15 เม.ย. เวลา 13:55 • ประวัติศาสตร์
สหรัฐอเมริกา

เมื่อวันที่ 4 เมษายน เทศกาลเชงเม้ง ก็ถือเป็นวันดี สำหรับการสิ้นสุดระบอบการปกครองของยุนซอกยอล

แต่กว่าที่ผมจะกลับมาจากสงกรานต์(นี่ก้อเป็นวันดีวันปีใหม่ไทย)ถึงตอนนี้ผมก็เขียนเสร็จ...แต่ด้วยเรื่องราวมันซับซ้อนมาก ผมขอบอกว่าหลายวันมานี้ผมได้มีเวลาเขียนกับเรื่องนี้มากกกกก... ปล.ใครไม่ว่างอย่าหลงเข้ามาอ่านเด้อ!
5
หลายๆคนอาจลืมไปว่า ยุน ซอกยอล (Yoon Seok-yeol )เป็นคนหลงตนเองและเชื่อดวงสุดๆ เขาชอบเขียนคำว่า “ราชา” ลงบนฝ่ามือ ต่อมาจึงได้ย้ายทำเนียบประธานาธิบดีมาอยู่ที่อาคารกระทรวงกลาโหมเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องไปตั้งที่ทำเนียบประธานาธิบดี
ซึ่งเชื่อกันว่ามีฮวงจุ้ยไม่ดี ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าฮวงจุ้ยของบ้านสีฟ้าหลังนี้ไม่ถล่มลงเหมือนบางตึกในประเทศไทยและยังคงสภาพที่ดีอยู่
3
และในวันที่ 3 มิถุนายน ที่จะถึงนี้รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 21
1
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พิจารณาและอนุมัติญัตติที่จะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 21 ในวันที่ 3 มิถุนายน ในการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์
ซึ่งมีประธานาธิบดีรักษาการและนายกรัฐมนตรีฮัน ด็อกซูเป็นประธานในวันอังคาร (8 เมษายน 2568 ) และสำนักงานปฏิรูปบุคลากร
มีมติให้วันเลือกตั้งเป็นวันหยุดราชการชั่วคราว
และในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา การเมืองเกาหลีใต้มุ่งเน้นไปที่การถอดถอนยุน ซอกยอลเป็นหลัก
1
อย่างไรก็ตาม ในปี 2549 รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังจะยื่นเอกสารเพื่อขอขึ้นทะเบียนฮวงจุ้ยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมโลก...
แต่ศาสตราจารย์บางท่าน ได้นำรูปภาพและไฟล์มาแสดงมากกว่า 10,000 ชิ้นเพื่อพิสูจน์ว่าเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้อง (หลังจากนั้น ชาวเกาหลีก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย)
2
และในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เกี่ยวกับการเมืองเกาหลีใต้ที่มุ่งเน้นในการถอดถอน ตอนนี้เมื่อฝุ่นจางลงแล้ว
ผมจึงสามารถพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่ลึกซึ้งกว่าในบทความยาวๆ ซึ่งจะช่วยตอบข้อสงสัยของทุกคนได้ดีขึ้น(แต่ใครจะสงสัยกับผมด้วย นั้น...มันไม่ใช่เรื่องของป๋ม ฮาาา)
เราทุกคนทราบกันดีว่าโดยทั่วไปแล้วประธานาธิบดีเกาหลีใต้มักจะจบลงไม่ดีนัก
แต่หากพิจารณาถึงจุดเปลี่ยนของประชาธิปไตยในปี 2530 เหตุผลที่ประธานาธิบดีก่อนหน้าและหลังจากนั้นจบลงไม่ดี จริงๆ แล้วมันเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกัน
ก่อนปี 2530 ความขัดแย้งหลักในทางการเมืองเกาหลีใต้คือระบอบเผด็จการประธานาธิบดี แม้ว่าปัญหานี้จะร้ายแรงแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย
แต่..สิ่งที่ใหม่คือระบบครึ่งๆ กลางๆ ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2530 โดยการประนีประนอมระหว่างพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านในเกาหลีใต้ ซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐเกาหลีในปัจจุบัน
1
ในการชำระบัญชีในระบบปี 2530 จะมีผลกระทบในวงกว้างมากกว่าการชำระบัญชีของยุนซอกยอลและผู้ที่จะกลายมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
ในปีพ.ศ. 2529 หลังจากการล่มสลายของประธานาธิบดีมาร์กอส ผู้นำเผด็จการแห่งฟิลิปปินส์
รัฐบาลทหารเกาหลีใต้ก็ได้กลายเป็นพันธมิตรที่โดดเด่นในเอเชียของสหรัฐฯ
หากมองไปทั่วเอเชีย เกาหลีใต้เป็นเพียงประเทศเดียวที่ยังคงทำให้ชื่อเสียงของผู้นำเสียหายอยู่ ฮาาาา.
2
และพรรคฝ่ายค้านของเกาหลีใต้ก็ได้รับกำลังใจจากความสำเร็จของพรรคประชาธิปไตยในฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ รัฐบาลทหารเกาหลีใต้ยังตระหนักมากขึ้นว่าหากเกิดปัญหาขึ้น
สหรัฐฯ ก็คงไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้
บังเอิญว่าเกาหลีใต้ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกที่โซลในปี 2531 และบังเอิญว่าการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกเป็นพิเศษ
โดยสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้คว่ำบาตรการแข่งขันโอลิมปิกที่มอสโกในปี 2523 และลอสแองเจลิสในปี 2527 ตามลำดับ
ดังนั้น โอลิมปิกฤดูร้อนปี 2531 ที่กรุงโซล จึงเป็นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเพียงรายการเดียวในช่วงปี 2523 ที่มีประเทศต่างๆ ทั่วโลกเข้าร่วมเป็นส่วนใหญ่
ในเวลานี้ หากรัฐบาลทหารเกาหลีใต้กล้าที่จะใช้ความรุนแรงปราบปรามอีกครั้ง
สหภาพโซเวียตจะมีเหตุผลที่จะโอนสิทธิการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกพร้อมกับความชอบธรรมของระบอบคาบสมุทรเกาหลีให้กับเปียงยางตามคำขอของประธานคิม อิลซุง
1
แต่ผลก็คือในปี 2530 พรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านในเกาหลีใต้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนฝัน
เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างกลัวไม้ตีหมา รัฐบาลทหารเกรงว่าเร็ว ๆ นี้พรรคฝ่ายค้านจะฉวยโอกาสจากกระแสแห่งกาลเวลาเพื่อขึ้นมามีอำนาจและกวาดล้างพวกเขา
1
ส่วนฝ่ายค้านยังหวั่นรัฐบาลทหารที่ถือปืนจะสิ้นหวังและสังหารพวกเขา ทางด้านสหรัฐอเมริกาที่ชอบใช้กลไกตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจมาโดยตลอด
ปกป้องนักประชาธิปไตย เช่น คิม ยองซัม และ คิม แดจุง (Kim Young-sam & Kim Dae-jung )มาเป็นเวลาหลายปี หลายปี (และเพียงเพื่อวันนี้เท่านั้น)
และบุคคลแรกที่ตระหนักถึงสถานการณ์ และดำเนินการตามความเหมาะสมคือผู้บังคับบัญชาลำดับที่สองของรัฐบาลทหารและผู้สืบทอดตำแหน่ง โรแทวู (Roh Tae-woo ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่ส่งเสริมการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและเกาหลีใต้)
ในเวลานั้นเพิ่งผ่านไปเพียง 19 วันนับตั้งแต่พรรคฝ่ายค้านระดมมวลชนออกมาบนท้องถนน
เมื่อโรแทวูกล่าวสุนทรพจน์ผ่านโทรทัศน์โดยแสดงการเห็นด้วยกับหนึ่งคนหนึ่งเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดี และในปลายปี 2530 เราทั้งหมดก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้น
โรแทวูเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยอย่างเต็มใจจนกระทั่งทำให้พรรคฝ่ายค้านยากที่จะจัดการกับเขา
1
ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งฝ่ายซ้ายและขวาของพรรคฝ่ายค้านต่างไม่มีเวลาเตรียมตัว ทำให้รัฐบาลทหารสามารถริเริ่มเหตุการณ์สำคัญทั้งสองครั้งได้ในช่วงเวลาเดียวกัน
ตามสถานการณ์ในขณะนั้น หากผู้นำฝ่ายค้านสองคนคือ คิม ยองซัม และ คิม แดจุง ร่วมมือกัน โรแทวูอาจพ่ายแพ้ต่อพวกเขา
แล้วพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้อย่างไร?
อย่างแรกคือ การปฏิเสธที่จะมีรองประธานาธิบดี
ด้วยวิธีนี้ การที่คิมยองซัมและคิมแดจองจะทำงานร่วมกันก็คงเป็นเรื่องยาก ผลกระทบต่อคนรุ่นต่อๆ ไปก็คือ เมื่อประธานาธิบดีถูกถอดถอนและออกจากตำแหน่ง จะไม่มีรองประธานาธิบดีเข้ามาแทนที่
และทางเลือกเดียวที่มีก็คือการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ ในตอนนี้...เมล็ดพันธุ์แห่งการถอดถอนประธานาธิบดีเกาหลีใต้ 3 คนใน 20 ปีได้ถูกหว่านลงไปแล้ว
1
ต่อมา คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีจะขึ้นอยู่กับคะแนนเสียงข้างมากแบบธรรมด๊า ธรรมดา ต่างจากการเลือกตั้งในฝรั่งเศสที่ไม่มีใครจะได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งในรอบแรก
และที่สำคัญ...ผู้สมัคร 2 อันดับแรกจะผ่านเข้าสู่รอบที่สอง
นี่เป็นการป้องกันไม่ให้คิมยองซัมและคิมแดจุงร่วมมือกันในรอบที่สองนั่นเอง
ผลที่ตามมาก็คือในบรรดาประธานาธิบดีเกาหลีใต้ทั้งหมดนับตั้งแต่ปี 2530 มีเพียงประธานาธิบดีปาร์ค กึนเฮเท่านั้นที่ได้รับคะแนนเสียงมากกว่าร้อยละ 50
ในขณะที่ประธานาธิบดีคนอื่นๆ กลับขึ้นสู่อำนาจโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเกาหลีใต้มากกว่าครึ่งหนึ่ง
1
ภายใต้แผนการสมคบคิดอันชาญฉลาดของโรแทวู ผู้นำฝ่ายขวา คิมยองซัม และผู้นำฝ่ายซ้าย คิมแดจุง สองสหายผู้ต่อต้านรัฐบาลทหาร ได้ร่วมกันก่อความขัดแย้งที่ไม่มีวันยุติได้
ส่วนผู้สืบทอดตำแหน่งจากคิมยองซัมอย่างอีมยองบักและผู้สืบทอดตำแหน่งจากคิมแดจองอย่างโรมูฮยอนและมุนแจอินนั้น
พวกเขาก็ต้องสืบทอดเรื่องราวบาดหมางระหว่างทั้งสองคน แต่เรื่องนั้นผมค่อยๆจะเล่าให้ฟังในภายหลังนะครับ
แน่นอนว่า โรแทวู รองหัวหน้ารัฐบาลทหาร ก็ได้ยอมรับข้อเสนอต่างๆ มากมายในปี 2530 เช่น การเปลี่ยนการเลือกตั้งประธานาธิบดีให้เป็นการเลือกตั้งโดยตรงโดยหนึ่งคนหนึ่งเสียง
การห้ามประธานาธิบดียุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การปล่อยนักโทษการเมือง และการไม่ใช้ความรุนแรงเพื่อปราบปรามผู้ชุมนุม
สิ่งเหล่านี้คือ การสัมปทานที่แท้จริง
1
อย่างไรก็ตาม มีข้อกำหนดบางข้อซึ่งถือว่าก้าวหน้ามากในขณะนั้น และสามารถป้องกันการปกครองแบบเผด็จการของประธานาธิบดีได้
แต่ข้อกำหนดดังกล่าวกลับกลายเป็นต้นตอของหายนะต่างๆ มากมายในเวลาต่อมา นั่นคือ
1
ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้เพียง 5 ปีเท่านั้น และไม่สามารถได้รับการเลือกตั้งใหม่ได้
ขณะนี้ประธานาธิบดีไม่สามารถเป็นเผด็จการได้อีกต่อไป แต่เขาก็ไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้เช่นกัน เนื่องจากไม่มีโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งใหม่อีก
ประธานาธิบดีจึงมักอดทนรอผลลัพธ์ที่รวดเร็วในช่วงครึ่งแรกของการดำรงตำแหน่ง และเจ้าหน้าที่คนใหม่ก็มักกระตือรือร้นที่จะเริ่มทำสิ่งต่างๆมากมาย ถึง 30 โครงการ
2
ประธานาธิบดีสูญเสียอิทธิพลในช่วงครึ่งหลังของวาระการดำรงตำแหน่ง (อันนี้ผมขอยกเว้นแฟนพันธุ์แท้) และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ มักจะคาดเดาเกี่ยวกับประธานาธิบดีคนต่อไป
เพื่อรักษาแฟนคลับตัวยงไว้ จึงจำเป็นต้องมอบสิทธิประโยชน์พิเศษบางอย่างให้แก่พวกเขา
1
และพวกเขาก็กลายมาเป็นเป้าหมายของประธานาธิบดีคนต่อไปในการชำระบัญชีกับผู้ดำรงตำแหน่งก่อน ฮาาาาา
นอกจากกลอุบายและการประนีประนอมของ Roh Tae-woo ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือปัญหาที่ทั้งพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นมองข้ามไป
นั่นคือ การใช้อำนาจของประธานาธิบดีและรัฐสภามากเกินไปจะนำไปสู่ภาวะอัมพาตในการบริหาร
1
ในเวลานั้น ดูเหมือนว่าอำนาจด้านบุคลากรของประธานาธิบดีและอำนาจในการถอดถอนของรัฐสภาจะก่อให้เกิดการป้องกันที่ดี
แน่นอน เอกสิทธิ์กฎอัยการศึกของประธานาธิบดีและอำนาจของรัฐสภาในการยกเลิกกฎอัยการศึกก่อให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุล
1
และอำนาจทางการเงินของรัฐสภาป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีใช้จ่ายเงินอย่างไม่รอบคอบ
ส่วนอำนาจในการยับยั้งของประธานาธิบดีก็ทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจในการนิติบัญญัติของรัฐสภา
แต่หลังจากการดำเนินการอันสุดโต่งของ ยุน ซอกยอล และ ลี แจมยอง (Yoon Seok-yeol & Lee Jae-myung )ประชาชนก็ตระหนักได้ว่า
ไม่ว่ารัฐสภาต้องการทำอะไร ประธานาธิบดีก็จะยับยั้งไว้ ไม่ว่าประธานาธิบดีต้องการทำอะไรก็ตาม รัฐสภาจะถอดถอนเจ้าหน้าที่ด้วยมือข้างหนึ่ง และยึดกระเป๋าเงินด้วยอีกมือข้างหนึ่ง
2
และประธานาธิบดี...ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
1
หลังจากประธานาธิบดีเสี่ยงประกาศกฎอัยการศึก แต่ล้มเหลวและถูกถอดถอน แล้วงานนี้ใครจะเป็นผู้ตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐสภา? ในเมื่อประธานาธิบดีไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ด้วยซ้ำ
แล้วทำไมเขาจึงไม่สามารถกำหนดเป้าหมายไปที่ใครก็ได้ที่เจ้าหน้าที่ที่เหลือและรัฐสภาต้องการกำหนดเป้าหมายล่ะ?
แต่เนื่องจากการเป็นประธานาธิบดีของเกาหลีใต้เป็นงานที่มีความเสี่ยงสูง แล้วววว...เหตุใดจึงมีคนจำนวนมากแห่กันมาทำอาชีพนี้ล่ะ?
ให้คนสาบานที่จะต่อสู้เพื่อชีวิตและความตายแล้ว นอกจากคำตอบที่เป็นสากลอยู่แล้วว่าโลกนี้จะมีอำนาจอะไรอีกล่ะ???
แต่ยังมีอีกประเด็นหนึ่งนะครับ นั่นคือ ไม่เพียงแต่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เท่านั้นที่เป็นอันตราย ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ตกเป็นอันตรายในเวทีการเมืองของเกาหลีใต้
1
รู้สึกเหมือนว่า ทุกคนกำลังชำระบัญชีระหว่างกันและไม่มีใครสามารถฆ่าใครได้
แต่ อย่าลืมนะครับว่า ตำแหน่งประธานาธิบดี มีเอกสิทธิ์คุ้มครองทางตุลาการเป็นเวลาถึง 5 ปี ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด
1
มันเหมือนกับว่าไม่ใช่แบบ...แค่ผู้หญิงสวยเท่านั้นที่มีชะตากรรมที่น่าสังเวชจากโตโน่ แต่ก็เป็นความโชคร้ายของคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้รับการสังเกตสังกาและชื่นชมใดๆเช่นกัน
4
ที่แน่ๆก็คือ ไม่มีใครดูแลชุดปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบตั้งแต่ปี 2530 ในตลอดหลายปีที่ผ่านมาเลยหรือ?
นับตั้งแต่ที่ Roh Tae-woo ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากระบอบของปี 2530 ออกจากตำแหน่ง
ก็มีประธานาธิบดีถึง 6 คนที่พยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งแนวคิดของพวกเขาสามารถแบ่งได้คร่าวๆ เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ
ประเภทหนึ่งคือ เรียนรู้จากสหรัฐอเมริกาและเปลี่ยนวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปีซึ่งไม่อนุญาตให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นวาระ 4 ปีซึ่งอนุญาตให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้หนึ่งครั้ง
วิธีนี้ช่วยให้ประธานาธิบดีสามารถวางแผนระยะยาวและหลีกเลี่ยงปัญหาในการมุ่งเน้นที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งในแต่ละครั้ง หากประธานาธิบดีถูกถอดถอน งานนี้รองประธานาธิบดีจะสามารถเข้ามารับตำแหน่งแทนได้
ประเภทที่สอง คือ ทำตามแบบอย่างของฝรั่งเศสหรือแม้กระทั่งเยอรมนี และกระจายอำนาจของประธานาธิบดีไปยังนายกรัฐมนตรี
ด้วยวิธีนี้ประธานาธิบดีสามารถทำหน้าที่เป็นผู้สร้างเสถียรภาพได้ หากประชาชนไม่พอใจก็แค่เปลี่ยนหัวหน้ารัฐบาล ฮาาา
1
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีสามารถเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่แตกต่างกันได้ ซึ่งจะเอื้อต่อการแย่งชิงอำนาจระหว่างพรรคการเมืองหลักทั้งสองพรรค
แทนที่จะเป็นระบบปัจจุบันในเกาหลีใต้ ที่มีการพลิกผันกันอย่างมาก
ส่วนเหตุผลที่แนวทางทั้งสองนี้ไม่ประสบผลสำเร็จนั้นมีความซับซ้อนเอามากๆเลยครับ พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ โดยทั่วไปแล้วเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้มักต้องการเน้นกิจกรรมของตนไปที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่สั้นและรวดเร็ว
1
และจากมุมมองของคนทั่วไป ข้อเสียของระบบปี 2530 ก็ไม่เคยส่งผลกระทบรุนแรงต่อพวกเขามาเป็นเวลานานในก่อนหน้านี้
1
ดังนั้นช่วงเวลาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น แท้จริงแล้วคือ จะนับเมื่อประธานาธิบดีถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้คนทั้งประเทศต้องร่วมกันไตร่ตรองถึงปัญหาเชิงสถาบัน
และที่สำคัญ ในช่วงเวลาสุดท้าย ก็ได้เกิดขึ้นระหว่างการถอดถอนประธานาธิบดีปาร์ค กึนเฮ (Park Geun-hye) เมื่อปี 2559
ผู้นำที่คว้าโอกาสในการประสานงานความพยายามทั้งหมดตั้งแต่ระดับบนถึงระดับล่างและส่งเสริมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็คือ คิม จองอิน (Kim Jong-in) นักยุทธศาสตร์ที่ไม่มีใครทัดเทียมในวงการการเมืองเกาหลีใต้
นี่ คือ บุคคลที่เปลี่ยนแปลงโลก(แต่ชื่อกลับไปคล้ายผู้นำคนนึงซะงั้น)
1
ในปี พ.ศ. 2483 คิม จองอินเกิดที่จังหวัดคยองกี ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งถูกยึดครองโดยญี่ปุ่น เขาเรียนภาษาเยอรมันที่มหาวิทยาลัยฮันกุกด้านการศึกษานานาชาติในช่วงวัยเด็ก
และต่อมาได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมึนสเตอร์ในประเทศเยอรมนีเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์
นั่นน่ะสิเนอะ....ใครจะคิดว่าผู้เชี่ยวชาญที่เรียนเอกภาษาต่างประเทศในระดับปริญญาตรีและเศรษฐศาสตร์ในระดับบัณฑิตศึกษา จะกลายเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการการเมืองเกาหลี ฮาาาา
1
ในช่วงปี 2523 คิม จองอิน ซึ่งเพิ่งกลับมาจากการเรียนต่อต่างประเทศ ทำงานให้กับรัฐบาลทหารและพรรครัฐบาลภายใต้การนำของ โรแทวู
ในการประนีประนอมครั้งใหญ่ทางการเมืองเกาหลีใต้เมื่อปี 2530 คิม จองอิน ได้เข้าร่วมเป็นการส่วนตัวในฐานะผู้ช่วยของโรแทวู ในวัย 85 ปี
ในปีนี้ เขาอาจจะเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองคนสุดท้ายที่ได้เห็นการกำเนิดของระบบในปี 2530 อย่างใกล้ชิดคนนึงทีเดียว
2
ซึ่งต่อไปนี้เป็นบล๊อคบทความสั้นๆ เกี่ยวกับตำนานของเขา.....ผู้ช่วยนายทหารคนที่สอง
ในปี 2555 คิมจองอินช่วยให้ปาร์คกึนเฮลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่หลังจากที่ปาร์คกึนเฮได้รับเลือก เขาก็เปลี่ยนไปสังกัดพรรคฝ่ายค้านอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
ในปี 2559 คิม จองอิน ได้รับคำเชิญจากมุนแจอินให้มาเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปไตย (ฝ่ายซ้าย) และช่วยให้พรรคประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา หนึ่งปีต่อมา คิม จองอิน ก็ประกาศถอนตัวจากพรรคประชาธิปไตยอย่างกะทันหัน(อีกแล้ว)
1
ในปี 2563 คิม จองอิน ได้ดำรงตำแหน่งรักษาการหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (ฝ่ายขวา)
ในปี 2564 คิมจองอินได้พบกับเอกอัครราชทูตจีนประจำเกาหลีใต้ เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างจีนและเกาหลีใต้ และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทีมรณรงค์หาเสียงของยุนซอกยอลในปีเดียวกัน
ในปี 2565 คิมจองอินและยุนซอกยอล บอกเลิก(รา)กันอย่างเปิดเผย และกล่าวว่าเกาหลีใต้ไม่มีชะตากรรมแห่งชาติ และมันได้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่มองโลกในแง่ร้ายต่อสถานการณ์ทางการเมืองของเกาหลีใต้
เนื่องจากวิถีอันลึกลับของ คิม จองอิน และข้อมูลที่มีอย่างจำกัด สิ่งสำคัญที่ผมสามารถเรียนรู้ได้ก็คือ นักยุทธศาสตร์ผู้นี้มีงานอดิเรกหลักสามอย่าง
ได้แก่ การรณรงค์ช่วยเลือกประธานาธิบดี การทะเลาะกับประธานาธิบดี และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฮาาาา
2
แต่ผมยังสงสัยว่าเป้าหมายสูงสุดของคิมจองอิน ยังอยู่นั่นคือการเปลี่ยนแปลงระบบปี 2530 ซึ่งเป็นเหตุผลว่า
ทำไมเขาถึงช่วยรณรงค์ให้ผู้คนเลือกประธานาธิบดีในครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็กลับทะเลาะกับพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากพบว่าพรรคอื่นไม่สามารถทำหน้าที่ๆตนต้องการนั้นได้
แต่แล้ว....หน้าต่างแห่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ปรากฏขึ้น
1
เมื่อปาร์ค กึนเฮถูกถอดถอน คิม จองอินก็ร่วมงานกับทั้งพรรคฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเพื่อส่งเสริมการแก้ไขรัฐธรรมนูญในทันที
อย่างไรก็ตาม ผู้นำฝ่ายซ้ายในขณะนั้น มูนแจอิน(Moon Jae In) เลือกที่จะเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่จะรอจนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสียก่อน จึงค่อยดำเนินการตามนั้น
ในที่สุด มุนแจอิน ก็ได้ทำตามสัญญาของเขาหลังจากขึ้นสู่อำนาจโดยโจมตีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ครั้งในช่วงต้นและปลายสมัยบริหารของเขา
แต่ขอโทษ.....ทั้ง 2 ครั้ง.....ไม่ประสบผลสำเร็จ
2
ในปี 2568 คิมจองอินวัย 85 ปี ได้ใช้ประโยชน์จากกรอบการถอดถอนครั้งที่สองของยุนซอกยอล (Yoon Seok-yeol) โดยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะมีความสามารถรอบด้านและเข้ากับทุกคนให้ได้เลยยยยยย...
จนถึงขณะนี้ บุคคลสำคัญและสถาบันต่างๆ ในเกาหลีใต้ ที่ออกแถลงการณ์อย่างชัดเจนเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้แก่
ควอน ยองเซ (Kwon Young Se)รักษาการหัวหน้าพรรคพลังประชาชน รองหัวหน้าพรรคพลังแห่งชาติ ฉวนซิงตง
คิม คยองซู (Kim Kyung Soo)อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดคยองซังใต้ (ปัจจุบันเป็นแกนหลักของกลุ่มของมุนแจอิน)
ผู้ว่าราชการฝ่ายซ้ายสุด คิม ดงยอน (Kim Dong Yeon)ผู้ว่าราชการจังหวัดคยองกี
อดีตนายกรัฐมนตรี 5 คน ได้แก่ ชุง เซคยอน, ลี นัก-ย็อน, คิม บู-กยัม, ชุง อุน-ชาน และ คิม ฮวางซิก (Chung Se-kyun, Lee Nak-yeon, Kim Boo-kyum, Chung Woon-chan, and Kim Hwang-sik)
ซอง มินซุน (Song Min Soon)อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้า ,อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คิมจินพโย(Kim Jin Pyo) ,ปาร์ค บยองซอก (Park Byung-seok) อดีตรองประธานรัฐสภา
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและมหาดไทย ชุง จอง ซอบ(Chung Jung Seob) ,อี ยู บอม(E UBom) อดีตปลัดกระทรวงนโยบายทำเนียบขาว
และ NEAR Foundation กลุ่มวิจัยอิสระชั้นนำของเกาหลีใต้ รวมถึงสื่อหลักสามแห่งของเกาหลีใต้คือ Chosun Ilbo, JoongAng Ilbo และ Dong-A Ilbo
ส่วนพวกแชโบล(Chaebol) กลับไม่ได้ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะใดๆ แต่การประชุมหารือการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จัดโดยคิมจองอิน ที่จัดขึ้นในห้องประชุมของหอการค้าและอุตสาหกรรมเกาหลี
การประชุมหารือครั้งนี้มี ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมเกาหลี และเขายังเป็นประธานกลุ่มแชโบล SK อีกด้วย ผนวกกับบริษัทเกาหลีกว่าห้าหมื่นห้าพันแห่ง รวมถึงกลุ่มแชโบลขนาดใหญ่ 45 แห่ง
1
ซึ่งเป็นสมาชิกของหอการค้าและอุตสาหกรรมเกาหลีก็เข้ามาร่วมประชุมในครั้งนี้อีกด้วย
1
เรื่องน่าขันที่สุดก็คือประธานสภานิติบัญญัติฝ่ายซ้ายคนปัจจุบันได้ระบุชัดเจนในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่าเขาต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเป้าหมายของเขาในขณะนั้นคือประธานาธิบดียุนซอกยอล
1
ในขณะนี้ฝ่ายซ้ายมีแนวโน้มที่จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว ประธานสภาฝ่ายซ้ายจึงทำได้เพียงแต่นิ่งเงียบร่วมกับนายอีแจมยอง หัวหน้าพรรคเท่านั้น
ไม่ว่านักวางแผนอย่างคิมจองอินจะมีความสามารถแค่ไหน เขาก็ทำได้แค่ทำหน้าที่เป็นคนจับคู่และไปตามกระแสเท่านั้น
ส้มแห่งความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการกำจัดระบบปี 2530 จึงไปตกอยู่ที่ อี แจมยอง ผู้นำพรรคประชาธิปไตยเกาหลี
โดย คิม จองอิน ใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าอัตราการสนับสนุนของ อี แจมยองนั้นสูงกว่าคนอื่นมาก แต่เขาก็กลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนด้วยเช่นกัน
สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายขวาในเกาหลีใต้ การผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่เป็นการโยนความผิดต่อการถูกถอดถอนและการลาออกของประธานาธิบดีฝ่ายขวาสองคน (ปาร์ค กึนเฮ และยุน ซอกยอล)
ที่พวกเขาพูดถึงมีแต่คำใหญ่ๆ เช่น “เพื่อประเทศ” “สะท้อนประวัติศาสตร์” และ “สร้างอนาคต”
1
ด้วย ปาร์ค กึนเฮ และยุน ซอกยอล ที่ยังสัมพันธ์กับระบบในปี 2530 แต่ยังเป็นการจำกัดอำนาจของ อี แจมยอง อย่างถูกต้องตามกฎหมายหลังจากที่เขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกด้วย
สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายซ้ายของเกาหลีใต้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับนายอี แจมยอง ทำให้ อี แจมยอง มีอำนาจเด็ดขาดอยู่แล้ว ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
โดยเขามีส่วนร่วมในการโจมตีผู้เห็นต่างจากรัฐบาลและสังหารหมู่ในที่สาธารณะก่อนการเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อปีที่แล้ว
มาตอนนี้พวกเขากำลังเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ และหาก อี แจมยอง เห็นด้วย อำนาจของเขาก็จะลดลงทันที
1
หากอีแจมยองไม่เห็นด้วย เขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรผู้โลภในอำนาจและต่อต้านการแก้ไขข้อผิดพลาด และเขาจะไม่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
1
สำหรับเหล่าแชโบล ในระยะยาวพวกเขาจำเป็นต้องชี้นำระบบใหม่ไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ แม้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะล้มเหลว
แต่การเล่นเป็นไพ่แบบนี้ก็ยังดีกว่าสถานการณ์ปัจจุบันที่จะให้ อีแจมยองเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในอำนาจ
นอกเหนือจากการล่อลวงจากกลุ่มผลประโยชน์แล้ว การผลักดันของ คิม จองอินให้ยุบระบบปี 2530 ยังถือเป็นจุดยืนที่สูงที่สุดในด้านคุณธรรมอีกด้วย
บทเรียนที่ได้เรียนรู้ในช่วง 38 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างสองพรรคในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนผิดหวัง เจ้าหน้าที่รู้สึกไม่ปลอดภัย
และทำให้ทั้งโลกหัวเราะเยาะพวกเขามากกว่าหัวเราะเยาะตึกถล่มของผู้มีอำนาจในประเทศไทย ดังนั้นนักการเมืองรุ่นเก่าและประชาชนทั่วไปที่กังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของประเทศจึงสามารถโน้มน้าวใจคิมจองอินได้อย่างง่ายดาย
2
จะเห็นได้ว่า กับดักที่คิม จอง-อิน วางไว้สำหรับอี แจ-มยอง ไม่เพียงแต่มีผู้คนจำนวนมากและเครือข่ายกองกำลังจากทุกฝ่ายเท่านั้น
แต่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง มุนแจ-อิน ยังใช้วิธีการจัดให้มีการเลือกตั้งก่อนแล้วจึงแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกด้วย
หากอีแจมยองยังคงทำแบบเดิมอีกครั้ง เขาจะถูกกล่าวหาทันทีว่าเห็นแก่ตัวและไม่สนใจผลประโยชน์ของสาธารณะ
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือหลังจากที่ ยุน ซอกยอล( Yoon Seok-yeol )ถูกฟ้องร้องจนต้องลาออก
1
และการที่ประชาชนหันความสนใจจากการเลือกตั้งไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเทียบได้กับการทำให้ทุกคนคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับวิกฤตการบริหารที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ในเมื่อยุน ซอกยอลได้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว อีแจมยอง ก็จะเป็นผู้รับผิดชอบลำดับที่สอง และกลายเป็นผู้รับผิดชอบคนแรก(ไม่ใช่หรือ)?
ตอนนี้ ตัวละครชายหลักสองตัวคือ ยุนซอกยอล และอีแจมยอง ที่ถูกผสมผสานเข้าด้วยกัน ครั้งนี้ คิม จองอิน จะได้กลายเป็น "ผู้สร้างกษัตริย์" ในครั้งที่ 4 และทำให้ความปรารถนาตลอดชีวิตของเขาเป็นจริงได้
1
นั่นคือ การยุติระบบปี 2530 และยุติการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเกาหลีใต้ และยุติระบบนิเวศทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงทุก 3-5 ปี
ตอนนี้ ยุน ซอกยอล ถูกถอดถอนและลาออก ส่งผลให้เกาหลีใต้มีโอกาสยุติระบบในปี 2530 แนวโน้มการแยกตัวของทรัมป์และตารางงานที่ยุ่งวุ่นวายในการไกล่เกลี่ยสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังสร้างช่องทางให้เกิดข้อตกลงการค้าเสรีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ด้วย
จะเห็นได้ว่า พวกเขาผ่านความยากลำบากมามากมายแค่ไหน
โดย เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและการค้าของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ได้ออกแถลงการณ์ร่วมอีกครั้งในรอบ 5 ปี โดยพวกเขาตกลงที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
เพื่อจัดการเจรจาระดับสูงอย่างรอบด้านเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการค้าในระดับภูมิภาคและระดับโลก
โดยทั่วไปเรามักคิดว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีแนวโน้มก่อให้เกิดปัญหาในเขตการค้าเสรีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้มากที่สุด ฮาาาา
และ ในบรรดาสามประเทศคือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มั่นคงมากที่สุด (ฮาาา อีกรอบ)
2
ในความเป็นจริง แม้ว่านายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจะเปลี่ยนแปลงบ่อย แต่พรรครัฐบาลก็ค่อนข้างมั่นคง และความต่อเนื่องของนโยบายนั้นดีกว่าของเกาหลีใต้มาก
1
หากย้อนกลับไปในปี 2555 เหตุการณ์หมู่เกาะเตียวหยูซึ่งส่งผลกระทบต่อข้อตกลงการค้าเสรีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พรรคเสรีประชาธิปไตยญี่ปุ่นหมดอำนาจ
ในรอบ 70 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคเสรีประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่นขึ้นมา
พรรคนี้ได้ครองอำนาจมาเป็นเวลา 66 ปีมาแล้ว แน่นอนพวกเขามีประสบการณ์มากมายในการจัดการ และมีช่องทางการสื่อสารที่มากมาย
ดังนั้น หลังจากการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและญี่ปุ่นแล้ว (โดยมีพรรคเสรีประชาธิปไตยครองอำนาจ) ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นก็สามารถดำรงอยู่มาได้ตลอด
และไม่ว่าจะย่ำแย่เพียงใด ก็จะไม่แย่เท่ากับตอนที่พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่นครองอำนาจในปี 2555
ในทางกลับกัน นับตั้งแต่ก่อตั้งระบบเกาหลีใต้ในปี 2530 สถิติการครองอำนาจของค่ายเดียวกัน(ตลอด)ที่ยาวนานที่สุดคือ 10 ปี ซึ่งต่อมาได้ลดลงเหลือ 9 ปีและ 5 ปี ตอนนี้ลดเหลือ 3 ปีแล้ว
การที่พรรคการเมืองเกาหลีใต้มีอายุสั้น ก่อนปี 2530 นั่นเป็นเพราะรัฐบาลทหารมักยุบพรรคฝ่ายค้าน หลังจากปี 2530 เราคงทำได้แต่ต้องตำหนิความสายตาสั้นของทั้งสองพรรคการเมือง ฮาาา
1
กล่าวคือ พวกเขาต้องลบบัญชีแล้วเริ่มกันใหม่หมด เพื่อจะรวมกับพรรคเล็ก พูดอีกอย่าง คือ พวกเขาต้องลบบัญชีแล้วเริ่มใหม่เพราะพรรคแตกแยก
และอีกกรณีนึง คือ พวกเขาต้องลบบัญชีแล้วเริ่มใหม่ เพื่อตัดความสัมพันธ์กับเรื่องอื้อฉาวของประธานาธิบดี
ส่งผลให้พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคของเกาหลีใต้มีอายุไม่ถึง 10 ปี และพรรคการเมืองอื่นก็มีอายุไม่ถึง 5 ปี
จะว่าไปแล้ว.... ป้ายของพรรคการเมืองไม่มีค่าเท่ากับหน้าตาของผู้นำพรรค แล้วฝ่ายตรงข้ามก็จะเล็งเป้ามาที่ใบหน้าของเขาและโจมตี(ส่วนตัว)เขาจนตายอย่างแน่นอน
1
เมื่อภาพลักษณ์ของคุณถูกโจมตี มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องประชาชน(ของคุณเอง) อย่างมากที่สุดคุณสามารถหา(คน)หน้าใหม่เพื่อเติมเต็มความว่างเปล่า จากนั้นลบบัญชีและเริ่มต้นใหม่
ดังนั้น จากมุมมองของความต่อเนื่องของนโยบายและเสถียรภาพของพรรค เกาหลีใต้ในรูปแบบนี้ ...ถือเป็นจุดอ่อนในเขตการค้าเสรีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้
1
เมื่อหารือเกี่ยวกับเขตการค้าเสรีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ พวกเขามักจะพูดเกินจริงถึงบทบาทของทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และรู้สึกว่า....
ตราบใดที่ทหารสหรัฐฯ ยังคงประจำการอยู่ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เขตการค้าเสรีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่มองเห็น(เท่านั้น) แต่สัมผัสไม่ได้
จากประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ แม้ว่าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะพึ่งพาสหรัฐอเมริกาในด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงมายาวนาน แต่ก็ไม่ได้จำกัดพื้นที่การตัดสินใจอิสระในด้านเศรษฐกิจและการค้าโดยสิ้นเชิง
ในการอธิบายเรื่องแบบนี้ ผมจะขอลองยกตัวอย่างความก้าวหน้าในการเจรจา RCEP เมื่อห้าปีก่อนล่ะกัน ที่ไทยหวังว่าจะช่วยส่งเสริมสินค้าไทยสู่ตลาดจีนในครั้งนั้น.
1
ในช่วงเวลาดังกล่าวเองที่ พวกเขาใช้ประโยชน์จากช่องทางยุทธศาสตร์ที่สร้างขึ้นโดยนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของรัฐบาลทรัมป์ เพื่อผลักดันให้มีการบังคับใช้ข้อตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาคนี้สำเร็จ
1
ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ยังคงรักษาความเป็นอิสระและความยืดหยุ่นในประเด็นทางเศรษฐกิจและการค้าได้อย่างมาก
จากมุมมองของความเป็นจริงเชิงกลยุทธ์ การแข่งขันทางการเมืองระหว่างประเทศไม่ใช่แค่การเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของเอกสารเท่านั้น แต่เป็นการส่งมอบประสิทธิผลเชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิผล
สหรัฐฯ ได้สร้างความได้เปรียบด้านการทหารในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้โดยอาศัยทหารที่ประจำการอยู่ที่นั่น
ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีข้อได้เปรียบที่ไม่สามารถทดแทนได้ในด้านความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ ในข้อนี้...ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์เปรียบเสมือนอากาศ
ซึ่งเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ที่มักถูกมองข้ามมากที่สุด แต่บ่อยครั้งกลับเป็นอาวุธที่อันตรายที่สุด
ลองนึกภาพดูนะครับ เมื่อจีนมีศักยภาพในการเข้าร่วมเกมยุทธศาสตร์ในปานามา ซึ่งอยู่หน้าประตูบ้านของสหรัฐฯ (อยู่แล้ว)
แต่ก็ขาดความมั่นใจในยุทธศาสตร์ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่หน้าประตูบ้านของตน ในข้อนี้...จีนจะติดอยู่ในความขัดแย้งทางยุทธศาสตร์ของ “จุดบอดทางยุทธศาสตร์” หรือไม่?
ปกติแล้ว ...ภูมิทัศน์ทางการเมืองระหว่างประเทศไม่เคยถูกครอบงำโดยเกมระหว่างมหาอำนาจ
ประเทศเล็กๆ มักแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาทางการเมืองที่น่าทึ่งและการขาดวิสัยทัศน์(ที่น่าเสียดาย)ในเกมแห่งอำนาจ เมื่อดุลอำนาจระหว่างประเทศมหาอำนาจเข้าสู่ภาวะสมดุลที่ละเอียดอ่อน
การเลือกยุทธศาสตร์ของประเทศเล็กๆ เหล่านี้ จะก่อให้เกิดผลกระทบแบบทวีคูณและกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทับหลังอูฐเพื่อชิงอำนาจในทันที
จงระวังไว้.....ความสมดุลของประวัติศาสตร์มักจะเอียงไปสู่จุดหมุนที่คาดไม่ถึงที่สุด และประเทศเล็กๆ มักเป็นจุดหมุนเล็กๆที่ขับเคลื่อนโลกได้ในความเป็นจริง....
โฆษณา