10 เม.ย. เวลา 06:30 • อาหาร

ร้านสเต๊กระดับพรีเมียมในกรุงเทพฯ ที่ต้องลอง

Chapter 81: Top Premium Steakhouses in Bangkok for Steak Lovers
Blog นี้อยากแนะนำร้านสเต๊กดีๆ ในกรุงเทพฯ 2 ร้านค่ะ เป็น 2 ร้าน 2 สไตล์ที่แตกต่างกันมากแต่อร่อยเทพทั้งคู่เลย
มาเริ่มกันที่ร้านแรก เป็นร้านสเต๊กที่เรามีโอกาสได้ตามไปกินมาหลายสาขาแล้วทั้งที่นิวยอร์ก โซล และสิงคโปร์ ในที่สุดเค้าก็มาเปิดสาขาในกรุงเทพฯ แล้วกับ Wolfgang's Steakhouse Bangkok ค่ะ
Wolfgang's Steakhouse Bangkok
Wolfgang's Steakhouse Bangkok อยู่ที่โครงการ One Bangkok เป็นร้านสเต็กชื่อดังที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนิวยอร์ก
ความโดดเด่นของ Wolfgang's Steakhouse คือ เค้าจะใช้เนื้อวัว USDA Prime Beef คุณภาพดีที่สั่งมาจากอเมริกาเท่านั้นและจะใช้เวลาเพียง 2 วันในการจัดส่งเนื้อมายังไทย โดยที่เนื้อเหล่านี้จะไม่ถูกแช่แข็งแต่จะนำมาเข้ากรรมวิธีที่เรียกว่า Dry-aging ซึ่งเป็นการบ่มเนื้อในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นเป็นเวลานานถึง 28 วัน เพื่อกระตุ้นเอนไซม์ในเนื้อให้ทำการย่อยสลายเยื่อหุ้มที่แทรกตามเนื้อสีแดงหรือพังผืด ทำให้เนื้อนุ่มและเกิดรสอูมามิตามธรรมชาตินั่นเอง
1
ร้าน Wolfgang's Steakhouse จะอยู่โซน The Storeys ชั้น 3F ในโลเคชั่นที่เป็นหัวมุมตึกเลยเลยได้วิวของถนนวิทยุ สาธร และพระราม 4 ไปเต็มๆ วิวดีมาก
ส่วนบรรยากาศภายในร้านก็ดูหรูหราเลย
เมนูของเค้าก็จะไม่ต่างกับที่สาขาอื่นๆ โดยเฉพาะเมนูเนื้อที่นำเอาเอกลักษณ์ความอร่อยของ Wolfgang มาทั้งหมด
วันนี้เรามากัน 10 คนก็เลยสั่งซะเต็มที่เลย เริ่มด้วย Wolfgang's Salad และ Arugula Salad
Wolfgang's Salad และ Arugula Salad
ตามด้วย Jumbo Shrimp Cocktail และ Sizzling Bacon ที่แสนอร่อยมาอีกคนละครึ่งชิ้นพอ เดี๋ยวจะจุกซะก่อน
Jumbo Shrimp Cocktail และ Sizzling Bacon
วันนี้อาจหาญมากสั่งเนื้อแบบจุกๆ ทั้ง Porter House Steak for 4 และ Ripeye เพราะสมาชิกตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น
สเต๊กจานใหญ่มาก
ส่วนคุณนายแม่ผู้ไม่กินเนื้อ ก็เลยสั่งปลา Snow Fish ย่างแทน คุณนายคอนเฟิร์มว่าอร่อย
ส่วนรสชาติของเนื้อ นุ่ม หอม อร่อย…แต่วันนี้มีความต่างเล็กน้อย เนื้อ Porter ไม่ชุ่มฉ่ำเหมือนที่เคยกิน แต่ก็…ถือว่าอร่อยค่ะ 👍
หลังจากจ้วงกันจนอิ่มก็ยังมีเนื้อเหลือบางส่วน ก็เลยให้ทางร้านเอาไปทำเป็นข้าวผัดเนื้อมาตบท้ายมื้อใหญ่นี้อีกจาน และข้าวผัดก็หอมอร่อยมาก
1
ข้าวผัดเนื้อ
และท้ายในท้าย ตบด้วยขนมหวานล้างปากซักหน่อย มี New York Style Cheesecake กับ Apple Strudel A La Mode ส่วนอีกก้อน Tiramisu รึเปล่าจำไม่ได้ ได้เป็น complimentary เพราะเป็นวันเกิดคุณนายเค้าพอดี
สรุป Wolfgang's Steakhouse Bangkok ร้านสเต๊กระดับพรีเมี่ยมจากนิวยอร์กเป็นอีกร้านที่คนรักเนื้อน่ามาลองค่ะ อาหารอร่อย บรรยากาศดี
1
อีกร้านที่ไปแล้วประทับใจมาก MAD BEEF ร้านที่เสิร์ฟเนื้อย่างแบบ "Kaiseki" (ไคเซกิ)
1
แต่ก่อนจะไปกินเนื้อ มาดูบรรยากาศของร้านนี้กันซักหน่อยเพราะเราคิดว่ามันน่าสนใจดี
ร้าน MAD BEEF ตั้งอยู่ภายใน ATT19 ซึ่งเป็นคาเฟ่และแกลเลอรี่ในย่านเจริญกรุง เชฟเชอ พันธ์ทิพย์ อรรถการวงศ์ ผู้เป็นทั้งเชฟและเจ้าของร้านเล่าว่า หลังจากที่ได้ไปร่ำเรียนศาสตร์การทำอาหารมาจากออสเตรเลีย เชฟก็อยากกลับมาทำร้านอาหารในไทย เลยขอที่ส่วนนึงจากร้านแกลเลอรี่และร้านขายของเก่าของคุณพ่อมาทำเป็นร้าน MAD BEEF นี้
เป็นประตูร้านที่เก่าแก่มาก
ส่วนของบาร์และคาเฟ่
พื้นที่หลักของแกเลอรี่จะเป็นงานศิลปะร่วมสมัยและของเก่าแก่โบราณวางโชว์อยู่มากมาย
1
แต่พอเข้ามาในบริเวณที่เป็นร้าน MAD BEEF เราจะเห็นของโบราณที่มาจากญี่ปุ่นล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดกิโมโน เสื้อเกราะนักรบโบราณอายุกว่าพันปี หรือบรรดาถ้วยโถโอชามต่างๆ ที่เป็นความชอบส่วนตัวของเชฟ
ยังมีส่วนที่เป็นโครงสร้างอาคารเดิมที่เป็นไม้โบราณ โถงสูงที่ดูแล้วเหมือนโรงนาในหนังฝรั่ง แต่พอมีหุ่นนักรบญี่ปุ่นโบราณวางโชว์อยู่ มันให้ความรู้สึกขลังขึ้นมาเลย
1
แอบเดินไปดูส่วนที่เป็นครัวเตรียมอาหาร ก็ยังคงมีงานศิลปะตั้งโชว์อยู่แบบเก๋ๆ
เอาล่ะ…ได้เวลาไปกินเนื้อกันละ เชฟจะใช้ครัวเปิดอันนี้ปรุงอาหารให้พวกเราได้ดูทุกจานอย่างเพลินตากันเลย
อุปกรณ์การกินที่ทางร้านจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน
ก่อนอื่นเชฟจะนำบรรดาเนื้อที่จะใช้ปรุงเป็นอาหารทั้งหมดในวันนี้ 13 เมนูให้พวกเราได้ชมโฉมกันก่อน
เนื้อ Secondary Cut
เนื้อที่ทางร้านใช้จะเป็นเนื้อจาก 2 สายพันธุ์ได้แก่ วากิว และแองกัสที่เป็นสายพันธุ์แท้และเติบโตในออสเตรเลีย โดยจะเป็นเนื้อส่วนที่เรียกว่า Secondary Cut หรือเนื้อส่วนรองของวัว
ซึ่งเนื้อ Secondary Cut จะเป็นเนื้อส่วนที่ร้านสเต๊กไม่นิยมเอามาใช้ เช่น เนื้อหุ้มหัวใจ เนื้อร่องซี่โครง เนื้อใบพาย ต่างจาก Primary Cut หรือเนื้อส่วนหลัก ที่จะเป็นเนื้อส่วนกลางท้องอย่าง Ribeye, Striploin, Sirloin หรือ Tenderloin ที่นิยมเอามาทำสเต๊ก
ทีแรกที่ได้ยินว่าเป็นเนื้อ Secondary Cut เราก็คิดเลยว่าต้องอร่อยน้อยกว่าเนื้อ Primary Cut แน่ๆ แต่เชฟอธิบายว่าจริงๆ แล้วเนื้อส่วนนี้ก็อร่อย เพียงแต่เราต้องรู้วิธีการปรุงที่จะดึงเอารสชาติและรสสัมผัสของเนื้อส่วนนี้ออกมา แถมเชฟยังบอกอีกว่าเนื้อส่วนนี้จะให้รสชาติที่เข้มข้นกว่าเนื้อส่วนหลักด้วยซ้ำ
 
นอกจากนี้การใช้เนื้อส่วนรองเหล่านี้มาทำอาหารก็จะเป็นการใช้วัตถุดิบแบบไม่ต้องเหลือทิ้ง เป็น Zero Waste อีกด้วย
2
ซึ่งวิธีการทำเชฟก็จะเอาเนื้อส่วนต่างๆ เหล่านี้มาปรุงแล้วเสิร์ฟเป็นคำๆ หลายๆ เมนู เพื่อที่ลูกค้าจะได้ลองชิมเนื้อหลายๆ ส่วน นี่ก็เลยเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ร้านที่เสิร์ฟอาหารแบบไคเซกินี่เอง
มาเปิดลิ้นกับจานแรก MAD Amuse Bouche ซึ่งเป็น Tartar หรือเนื้อดิบทั้งสองคำ
MAD Amuse Bouche
คำซ้ายมือจะทำจากมันฝรั่งทอดโรยด้วยไข่แดงเค็มกับผิวมะนาว อีกชิ้นเป็นมันหวานใส่ไข่แดงเค็มเช่นกัน 2 คำนี้อร่อยมาก
ต่อด้วยเมนูที่ 2 ที่เป็นสลัด
เป็นจานสลัดที่อร่อยมาก
ด้านนอกห่อด้วยเนื้อ Air-dried ด้านในเป็นมูสมะเขือเทศที่ใช้มะเขือเทศดองมาทำ และก็ผัก Ice Plant หรือผักเกล็ดหิมะ ที่ปกติจะขึ้นตามหิมะแต่ตอนนี้ในไทยก็ปลูกได้แล้ว
1
อยากจะบอกว่าจานนี้ผิดคาดมาก กินเข้าไปแล้วไม่ได้แห้งเหมือนที่เห็นแต่มีความสดชื่นด้วยมูสมะเขือเทศข้างในที่ให้รสชาติเปรี้ยวหวาน อร่อยมาก
1
มาถึงเมนูที่ 3 ที่ทำจากเนื้อ Outside Flat หรือเนื้อพับนอก
Outside Flat
เมนูนี้จะเอาเนื้อไปย่างบนเตาถ่านด้วยไฟอ่อนจนได้ที่ เสิร์ฟมาพร้อมกับมิโซะโฟมที่ทำจากมิโซะ 3 ชนิดทั้งมิโซะ ขาว แดง และ ดำ เมนูนี้จะมี texture ให้ได้เคี้ยวแต่ไม่ได้เหนียว เป็นรสสัมผัสของเนื้อส่วนนี้
1
เมนูที่ 4 MAD Sando เป็น Signature ของทางร้านเลย
MAD Sando
เป็นแซนวิชสไตล์ญี่ปุ่นที่ไส้ทำจากเนื้อ 5 ส่วนสับรวมกันชุบเกล็ดขนมปังแล้วเอาไปทอด ตัวขนมปังเอาไปย่างกับมันเนื้อทำให้มีกลิ่นหอมๆ ก้อนครีมที่เห็นด้านซ้ายเป็นซอสรสชาติคล้ายน้ำจิ้มสุกี้ญี่ปุ่นที่มีความเค็มหวานมัน แต่ร้านเอามาทำให้เป็นโฟมแล้วใช้ไฟเบิร์นจนกลายเป็นสีน้ำตาล ใช้จิ้มกินกับแซนวิชอร่อยมากๆ เรากินซอสกันเกลี้ยงเลย แต่ถ้ากินแล้วรู้สึกเลี่ยนก็จิ้มพริกที่วางมาด้านล่างได้
เมนูนี้คอนเฟิร์ม อร่อยจริงๆ
เมนูที่ 5 เป็นเนื้อส่วน Picanha (พิคานย่า) หรือเนื้อแก้มก้นที่ให้รสสัมผัสเด้งๆ หน่อย
1
Picanha
เชฟจะเอาเนื้อไปจี่ในกระทะให้ผิวมีความกรอบเล็กน้อย ด้านซ้ายจะเป็น Beef Bacon ที่มีแผ่นพาร์เมซานชีสกรอบโปะอยู่ ซอสสีเขียวที่เห็นเป็น Beef Pesto ที่ใส่สาเกเข้าไปด้วย
1
เมนูที่ 6 เป็นเมล่อนกับเนื้อ
เมล่อนกับเนื้อ
เมนูนี้เราว่าคล้ายๆ กับ Parma Ham ที่กินกับเมล่อนแต่เปลี่ยนเป็นเนื้อ โดยเมนูนี้จะมี 3 ชั้น ชั้นล่างสุดคือเมล่อน ตรงกลางเป็นเนื้อที่เอาไปบ่มด้วยข้าวโกจินานถึง 21 วันแล้วเอาไปตากแห้งต่ออีกอาทิตย์นึงจนได้เป็น Cold Cut แบบนี้ ส่วนชั้นบนสุดคือเจลลี่มะเขือเทศ กินพร้อมกันคำเดียวรสชาติเข้ากันได้พอดี
2
เมนูที่ 7 เป็นเนื้อส่วนที่เรียกว่า Denver Steak เป็นเนื้อส่วนสันคอ
Denver Steak
เนื้อถูกเอาไป Dry-Aged ด้วยข้าวโกจิเช่นกัน กินคู่กับเห็ดภูฐาน และซอสสาเกโชยุ
1
เมนูที่ 8 Black Magic ชื่อเท่ห์มาก
ที่พอเปิดฝาออกมาจะหน้าตาแบบนี้
เมนูนี้ใช้เนื้อ Hanger Steak หรือเนื้อขั้วตับ ซึ่งเป็นส่วนที่ห้อยมาจากกะบังลมหรือท้องล่างของวัว ซึ่งในวัวหนึ่งตัวจะมีเนื้อส่วนนี้ไม่มากถือว่าเป็นเนื้อหายากประมาณนึง เสิร์ฟพร้อม Pumpkin Puree ซอสสีดำเป็น Black Garlic Mayo ส่วนแผ่นแป้งด้านบนสุดทำจากข้าวจะมีความแข็งๆ หน่อย เวลากินก็ให้เอามาจิ้มกับซอส หากรู้สึกเลี่ยนก็ให้กินพริกหนุ่มที่ให้มา เออมันไปกันได้ด้วยแฮะ เพราะซอสฟักทองจะค่อนข้างหนักพอได้พริกหนุ่มเผ็ดๆ มาช่วยก็เลยยิ่งอร่อย
เมนูที่ 9 เป็นเมนูตัดเลี่ยน Yuzu sorbet
Yuzu Sorbet
เจอเนื้อกันมาหลายคำ ต้องมีคั่นรายการกันหน่อยไม่งั้นอาจจะกินเมนูต่อๆ ไปไม่ไหว เห็นคำน้อยๆ แบบนี้อิ่มเหมือนกันนะ
1
เมนูที่ 10 เป็นเนื้อ Black Angus
Black Angus
ที่เชฟเสิร์ฟมาตั้งแต่เมนูแรกจะเป็นเนื้อวากิวทั้งหมด มีเมนูนี้ที่ใช้เนื้อ Black Angus ส่วนที่เป็น Tenderloin เสิร์ฟมาพร้อมกับเห็ด Morels ที่ยัดไส้ด้วย Black Truffle และ Foie gras มันบด และหอมที่ตุ๋นในสต๊อกเนื้อ เป็นคำเล็กๆ ที่แน่นไปด้วยรสชาติมาก
1
เมนูที่ 11 ข้าวหน้าเนื้อสไตล์ญี่ปุ่น
ข้าวหน้าเนื้อ
เมนูนี้จะใช้เนื้อ Denver อีกครั้ง ซึ่งเชฟจะต้องเอามาย่างไฟก่อนเพื่อให้เนื้อมีความนุ่มและหอมไฟอ่อนๆ
จากนั้นนำไปทาซอสเพื่อเพิ่มรสชาติแล้วก็เอาไปวางบนข้าวผัดกระเทียมสูตรพิเศษของทางร้านท็อปด้วยไข่ออนเซ็นด้านบน เชฟบอกให้ลองกินแค่ข้าวกับเนื้อก่อนแล้วค่อยคลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน...นัวมากบอกเลย
แล้วเชื่อมะ ตอนกินเมนูนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งละ 😱 ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะสามารถกินได้จนถึงเวลานี้ ตอนแรกก็คิดว่าจะข้ามเมนูนี้แต่พอเห็นหน้าตาอาหารที่ออกมาก็เลยขอชิมซักคำ ชิมไปชิมมาหมดชามเลย…ดีนะที่ก่อนมาออกกำลังกายไปละ 😮‍💨
เมนูที่ 12 เมนูรองสุดท้ายก็เลยมาแบบเบาๆ กับ Beef Consume
Beef Consume
เป็นซุปที่ได้จากการใช้เนื้อส่วนต่างๆ เอาไปเคี่ยวแล้วกรองจนออกมาเป็นซุปใสโดยที่เชฟไม่ได้ปรุงรสอะไรเพิ่มเลยทำให้ได้รสชาติและความหอมหวานจากเนื้อล้วนๆ เสิร์ฟมาในกาแบบเก๋ๆ
แล้วก็มาถึงเมนูสุดท้ายที่ปิดจบการกินอันหนักหน่วงของเราคืนนี้กับเมนูที่ 13 Beef Fat Infused Cream Cheese Ice Cream
Beef Fat Infused Cream Cheese Ice Cream
ตัวของไอศกรีมเชฟใช้ไขมันจากวากิวไป Infuse ด้วยทำให้ได้กลิ่นของเนื้อเบาๆ ซึ่งมันก็ไปกันได้กับของหวานซะด้วย ตัวหน้ายิ้มทำจาก Yuzu Jelly ด้านล่างเป็น Rasberry Jelly กับ Fresh Meringue (เมอแร็งก์) มี Yuzu Curd แต้มมาให้กินตัดเลี่ยนด้วย
1
และนี่ถือเป็นการทำอาหารแบบ Zerto Waste จริงๆ เพราะเชฟเอาส่วนต่างๆ ของเนื้อมาทำอาหารได้แทบจะทั้งหมดเลย
1
ก็จบกันไปแล้วกับ 13 เมนูที่จุกจนถึงคอ บอกตามตรงแบบไม่อวยเราชอบเนื้อร้านนี้มาก ด้วยความที่เวลาไปกินเนื้อย่างหรือร้านสเต๊กส่วนใหญ่เราก็ได้เจอแต่เนื้อส่วน Primary Cut ซึ่งพอกินๆ ไปมันก็อร่อยแต่ก็เลี่ยนประมาณนึง
พอคราวนี้ได้มาลองเนื้อส่วน Secondary Cut ถึงได้รู้ว่าตัวเราเองชอบเนื้อแบบที่มี Texture แบบนี้มากกว่า มันมีความเหนียวนิดๆ ให้เคี้ยวเพลินๆ แต่ก็ยังมีความชุ่มฉ่ำ ที่สำคัญรสชาติที่เกิดจากกรรมวิธีการปรุงของเชฟเองช่วยให้มันอร่อยมากขึ้นด้วย ไม่รู้สึกผิดที่จบมื้อนี้ตอนเกือบสี่ทุ่มครึ่งละ 😆
ใครที่อยากชิมเนื้อดีๆ อร่อยๆ เราแนะนำให้ไปลองเนื้อ 2 ร้านนี้แล้วลองเปรียบเทียบว่าชอบแบบไหนมากกว่ากันระหว่างเนื้อ Primary Cut กับ Secondary Cut สำหรับเราเองเริ่มหลงรักเนื้อ Secondary Cut แล้วแหละ 😄
แล้วเจอกันใหม่ใน Blog หน้านะคะ สำหรับ Blog นี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 😊
โฆษณา