11 มี.ค. เวลา 11:12 • ข่าวรอบโลก

Czechoslovakia 1968 - Brezhnev Doctrine…

ทำไมยุโรปไม่เชื่อใจรัสเซีย ?
ทำไมยูเครนและอดีตรัฐบริวารโซเวียต จึงไม่ยอมอยู่ต่อ ?
ยูเครนมันของรัสเซียอยู่แล้ว ก็แค่กลับไปที่เดิม….
ทำไม ทำไม และทำไม ….
…ซึ่งที่จริง คำถามและคำพูดพวกนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลยนะ
ถ้าคุณคิดว่าเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดจริงๆ…
น่าเสียดาย ที่คนส่วนมากมองอย่างผิวเผิน ตื้นเขิน
หลงไปกับ propaganda ต่างๆ
มากกว่าจะเข้าใจปูมประวัติศาสตร์ที่เป็นแก่นของเรื่องราว…
ผมพูดอยู่เสมอว่า ทุกอย่างมีที่มาที่ไปของมันอยู่
คุณจะไม่มีทางเข้าใจปัจจุบันได้ถูกต้อง
ถ้าไม่ทราบประวัติศาสตร์ของเรื่องราว
…นี่คือสิ่งที่คุณสนธิลิ้มพูด และผมยังจำมาใช้จนถึงวันนี้
…วันที่เลิกเหลืองแล้ว คิดต่างจากเขาแล้ว…
…ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ ผมต้องขอบคุณเขามากทีเดียว…
สิ่งที่เกิดขึ้นกับยูเครนวันนี้ ที่จริงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย
มันเป็นสิ่งที่โซเวียตรัสเซียทำมาตลอด แล้วจะให้ใครเชื่อใจ
มันมีที่มาที่ไปทั้งจากสถานการณ์ และแนวคิดที่สอนกัน
จนฝังหัว ของคนที่มีอำนาจในเคลมลินส์มาตลอด
แล้วแนวคิดนี้คืออะไรล่ะ ?
คำตอบของเรื่องราวทั้งหมดคือสิ่งที่เรียกว่า…
…” Brezhnev Doctrine “….
…หรือแบบไทยๆ ก็คือ คำสอนของเบรสเนฟ….
อืม…ถ้าไม่รู้จักเบรสเนฟอีก ผมแนะนำว่าหยุดอ่านโพสต์นี้เหอะ
และเลิกติดตามข่าวสงครามยูเครนไปเลยดีกว่าครับ
เพราะนั่นเท่ากับคุณไม่มีความรู้พื้นฐานมากพอที่จะเข้าใจข่าว
Brezhnev Doctrine คืออะไร ?
ผมจะเล่าสั้นๆเพื่อให้เข้าใจนะ แต่จะแปะลิงก์ไว้ให้ด้านล่าง
ขี้เกียจเขียนละเอียด ที่ต้องเขียนนี่มันน่าจะยาวมากแล้ว….
เรื่องนี้ต้องย้อนไปที่การรุกรานเชคโกสโลวาเกีย
ในปี 1968 ของสหภาพโซเวียตในตอนนั้น
ซึ่งความจริงแล้ว เชคโกฯ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่ง
ของสหภาพโซเวียตแต่อย่างใด และไม่เคยเป็นมาเลย
ตลอดประวัติศาสตร์
ที่สำคัญ พวกเขายังเป็นประเทศใน Warsaw Pact
ซึ่งหมายความว่า นอกจากรับมือกับค่ายตะวันตกแล้ว
ยังจะต้องมีสัญญาไม่มีการรุกรานกันเองอีกด้วย
แต่โซเวียตก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เคยสัญญากับเพื่อนไว้
พวกเขายังคงยกทัพเข้ารุกราน และพยายามครอบงำทาง
การเมืองของรัฐที่เป็นพันธมิตรร่วมอุดมการณ์อยู่เสมอ
ต้นเหตุของการรุกรานเชคโกฯตอนนั้น
มันก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าในยูเครนตอนนี้
คือ ทนเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ได้
กับยูเครน รัสเซียอาจมีข้ออ้างบ้าง เมื่อเป็นอดีตส่วนหนึ่ง
แต่กับเชคโกฯ นั้นไม่ใช่ และไม่เคยใช่ด้วย
ความจริงพวกเขาไม่มีสิทธิอะไรเลย ที่จะทำแบบนั้น
หากมองว่าเชคโกฯ ก็เป็นชาติที่มีอธิปไตยและเป็นพันธมิตร
ต้นเหตุของการุกรานคืออะไร ?…
- ในช่วงปี 60 เชคโกฯ มีสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาก
ภายใต้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
- โดยพื้นฐาน เชคโกฯ เป็นประเทศประชาธิปไตยมาก่อน
ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เปลี่ยนเป็นคอมมี่ตามกระแส
ในยุโรปตะวันออกกช่วงนั้น และการแทรกแซงจากโซเวียต
หรืออาจบอกได้ว่า พวกเขาเป็นคอมฯด้วยความกลัวมากกว่า
- ทำให้คนส่วนมาก ที่ผ่านยุคประชาธิปไตย เสรีนิยมมา
ร่ำร้องให้กลับไปเป็นเสรีนิยมอีกครั้ง
- เพราะช่วงก่อนสงครามโลกนั้น
เชคโกฯเป็นประเทศที่ค่อนข้างเศรษฐกิจดี
ที่สุดในยุโรปตะวันออก เป็นเมืองท่องเที่ยว
ที่ถูกเรียกว่า “โรมสีขาว”(เนื่องจากมักถูกคลุมด้วยหิมะ)
หรือ “โรมแห่งยุโรปตะวันออก”
แต่พอเป็นคอมมี่แล้ว คนยุโรปตะวันตกก็กลัว
ไม่มาเที่ยวกัน เศรษฐกิจก็เลยย่ำแย่ คนก็จนลง
- พวกเขาชี้ไปที่ระบอบคอมมิวนิสต์ สังคมนิยมสร้างปัญหา
ให้คนไม่กระตือรือร้น ไม่มีใครอยากลงทุนแล้วทุกอย่าง
ก็กลายเป็นของรัฐโดยที่ตัวเองไม่ได้อะไร
- ซึ่งก็มีเหตุผล เพราะมันเป็นธรรมชาติจริงๆ
ของเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ที่จะตึงตัวเสมอ
เมื่อเวลาทอดออกไปนานๆ และความร่ำรวยทั่งหมด
ก็อยู่ในมือผู้มีอำนาจ
- ดังนั้น ชาวเชคโกฯ จึงแห่กันออกมาประท้วง และมีการ
เปลี่ยนแปลงในระดับรัฐบาล โดยฝ่ายเสรีนิยมเริ่มเข้ามาอยู่
ในอำนาจมากขึ้น จนมีแนวโน้มว่าจะกลับเป็นประชาธิปไตย
เรียกว่า “ปราก สปริง” ( Prague Spring )
ตามชื่อเมืองหลวงของเชคโกสโลวาเกีย
- โซเวียตนำโดยเบรสเนฟ ไม่พอใจอย่างมาก
มองว่านี่คือการทรยศต่อคอมมิวนิสต์ และกลัวเกิดการเอาอย่าง
เพราะเขาเองก็ทราบดี ถึงจุดอ่อนทางเศรษฐกิจของระบบ
- สุดท้ายเบรสเนฟก็สั่งให้กองทัพบุกเข้าควบคุมเชคโกฯ
และเริ่มปราบปรามฝ่ายเสรีนิยมอย่างรุนแรง จนควบคุม
รัฐบาลเชคโกฯ เอาไว้ได้อีกครั้ง และทำให้แนวคิดเสรีนิยม
หยุดการแพร่กระจายไว้ได้ชั่วคราว
**เพื่ออ้างสิทธิอันชอบธรรม เบรสเนฟจึงประกาศ
สิ่งที่เรียกว่า คำสอนของเบสเนฟ หรือ Brezhnev Doctrine
เพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติของโซเวียตต่อรัฐบริวารทั้งหมด
ที่อยู่นอกเหนือจากโซเวียต**
โดยย่อ… มันกล่าวถึงการที่บอกว่าโซเวียตในฐานะผู้นำกลุ่ม
จะมีสิทธิเสมอในการใช้กำลังใดๆ เพื่อรักษาอุดมการณ์
ของพรรคคอมมิวนิสต์ในแผ่นดินคอมมิวนิสต์ทั่วโลก
ย้ำ ว่าทั่วโลก
ผลของมัน อาจดีต่อสถานการณ์ช่วงแรกในยุโรปตะวันออก
คือตรึงแนวคิดคอมมิวนิสต์ออกไปได้ จนถึงยุค 80
แต่กับอีกหนึ่งคอมมิวนิสต์ยักษ์ใหญ่คือจีนนั้น
นั่นคือจุดแตกหักของความสัมพันธ์กับโซเวียต
เพราะจีนในเวลานั้น อ่อนแอกว่าโซเวียต
แถมมีพรมแดนทางบกติดกัน เป็นระยะทางยาวที่สุดในโลก
ประกอบกับการตีความคอมมิวนิสต์ที่แตกต่างกัน
ระหว่างสายเหมา กับเลนิน ทำให้จีนรู้สึกว่าไม่มั่นคงอย่างยิ่ง
และนั่นทำให้พวกเขาเปิดประตูรับสหรัฐในเวลาต่อมา
ความขัดแย้งด้านอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ของจีน
และโซเวียตนั้น ปรากฎเด่นชัดมากในช่วงสงครามเวียดนาม
ที่ลามไปทั่วอินโดจีน เมื่อจีนและรัสเซียสนับสนุนคนละกลุ่ม
จนสุดท้ายก็เกิดเป็นสงคราม เวียดนามซึ่งรัสเซียสนับสนุน
กับจีน ซึ่งสนับสนุนรัฐบาลในกัมพูชาในตอนนั้น แล้วเวียดนาม
พยายามรุกราน ครอบครองกัมพูชา จีนจึงต้องช่วย…***
นี่คือภาพที่ชัดเจนมาก ของแนวคิดจากคำสอนของเบรสเนฟ
ที่มีต่อวิธีคิดของโซเวียต ในการเข้าครอบงำรัฐบริวาร….
สิ่งนี้ ทำให้จีนกับโซเวียตมองหน้ากันไม่ติด
ชายแดนตึงเครียดมาครึ่งศตวรรษทีเดียว
เพิ่มาจูบปากกันก็แค่สิบปีที่ผ่านมา หลัง 2014 นี่เอง….
1
(***สงครามจีนตบตีกับเวียดนามนี่คนไทยรู้จักดี
เพราะโปรจีนในไทยตีความมั่วๆ
ว่าจีนจงใจตีเวียดนามเพื่อช่วยไทย หลังท่านคึกฤทธิ์ไปจีน
ก่อนหน้านั้นไม่นาน
แต่ความจริงไม่ใช่ ถ้าคอมมี่เวียดตอนนั้น ไม่ตีเขมรแดง
ไม่พยายามยึดลาว จีนจะไม่ทำอะไรเลย เพื่อเลี่ยงปัญหา
กับโซเวียต***)
แต่สุดท้าย Brezhnev Doctrine ก็ไปไม่รอด
พวกเขาไม่สามารถฝืนความจริงเกี่ยวกับสภาพสังคม
ในสไตล์คอมมิวนิสต์ได้
เศรษฐกิจที่พังลงเรื่อยๆในกลุ่ม Wasaw pact จนพินาศ
ทำให้ชาวบ้านในประเทศบริวาร รวมถึงในโซเวียตเอง
ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
การประท้วงใหญ่ของสภาพแรงงาน Solidarity ในโปแลนด์
ช่วงปี 1980 คือจุดเริ่มต้นทั้งหมดของความพังทลาย
ของระบอบคอมมิวนิสต์แบบเลนิน ที่ไม่ไปกับเศรษฐกิจ
แบบทุนนิยมเปิดเหมือนสายคอมมิวนิสต์จีนของเติ้ง
สภาพแรงงาน ซึ่งเคยเป็นฐานหล่อเลี้ยงใหญ่ที่สุด
ในลักษณะกลุ่มกรรมาชนของระบอบคอมมิวนิสต์
กลับกลายเป็นดาบทิ่มแทงคอมมิวนิสต์ที่ร้ายแรงที่สุด
เสียเอง และมันเป็นแบบนี้ไปทั่วยุโรปตะวันออก
รัฐบาลโซเวียตของกอร์บาชอฟตอนนั้น ก็หมดปัญญา
ที่จะเข้าไปควบคุมสถานการณ์ให้ทั่วได้
เนื่องจากในโซเวียตเองก็ย่ำแย่เต็มที แถมติดพันสงคราม
ในอัฟกานิสถานจนเละเทะไปหมด
แล้วที่ต้องสะเหร่อเข้าไปในอัฟกานิสถานก็เพราะ
ไอ้แนวคิดBrezhnev Doctrineนี่เหมือนกันแหละ
ต่างกันแค่ว่า อัฟกานิสถานอยากเปลี่ยน
จากคอมมิวนิสต์เป็นรัฐอิสลาม ตามกระแสปฏิวัติอิสลาม
ที่เกิดขึ้นในอิหร่าน แล้วโซเวียตไม่ยอม
ซึ่งก็ทำให้โซเวียตตึงกับโลกมุสลิมอยู่นานเลย
ในมือกอร์บาชอฟ โซเวียตก็ ขาดพลัง ขาดเงิน
ขาดทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะดูแลให้เป็นไปตามกรอบอีกแล้ว
…เมื่อทุกอย่างเริ่มและสำเร็จในโปแลนด์ มันก็ลามออกไป…
และการล้มชอว์เชสคูในโรมาเนียนั่นเอง
คือจุดสิ้นสุดของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก…
ก่อนที่กระแสทั้งหมด จะย้อนกลับไปเล่นงานโซเวียต
จนล่มสลาย แบบที่เราเห็นกันทุกวันนี้….
อ่านมาถึงตรงนี้ เริ่มเห็นอะไรบ้างไหมครับ ?
ยังแปลกใจอยู่ไหม ว่าทำไมไม่มีใครเชื่อใจรัสเซีย
หรือทำไมรัฐอดีตโซเวียตต่างๆ เบือนหน้าหนีรัสเซียกันหมด
…ถ้ายังไม่เข้าใจ ผมว่ามันก็แปลกๆแล้วล่ะนะ…
เราจะเห็นว่า กับแนวคิดแบบ Brezhnev Doctrine
ที่ปูติน และชาวรัสเซียถูกฝังหัวมานั้น
มันค่อนข้างจะเป็นภัยกับเพื่อนบ้านอย่างรุนแรง
ปูตินนั้นโตมาในยุคนั้นพอดี คำสอนของเบรสเนฟ
ก็ถูกบรรจุในตำราเรียนของโซเวียต มาจนถึงรัสเซียทุกวันนี้
มันจึงไม่แปลกอะไรเลยกับวิธีคิด และวิธีที่เขาทำในปัจจุบัน
ในมุมมองของปูตินนั้น มองว่าอดีตรัฐบริวารต่างๆ
ไม่ใช่แค่อดีตโซเวียต คือ “ผู้ทรยศ” ที่ไม่อาจอภัยให้ได้
และจำเป็นต้องถูกจัดการ
โดยไม่มีคำว่าอธิปไตยเหนือดินแดนมากั้นขวางได้
ไม่มีข้ออ้างเรื่องการเมืองภายในใดๆทั้งสิ้นสำหรับรัฐบริวาร
ในสายตาของปูติน ผู้เชื่อแนวคิดนี้แบบสุดกู่
และสำหรับรัฐบริวารเหล่านี้ ก็ทราบดีเพราะเรียนตำรา
เล่มเดียวกัน ว่าทางเครมลินส์คิดอย่างไรต่อพวกเขาในวันนี้
ในยุโรปตะวันออกนั้น ทุกประเทศที่กลายเป็นเสรีนิยม
ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มันจึงแน่นอนว่า พวกเขาหัวเด็ดตีนขาด ก็ไม่ยอมกลับไป
อยู่ใต้ร่มเงาของรัสเซีย ซึ่งคิดแบบสหภาพโซเวียต
มันจึงเป็นที่มาของการลุกขึ้นต่อสู้
และช่วยูเครนอย่างสุดความสามารถที่ทำได้
ใช่ อาจมีบางประเทศที่มองต่างในประเด็นยูเครน
แต่ถ้าถามว่า ให้พวกเขากลับไปอยู่ใตร่มธงรัสเซียเอาไหม
…ผมกล้าบอกเลย แม้แต่ฮังการี สโลวาเกีย เซอร์เบีย
เองก็ไม่เอาหรอก…
พวกเขาแค่กลัวภัยลามถึงตัว เพราะรู้สันดานรัสเซีย
แต่ไม่ได้หมายความว่า จะยอมรับอำนาจรัสเซียในลักษณะ
ที่รัสเซียเองต้องการเหมือนในอดีตอีกแล้ว
สำหรับชาติยุโรปตะวันออก พวกเขามีความทรงจำที่แย่
อย่างมากเกี่ยวกับรัฐบาลจากเคลมลินส์
พวกเขารู้ดี ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเชคโกฯ มันเกิดขึ้นได้อีก
พวกเขารู้ ว่าไอ้ที่อ้างเรื่องนาโต้หน้าบ้านอะไรกับยูเครน
มันไร้สาระ เพราะอดีตสอนพวกเขาว่า ไกลแสนไกล
รัสเซียก็จะเชื่อใน Brezhnev Doctrine เสมอ
ว่าจะต้องเข้าไปจัดการผู้ทรยศ
แน่นอน สิ่งเหล่านี้ยุโรปตะวันตกเองก็รู้ และเมื่อร่วมหัว
จมท้ายกับอดีตรัฐบริวารไปแล้ว ด้วยสัญญาที่มีต่อกัน
พวกเขาก็ย่อมจะต้องกังวล และไม่เชื่อใจรัสเซียเป็นธรรมดา
ยังไม่นับว่า รัสเซียเองก็ทรยศยุโรปตะวันตกมานับไม่ถ้วน
เอาล่าสุดอย่าง G8 , ข้อตกลงบูดาเปสต์ , ข้อตกลงมินส์
เหล่านี้ รัสเซียไม่เคยเคารพเลย แม้แต่เรื่องเดียว
แล้วจะให้เอาอะไรมาเชื่อใจ
…ป่วยการ ที่รัสเซียจะอ้างโน่นนี่ เพราะปัญหาทั้งหมด
มันคือวิธีคิด ที่ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองต่างหาก..
…พวกเขาดีแต่โทษคนอื่น ว่าแทรกแซงบ้าง อะไรบ้าง
ทั้งที่ตัวเองก็ทำ…
…และพวกเขาไม่เคยทบทวนตัวเองเลย ว่าทำอะไรไว้บ้าง…
โซเวียตจะไม่แตกเลย และบริวารจะไม่ถอยหนี
ถ้าในเคลมลินส์ จะเข้าใจจุดอ่อนของคอมมิวนิสต์
แล้วปรับให้เหมาะสม และไม่คอรัปชั่น แบบที่จีนทำ…
1
…ถ้าพวกเขาทำแบบจีน ป่านนี้รวยเละ ด้วยเทคโนโลยี
ทรัพยากรมหาศาลที่มี โซเวียต และ Wasaw pact
จะยิ่งแข็งแกร่ง ไม่ใช่ล่มสลาย…
…กอร์บาชอฟ ไม่ใช่ผู้นำที่อ่อนแอ และเป็นต้นเหตุให้
โซเวียตแตก อย่างที่ตำรายุคปูตินพยายามกล่าวโทษเขา
…แต่เพราะกอร์บาชอฟ หมดแรงจะรั้งสิ่งต่างๆ
จากความเน่าในของระบบต่างหาก เขาจึงต้องยอม…
และนี่ คือประวัติศาสตร์บางตอน ที่เป็นที่มาของแนวคิด
ในหัวของปูติน ซึ่งสร้างปัญหาให้กับโลกอย่างมาก…
…ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง ก็ไอ้ Brezhnev Doctrine นี่แหละ…
1
กับสงครามยูเครน ในไทยส่วนมากเลย
มักมองถอยไปแค่ปี 2008 ที่บุชคนลูก
พยายามดันยูเครนเข้านาโต้
จึงมองว่ายูเครนนั้นเป็นฝ่ายหาเรื่อง
โดยที่ไม่มองย้อนไปให้ลึก ถึงที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมด
แต่ก็อาจไม่แปลกอะไร
เพราะเท่าที่เห็น การเขียนถึงประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันออก
มันน้อยมาก สำหรับคนไทย คนศึกษาจริงๆก็ยิ่งน้อย
การหักหลังโปแลนด์แบ่งประเทศพวกเขากับนาซี ปี 1938
มาจนถึงการฉีกสัญญาบุกเชคโกฯ ในปี 1968
ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนมากไม่รู้ ก่อนจะวิจารณ์สงครามยูเครน
เราเขื่อเพียงแต่ทฤษฎีบ้าบอว่า รัสเซียไม่เคยทรยศใคร
จากการถูกบิดเบือนเรื่องตั้งแต่สมัยรอดจากล่าอาณานิคม
ของอังกฤษและฝรั่งเศส ว่าเพราะรัสเซีย ทั้งที่มันไม่จริง!
เราเชื่อว่ารัสเซียเชื่อถือได้ เพราะพวกเขาช่วยซีเรีย
ช่วยใครต่อใครในตะวันออกกลางเพื่อสู้กับสหรัฐ
โดยที่ไม่มองว่ารัสเซียเองก็ได้ผลประโยชน์ไปมหาศาล
แต่กับพันธมิตรจริงๆของรัสเซีย โซเวียตล่ะ เป็นยังไง?….
…โปแลนด์งี้ เชคโกฯงี้ อัฟกานิสถานงี้ ไม่พอใจขึ้นมา
เป็นยังไงล่ะ โดนใช้กำลังทุกราย ไม่เคยเคารพสัญญาอะไรเลย
….นี่ยังมีอีกหลายที่นะ ไว้มาเขียนอีก …
แต่เอาแค่นี้ มันก็น่าจะพอบอกได้ ว่าทำไมยูเครนเลือกที่จะสู้
…มันไม่ใช่เพราะเซเลนสกี้ ไม่ใช่สหรัฐยุ…
…แต่มันเป็นเพราะปมประวัติศาสตร์เหล่านี้ต่างหากล่ะ….
ผมเขียนโพสต์นี้ ด้วยความสลดใจกับนักวิชาการไทย
สายอวยรัสเซียหลายคน ไม่ยอมเขียนเรื่องนี้เสียที
1
ที่รู้ทั้งรู้ กับเหตุผลทั้งหมดของเรื่องราว
แต่กลับไม่พูดเพื่อให้เกิดปัญญากับสังคมไทย
ไม่ ผมไม่ได้หวังว่า ทุกคนจะต้องหันมาสนับสนุนยูเครน
ผมเชื่อว่าต่อให้ได้รับทราบความจริงทางประวัติศาสตร์
แบบนี้แล้ว คนที่เชื่อว่ายูเครนไม่ควรสู้ ก็ยังไม่เปลี่ยน
ความคิดหรอก ก็คล้ายๆกับสายโปรรัสเซียที่อื่นแหละ
แต่ผมคิดว่า นักวิชาการที่สังคมเชื่อถือว่าเชี่ยวชาญ
ควรให้ความรู้กับสังคมใช้เป็นพื้นฐานต่อการวิเคราะห์
มากกว่าการเอา propaganda มาเขียน
หรือเขียนอะไรทุเรศๆ ถึงชีวิตทหารว่า “ปุ๋ย”
ผมกล้าพูดเลย เขียนมาสองปี ผมไม่เคยแม้สักครั้ง
ที่จะเรียกทหารรัสเซีย หรือแม้กระทั่งฮามาส ฮูตีว่าปุ๋ย
ผมว่ามันเป็นคำที่แย่นะ และมันสะท้อนปมบางอย่าง
ของคนเขียนได้เป็นอย่างดี
ผมไม่ใช่คนดีอะไร แต่ผมถือว่าทหารไปตายตามคำสั่ง
เราไม่รู้หรอกว่าเขาอยากไปไหม แต่ทุกชีวิตมีค่า
และคนที่ตายเพื่ออุดมการณ์ เพื่อแผ่นดินตัวเองมีเกียรติเสมอ
ไม่ว่าเหตุผลของผู้นำที่สั่งเขานั้น จะบ้าบอ ไร้สาระขนาดไหน
…ต้องเป็นคนที่มีมีขยะหรืออาจมในสมองแค่ไหน
ถึงจะเรียกคนมีเกียรติเหล่านี้ว่าปุ๋ยได้ ผมไม่เข้าใจ ….
เอาเถอะ ถ้าเป็นพวกขาย propaganda นี่ผมเฉยๆนะ
…แต่ถ้าแปะหน้าผาก ว่าข้าคือนักวิชาการ…
…มันก็ควรมีสมองมากกว่านี้ถูกไหม?…
…ผมเห็นมาหลายคนแล้วล่ะ…
…ซึ่งเห็นแล้วอนาถจริงๆ ที่คนไทยต้องมาฟัง มาอ่านอะไรงี้…
แต่มองอีกมุม ก็อาจไม่น่าแปลกใจเหมือนกันนะ
…ก็เมื่อคนที่ไปเรียนที่นั่น ก็ต้องเรียน และถูกล้างสมอง
ให้เชื่อในคำสอนเบรสเนฟเหมือนชาวโซเวียตอยู่แล้ว
…กลับมานักวิชาการพวกนี้ในบ้านเรา ก็รับแนวคิดนี้
มาเต็มๆไปด้วย จึงเลือกการนำเสนอแบบนั้น
…และไม่ทำหน้าที่ที่ตัวเองควรทำให้สมบทบาท…
…ซึ่งเราคนไทย ก็เชื่อเขาเยอะนะ เพราะเห็นว่าเชี่ยวชาญ
จบมาจากที่นั่น คงมีความเข้าใจทุกอย่าง ที่จะช่วยให้เรา
เข้าใจทุกสิ่งได้ดีขึ้น…
…แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเหล่านั้นอาจมีความเข้าใจ
เพียงด้านเดียว จากสิ่งที่พวกโซเวียตบอกมาก็ได้ ไม่ต่างอะไรกับการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในไทย แล้วมีมุมมองอย่างใดอย่างหนึ่งต่อเพื่อนบ้าน…
…ซึ่งบางทีเราก็ต้องคิดนะ ว่าจะเชื่อพวกเขาได้แค่ไหน….
อ้างอิง
การบุกเชคโกฯของโซเวียต ปี 1968
หลักการของเบรสเนฟ
การประท้วง Solidarity โปแลนด์ 1981
โซเวียตบุกโปแลนด์ 1938
โฆษณา