 ไปแล้วว่า ระหว่างทางโคดวุ่นวาย ปวดหัว ไบโพล่า แต่พอคุยกันเสร็จปุ๊ป หุ้นกลับมา ATH ได้อยู่ดี
👉🏻 คำแนะนำคนที่เสี่ยงได้สูงมากๆ เล่น hedging ไปด้วยค่ะ ถ้าหาได้นะ ของไทย กลต. จะเปิดให้ใช้ Inversed ETF แล้ว แต่มาวันที่ 16 มีนาคมนู่นเลย ไม่รู้จะทันไหมนะ หรือหุ้นจะเด้งกลับไปก่อนแล้ว 😅 (ถึงแม้จะเด้ง ก็เปิดบวก 2x ก็ได้อยู่)
👉🏻 คำแนะนำสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ให้ลงทุนแต่พันธบัตรรัฐบาล หรือถือเงินสดรออย่างเดียวเลยค่ะ ไม่งั้นจะเครียดแน่ๆ
👉🏻 ทำใจไว้ก่อน 1 ปี คงไม่เกินนี้ค่ะ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถึงแม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็มีขีดจำกัดในการรับมือกับความไม่แน่นอน ตรงนี้เองอาจเป็นสาเหตุที่ทรัมป์รีบทำ trade war ในรอบนี้ทันที ต่างจากรอบแรกที่รับตำแหน่งไปเป็นปี (ต้องรีบทำในตอนที่เศรษฐกิจแข็งแกร่ง)
👉🏻 ค่อยๆสะสมเอา หาของดีเอา ตลอดปีที่ผ่านมาทุกคนถามหาการปรับฐานเพื่อจะเข้าซื้อของในราคาถูก ตอนนี้มันมาแล้ว อย่าพลาด
👉🏻 ใครเงินหมดแล้วก็ปิดจอ ดูซีรีย์ ไปเที่ยว ฯลฯ แต่ต้องแวะมาอ่านข่าวที่เพจนะ 😆 จากสถิติในอดีต หุ้นสหรัฐฯ ติดดอยไม่เกิน 1-2 ปีหรอกค่ะ (ยกเว้นเกิดวิกฤติการเงินระดับโลก)
👉🏻 คำแนะนำสุดท้ายคือ สหรัฐฯเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ถ้าสหรัฐฯ พัง ทั่วโลกก็จะพังไปด้วย ดังนั้นการกระจายไปซื้อหุ้นที่อื่นๆ อาจไม่ได้ช่วยลดความผันผวนซักเท่าไหร่ค่ะ ถ้าอยากลดความผันผวน แนะนำไปพันธบัตร ตราสารหนี้ หรือทองคำ แทนค่ะ
โฆษณา