19 เม.ย. เวลา 01:38 • ประวัติศาสตร์

ย้อนรอย World Expo: เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และวัฒนธรรมมนุษยชาติ

ในขณะที่เราเล่นสาดน้ำกันในวันสงกรานต์ ณ ประเทศไทย ถ้าหากเราลัดฟ้าไปอีกประเทศหนึ่งทางภูมิภาคเอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่น วันสงกรานต์นี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญอย่างวันเปิดงาน “World Expo” หรืองานนิทรรศการโลก ที่หวนกลับมาจัดที่โอซาก้าเป็นครั้งที่ 2 และเป็นงานนิทรรศการโลกครั้งที่ 36 ในประวัติศาสตร์
งานนิทรรศการโลกนับว่าเป็นงานใหญ่และสำคัญอีกงานหนึ่งของมนุษยชาติ เป็นนิทรรศการที่รวบรวมหลายสิ่งหลายอย่างทั้งในเรื่องของอุตสาหกรรม และวัฒนธรรมจากทั่วทุกมุมโลกมาจัดแสดงกัน ซึ่งหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างใกล้ตัวเราจำนวนไม่น้อยก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เคยเข้าสู๋งานนิทรรศการโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์จากงานนิทรรศการโลกฟิลาเดลเฟีย หรือแม้แต่สิ่งของที่ธรรมดาสามัญที่สุดอย่างซิปกางเกงเกิดขึ้นในนิทรรศการโลกชิคาโก
สิ่งต่าง ๆ ในงานนิทรรศการโลกได้แสดงให้เห็นถึงการก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ของมนุษยชาติที่ไม่มีสิ้นสุด และในขณะเดียวกันงานนิทรรศการโลกก็ได้สร้างให้ก่อให้เกิดมูลค่าและการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลให้กับเจ้าภาพด้วย (แต่จะกำไรหรือขาดทุนก็อีกเรื่อง)
โดยใน All About History สัปดาห์นี้ เราจะขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปดูงานนิทรรศการโลกครั้งสำคัญ ๆ ต่าง ๆ กันแบบสังเขป ไปดูกันซิว่าในงานนิทรรศการโลกแต่ละครั้งเขามีอะไรมาโชว์ และสะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรม และวัฒนธรรมในช่วงเวลาดังกล่าวได้อย่างไรบ้าง
⭐อุตสาหกรรมแห่งปวงประชาชาติ : นิทรรศการโลกลอนดอน 1851
จริง ๆ แล้วงานนิทรรศการโลกเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งก็แน่นอนว่าการปฏิวัตอุตสาหกรรมก็ต้องพูดถึงกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นชนวนแรกที่ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมไปทั่วทั้งยุโรป โดยงานมหานิทรรศการโลกลอนดอนปี 1851 มาในธีมของ “อุตสาหกรรมแห่งปวงประชาชาติ” (Industry of all nations) โดยจัดอยู่ที่สวนไฮด์ปาร์ก ภายในสถาปัยกรรมกรรมมหัศจรรย์ที่ปัจจุบันเหลือแต่ชื่ออย่าง “พระราชวังแก้ว” (Crystal Palace)
งานนิทรรศการโลกครั้งแรกนี้จัดขึ้นโดยแนวคิดของชาย 3 คน คือเฮนรี่ โคล เจ้าชายอัลเบิร์ต และโจเซฟ แพกซ์ตัน โดยได้แรงบันดาลใจมาจากนิทรรศกาลที่จัดอยู่ที่ซ็องเซลีเซในปารีส เป็นนิทรรศการระดับชาติที่เฮนรี โคล มองเห็นประสิทธิภาพว่ามันสามารถไปไกลถึงระดับโลกได้
ความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมเป็นแก่นหลักที่สหราชอาณาจักรพยายามชูและนำเสนอผ่านงานนิทรรศการโลก ฟังดูเหมือนจะเป็นงานแค่ระดับชาติ แต่ด้วยความที่สหราชอาณาจักรภายใต้การปกครองของสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียนั้นได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตก เพราะว่ามีอาณานิคมอยู่มากมาย ทำให้มันมีสถานะเป็นนิทรรศการโลกไปโดยปริยาย ของดีเด็ดจากอาณานิคมจำพวกงานฝีมือถูกนำเข้ามาจัดแสดง ทำให้มันมีความเป็นพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วรรณา (Ethnolography) ไปด้วยในตัว
งานนิทรรศการโลกครั้งแรกนี้ได้รับความสำเร็จมากมาย มีผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ถูกนำมาเสนอ อีกทั้งคนดังจำนวนมากให้ความสนใจ อย่างสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย ชาร์ลส์ ดาร์วิน หรือแม้แต่คาร์ล มาร์กซ์ มีตัวเลขผู้เข้าชมกว่า 6 ล้านคน และมีกำไรไม่น้อย ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ทำให้เกิดใคร ๆ ก็อยากทำตาม เช่นในนิทรรศการโลกที่ปารีสปี 1855 เป็นต้น จนกระทั่งได้เคลื่อนตัวจากยุโรป ข้ามฝั่งมาอเมริกาบ้าง เกิดเป็นงานนิทรรศการโลกครั้งแรกในทวีปอเมริกาที่ฟิลาเดลเฟีย ปี 1876
⭐มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ของโลก : นิทรรศการโลกฟิลาเดลเฟีย 1876
เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ยุคสงครามกลางเมืองเป็นต้นมา เพราะด้วยสงคราม ทำให้เกิดการพํฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อที่จะได้นำมาใช้ในทางการทหาร แต่ถึงอย่างนั้น ครั้นเมื่อสงครามจบลงแล้ว ก็ใช่ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดพัฒนาการขึ้นมาในช่วงสงครามจะหยุดตาม
ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้พุ่งเข้าสู่จุดสูงสุด กลายเป็นยุคทองชุบที่มีเศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้นมามากมายในสังคม ซึ่งความมั่งคั่งนี้เองก็ทำให้สหรัฐฯ อยากที่จะนำเสนอความรุ่งเรืองของตนเองเหมือนอย่างที่อังกฤษและฝรั่งเศสนำเสนอบ้าง
สหรัฐได้ถือฤกษ์ดีในการจัดงานนิทรรศการโลกในปี 1876 นับว่าเป็นอีกหนึ่งปีสำคัญ และมีนัยยะสำคัญต่อสหรัฐอเมริกา เพราะมันคือปีครบรอบ 100 ปี ของการประกาศอิสรภาพอเมริกาจากอังกฤษที่มีการลงนามกันขึ้น ณ ที่ฟิลาเดลเฟียแห่งนี้
สงครามการเมืองทำให้อุตสาหกรรมในอเมริกาเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และมันก็เข้ากับแนวคิดดังเดิมของงานนิทรรศการโลกที่เกิดมาเพราะการปฏิวัติอุตสาหกรรม มันกลายเป็นการประกาศความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมผ่านงานนิทรรศการโลก มีฮอลล์จัดแสดงทั้งด้านเครื่องจักรและการกสิกรรม เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยต่าง ๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในด้านความสำเร็จที่เป็นตัวเลขจริง ๆ อาจจะไม่ได้มากมายนัก เพราะถึงแม้ว่าจะมียอดผู้เข้าชมรวม 10 ล้านคน แต่ผู้เข้าชมต่อวันไม่ได้เยอะเนื่องจากสภาพอากาศที่แสนจะร้อนในช่วงเวลาที่จัดงาน แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กำไร แต่ก็ได้ใจผู้เข้าร่วมงานที่มาและได้เห็นถึงพัฒนาการของสหรัฐอเมริกาในฐานะมหาอำนาจด้วย เป็นการบอกว่าความเจริญและความมั่งคั่ง ไม่ได้กระจุกอยู่แค่ในยุโรปเหมือนแต่ก่อนแล้ว
⭐หอสูงชื่อดัง และศูนย์กลางวัฒนธรรมยุโรป : นิทรรศการโลกปารีส 1889
ถ้ายุคทองทางเศรษฐกิจของอังกฤษคือปฏิวัติอุตสาหกรรม และยุคทองทางเศรษฐกิจของอเมริกาคือยุคทองชุบแล้วล่ะก็ ยุคสวยงามหรือลาแบลปอก (La Belle Époque) ก็เป็นยุคทองทางเศรษฐกิจของอีกหนึ่งมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศส ที่ไม่ได้มีดีแค่เศรษฐกิจ แต่สังคมและวัฒนธรรมยังโดดเด่นอีกด้วย
นิทรรศการโลกปารีสปี 1889 ไม่ใช่นิทรรศการโลกครั้งแรกของฝรั่งเศส หากแต่เป็นครั้งที่ 4 ที่ถูกจัดขึ้นมาในปีที่ 100 แห่งการปฏิวัติฝรั่งเศส โดยเป็นการฉลองถือสาธารณัฐฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ระบอบนโปเลียนล่มสลายไปหลังจบสงครามฝรั่งเศสปรัสเซีย โดยหลังจบสงครามฝรั่งเศสปรัสเซียก็ได้นำมาซึ่งการรวมชาติเยอรมัน ทำให้จากเพื่อนบ้านที่มีแตกเป็นประเทศเล็ก ๆ ก็กลายมาเป็นประเทศใหญ่ประเทศเดียว
เพื่อนบ้านน้อยลงย่อมแปลว่าภัยคุกคามน้อยลง และอย่างที่ทุกที่เป็น เมื่อความสงบสุขมาเยือน ก็นำมาซึ่งการพัฒนาประเทศ ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจรวมไปถึงอุตสาหกรรมทำให้เกิดการขยายตัวของสังคม เกิดคนชนชั้นกลางมากขึ้น และมีรสนิยมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับฐานะของตน นี่เองที่ทำให้ “การสร้างสรรค์” กลายเป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นที่ฝรั่งเศสอยากนำมาเสนอในนิทรรศการโลกครั้งนี้
มีฮอลล์จัดแสดงงานวิจิตรศิลป์ขนาดมหึมา รวมไปถึงหนึ่งในสิ่งที่ได้มีการสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่เป็นแลนด์มาร์กถาวรขนาดใหญ่ใจกลางปารีสอย่าง “หอไอเฟล” ตลอดจนมีโซนจัดแสดงวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองในระเทศอาณานิคม (สวนสัตว์มนุษย์) ด้วยเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญทางวัฒนธรรมทั้งของฝรั่งเศส และของดินแดนอื่น ๆ ในนิทรรศการโลกปี 1889
จะบอกว่าหอไอเฟลกลายมาเป็นมรดกจากการนิทรรศการโลกที่ปารีสในปีนั้นก็ไม่ผิดนัก ยุคสวยงามอยู่ได้ไม่นานก็มาถึงกาลสิ้นสุด ฝรั่งเศสไม่ได้เป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมเหมือนแต่ก่อน ทว่าในด้านวัฒนธรรมนั้นก็ถือว่าเยี่ยมยอด เพราะเป็นสิ่งที่ฝรั่งเศสก็ภูมิใจนำเสนอในงานนิทรรศการโลกที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพแทบทุกปี หอไอเฟลมันก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมหาศาลให้เดินทางมาเยือนฝรั่งเศสในฐานะ “เมืองแห่งวัฒนธรรม” แทน
⭐ไฟฟ้านำพาชีวิต : นิทรรศการโลกชิคาโก 1893
งานนิทรรศการโลกหวนกลับคืนสู่อเมริกาอีกครั้งหนึ่งก็ในปี 1893 เป็นเรื่องน่าสนใจที่ทุกงานนิทรรศการโลกที่สหรัฐอเมริกาจัดตลอดศตวรรษที่ 19 ชอบที่จะจัดเพื่อเป็นเนื่องในโอกาสครบรอบหรือฉลองอะไรสักอย่างอยู่เสมอ ที่ฟิลาเดลเฟียจัดเพื่อฉลอง 100 ปีประกาศอิสรภาพ ที่หลุยส์เซียนาจัดเพื่อฉลอง 100 ปี การซื้อรัฐหลุยส์เซียนา เป็นต้น สำหรับในปี 1893 ที่ชิคาโกนี้ก็นับว่าเป็นงานใหญ่ เพราะฉลองครบรอบ 400 ปี ที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกา
ในเมื่อเป็นการฉลองใหญ่ ทำให้หลาย ๆ เมือง หลาย ๆ รัฐแข่งกันแย่งเป็นเจ้าภาพ ที่ซึ่งชาคาโกได้รับชัยชนะ และได้ชื่อว่าเป็นงานนิทรรศการโลกที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมา (ในขณะนั้น) ด้วยพื้นที่กว่า 290 เฮกเตอร์ แล้วก็เป็นงานฉุกละหุก โดยมีแนวคิดการจัดง่าย ๆ คือจัดเมืองยังไงให้งาม ซึ่งก็ได้มีการปรับภูมิทัศน์เหมือนสร้างเมืองใหม่เพื่อให้สามารถรับรองนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม เป็นการออกแบบพื้นที่สาธารณะที่มีประสิทธิภาพ
นิทรรศการโลกที่ชิคาโกเป็นอะไรที่ทำมาเพื่อหวังจะรีดเงิน ในเมื่องานใหญ่ก็ทำให้ต้องหาวิธีทำเงิน แต่จะทำยังไงล่ะ? ก็สร้างสถานบันเทิงขึ้นมาสิ ซึ่งมีทั้งการแสดง ไปจนถึงเครื่องเล่นที่ใคร ๆ ก็รู็จักกันอย่างชิงช้าสวรรค์ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในงานนิทรรศการโลกปีนี้ และเป็นแบบแผนของการมีโซนบันเทิงในงานนิทรรศการโลกด้วย ซึ่งชิงช้าสวรรค์นี้เป็นจุดเด่นที่ทำให้ชิคาโกไม่ขาดทุน
1
นอกจากความบันเทิงผ่านเครื่องเล่นแล้ว ก็ยังมีอาหารจำนวนมากที่เกิดขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกของผู้ชม เป็นอะไรที่เน้นเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก หรือแม้แต่สิ่งที่นำมาจัดแสดงก็มักจะเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์เราได้ใช้กันแน่นอน
ที่สำคัญเลยก็คือไฟฟ้า ซึ่งนิทรรศการโลกครั้งนี้มีส่วนสำคัญในการปลูกฝัง และสร้างความรู้สักเกี่ยวกับไฟฟ้าให้ผู้คนทั่วไปได้รู้และรับไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย เป็นการสร้างอุปสงค์ขึ้นมาซึ่งจะทำให้มนุษย์เรารู้จักที่จะใช้ไฟฟ้ากันมาขึ้นหลังนิทรรศการโลกในครั้งนี้
⭐Fly me to the moon : นิทรรศการโลกซีแอตเทิล 1962
ในทางประวัติศาสตร์ของงานนิทรรศการโลก เราจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงหลัก ๆ
ช่วงที่หนึ่งคือตั้งแต่ปี 1861-1938 เป็นยุคอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นไปที่การโชว์เทคโนโลยีเจ๋ง ๆ ให้ดู ช่วงที่สองคือตั้งแต่ปี 1939 ถึงปี 1987 ที่เรียกว่ายุคแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่มนุษย์ได้ให้ความสนใจกับการนำเอาเทคโนโลยีนั้นไปใช้งานในแง่ของการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมมนุษย์ และช่วงที่สามคือตั้งแต่ 1988-ปัจจุบันเป็นยุคสร้างภาพลักษณ์ประเทศ ที่ซึ่งประเทศต่าง ๆ จะนำเอาความเป็นประเทศของตนเองที่ภาคภูมิใจมาโชว์ว่ามีอะไรที่เป็นสินค้าของประเทศตัวเอง เอามาให้คนได้รู้จักกัน
ช่วงที่ 2 นี้มีความน่าสนใจ เพราะส่วนหนึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ในครั้งแรก ๆ ของช่วงที่สอง เช่นที่เฮติ หรือที่บรัสเซลล์ เป็นเรื่องที่ยังคงชูเกี่ยวกับสันติภาพอยู่ จนกระทั่งเข้าสู๋ช่วงสงครามเย็นที่ก็ได้มีนิทรรศการโลกอีกครั้งหนึ่งที่น่าสนใจอย่างที่ซีแอตเทิล
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงก็นำมาสู่อีกสงครามหนึ่งที่มีชื่อว่าสงครามเย็น ที่ซึ่งจะนำมาสู่ก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอย่าง “การแข่งขันทางอวกาศ”
สงครามเย็น สหรัฐฯกับโซเวียตไม่ได้รับกันตรง ๆ แต่เป็นการรบกันผ่านสงครามตัวแทนและการรบกันด้วยเทคโนโลยี สหรัฐฯ พยายามสู่กับโซเวียตทางด้านอวกาศมาหลายครั้ง ซึ่งรัสเซียก็เป็นฝ่ายนำในหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตแรกนอกโลก และมนุษย์คนแรกนอกโลก สหรัฐจึงต้องการที่จะสู้ด้วยสิ่งที่เหนือกว่านั้น ซึ่งอย่างที่เราทราบกันก็คือมันนำมาซึ่งมนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์
นิทรรศการโลกที่ซีแอตเทิลนี้ มาในธีมอวกาศ ซีแอตเทิลมีความข้องเกี่ยวกับด้านอวกาศนิด ๆ หน่อย ๆ ผ่านการเป็นที่ตั้งของบริษัทการบินสำคัญอย่างโบอิ้ง งานนี้ไม่ได้สำเร็จอะไรมากมาย ผู้ชมแค่สิบล้านคน กำไรก็ไม่เยอะ แต่ถึงอย่างนั้นมันได้สร้างภาพลักษณ์ของซีแอตเทิลในฐานะของเมืองแห่งนวัตกรรม มีภูมิทัศน์ดี น่าอยู่
ซึ่งการจัดงานครั้งนี้อาจจะไม่ได้สร้างแรกกระเพื่อมมากมายในระดับที่คนทั้งโลกอยากมา แต่สำหรับเมืองซีแอตเทิลแล้ว มันได้วางรากฐานทางอนาคตให้กับพวกเขา และสำหรับอเมริกาเองมันก็เป็นการเติมเชื้อไฟเล็ก ๆ ที่นำมาซึ่งชัยชนะในความสำเร็จทางการสำรวจอวกาศ
⭐ปาฎิหาริย์แห่งญี่ปุ่น : นิทรรศการโลกโอซาก้า 1970
ยุโรปก็เคยจัดแลว อเมริกาก็เคยจัดแล้ว ออสเตรเลียก็เคยจัดเหมือนกัน และแล้วก็ได้เวลาที่เอเชียจะเฉิดฉายในฐานะของเจ้าภาพนิทรรศการโลกกันบ้าง
แน่นอนว่าปรมาณูสันติภาพจากสงครามโลกครั้งที่สองได้สร้างรออยช้ำใหญ่ให้กับญี่ปุ่น แคต่ถึงอย่างนั้นไม่นานนักญี่ปุ่นก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างรวดเร็วราวกับปาฏิหาริย์ และมีจำนวนผู้เข้าชมงานสูงกว่า 64 ล้านคน มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ (โดนทุบสถิติโดยเซี่ยงไฮ้ปี 2010)
การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของญี่ปุ่น แน่นอนว่ามันมาจากอุตสาหกรรม ที่ซึ่งมีการฟื้นฟูเป็นขนานใหญ่เพื่อทำการส่งออกสินค้า ตลอดมีการพยายามให้ผู้หญิงสามารถทำอาชีพแรงงานช่วยสร้างประเทศใหม่ได้ไม่ต่างจากผู้ชาย วินัยและการทำงานหนักที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์ของชาวญี่ปุ่นนี่เองที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างปาฏิหาริย์ครั้งนี้ของพวกเขาขึ้นมา พวกเขาใช้หลายวิธีการในการประกาศบอกถึงการกลับมาของพวกเขาไมว่าจะเป็นโอลิมปอก ปี 1964 หรืองานนิทรรศการโลกที่โอซาก้าในปี 1970 ก็ตาม
โอซาก้าเป็นเมืองการค้าที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของภูมิภาคคันไซ และเป็นตัวแทนของความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจจึงไม่น่าแปลกใจถ้าพวกเขาจะเลือกให้นิทรรศการโลกครั้งแรกในเอเชียจัดขึ้นที่นี่ มันเป็นงานที่แสดงความเฟื่องฟูของการฟื้นเศรษฐกิจหลังสงครามของญี่ปุ่น และเป็นการแสดงอะไรใหม่ ๆ อย่างสถาปัตยกรรมแปลกตาที่ไม่เจอในฝั่งยุโรปอย่างสถาปัตยกรรมแบบเมตาบอลิซึมที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมเอาไว้ได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือนิทรรศการโลกครั้งนี้เป็นการประกาศการเข้าสู่ยุคใหม่อย่าง “ยุคคอมพิวเตอร์” ด้วย
เทคโนโลยีก้าวไปไกลเกินจินตนาการ ที่โอซาก้านี้มีศาลาจัดแสดงทั้งคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึงหุ่นยนต์ ซึ่งเป)็นการแสดงถึงความเป็นเจ้าพ่อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในยุคแรกเริ่มได้ด้วย มันจึงเป็นนิทรรศการที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ และแล้วกว่า 55 ปีผ่านไป งานนิทรรศการโลกก็ได้หวนกลับคืนมาสู่โอซาก้าอีกครั้งหนึ่ง
⭐แด่อนาคตแห่งมนุษยชาติ : นิทรรศการโลกโอซาก้า 2025
ในนิทรรศการโลกโอซาก้าปีนี้ มาในธีมของ “ออกแบบสังคมอนาคตเพื่อชีวิตของเราในภายหน้า” โดยมีธีมย่อยและแนวคิดของงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของมนุษย์มากขึ้น รวมไปถึงการพยายามที่จะสร้างสังคมที่ SDGs ขององค์การสหประชาชาติคาดหวังไว้เกี่ยวกับในเรื่องของความยั่งยืน ซึ่งตั้งเป้าหมายนี้เอาไว้ตั้งแต่ปี 2015 และหวังว่าจะสำเร็จภายนปี 2030 ทำให้ปี 2025 เป็นปีที่ควรแก่การพยายามเร่งให้เป้าหมายของสหประชาชาติบรรลุผล
งานนิทรรศการโลกครั้งสำคัญ ๆ ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เราได้กล่าวถึงไปในข้างต้นได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของนิทรรศการโลกที่มีต่อเจ้าภาพในหลาย ๆ รูปแบบ โดยรูปแบบหลักที่ชัดเจนก็คงหนีไม่พ้นการพยายามแสดงถึงอำนาจของประเทศเจ้าภาพในฐานะของผู้นำในด้านต่าง ๆ หรือไม่ก็เป็นการบ่งบอกถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็ล้วนแต่ผ่านเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มามากมายกว่าที่พวกเขาจะสามารถระสบความสำเร็จและรุ่งเรืองขึ้นมาได้ในด้านต่าง ๆ
อย่างไรก็ดี นิทรรศการโลกก็มีพัฒนาการเรื่อยมา จากที่มองแค่เรื่องของตัวเอง ก็เริ่มมองที่เรื่องของรอบข้างมากขึ้น และนำมาซึ่งการพยายามแสวงหาความรุ่งเรืองของมนุษยชาติขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกจัดแสดงในนิทรรศการโลกจำนวนไม่น้อยถูกมนุษย์เรารับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน นิทรรศการโลกเป็นเหมือนหนึ่งเครื่องมือที่แสดงถึงความก้าวหน้าของมนุษยชาติที่มีแต่จะเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมอย่างไม่สิ้นสุด
1
เรื่อง : ณัฐรุจา งาตา
ภาพประกอบ : บริษัท ก่อการดี จำกัด
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
#ประวัติศาสตร์ #งานนิทรรศการโลก #WorldExpo2025 #อุตสาหกรรม #สังคม #เศรษฐกิจ #Bnomics #BBL #BangkokBank #ธนาคารกรุงเทพ
อ้างอิง:
ลิทเทิลธอทส์. World Expo Revisited ย้อนรอยประวัติศาสตร์ยุคอุตสาหกรรมผ่านงานนิทรรศการโลก. กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2567.
Yuko, Elizabeth. How Early World Fairs Put Industrial Revolution Progress on Display. history.com
Wong, Grant. The Rise and Fall of World’s Fairs. Smithsonian Magazine.
Young, Patrick. “From the Eiffel Tower to the Javanese Dancer: Envisioning Cultural Globalization at the 1889 Paris Exhibition.” The History Teacher 41, no. 3 (2008): 339–62. http://www.jstor.org/stable/30036916.
“THE CHICAGO WORLD’S FAIR.” Scientific American 63, no. 5 (1890): 70–71. http://www.jstor.org/stable/26100731.
EXPO’70 Commemorative Park. About Expo ’70 in Osaka.
OSBORNE, ANETTA M. “THE FIRST WORLD’S FAIR.” The Journal of Education 36, no. 14 (889) (1892): 231–231. http://www.jstor.org/stable/44037153.
Cordato, Mary Frances. “Toward a New Century: Women and the Philadelphia Centennial Exhibition, 1876.” The Pennsylvania Magazine of History and Biography 107, no. 1 (1983): 113–35. http://www.jstor.org/stable/20091742.
Brown, W. Burlie. “Louisiana and the Nation’s First One-Hundredth Birthday.” Louisiana History: The Journal of the Louisiana Historical Association 18, no. 3 (1977): 261–75. http://www.jstor.org/stable/4231691.
Findlay, John M. “The Off-Center Seattle Center: Downtown Seattle and the 1962 World’s Fair.” The Pacific Northwest Quarterly 80, no. 1 (1989): 2–11. http://www.jstor.org/stable/40491017.
Stanard, Matthew G. “Belgium, the Congo, and Imperial Immobility: A Singular Empire and the Historiography of the Single Analytic Field.” French Colonial History 15 (2014): 87–110. https://doi.org/10.14321/frencolohist.15.2014.0087.
“Nuclear Clock at Brussels World’s Fair.” Science 126, no. 3263 (1957): 66–66. http://www.jstor.org/stable/1753449.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา