18 เม.ย. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
เมียนมาร์ (พม่า)

ประเทศเมียนมาร์ ตอนที่ 3 ตอกย้ำรอยร้าว

การที่เราจะเข้าใจถึง.. เรื่องราวความขัดแย้งในอดีตที่ผ่านมาระหว่างชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดใน “สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา” ซึ่งก็คือ พม่ากับชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น ไทใหญ่ กะเหรี่ยง หรือชาติพันธุ์อื่น ๆ รวมประมาณ 7 กลุ่มใหญ่ๆ นั้น เป็นไปได้ยาก จึงต้องอาศัยช่วงเวลาที่ตัวแปรสำคัญของบริบทโลก และการออกล่าอาณานิคมของจักรวรรดินิยม ทั้งที่เป็นอังกฤษก็ดี หรือญี่ปุ่นก็ดี มาช่วยทำให้เรามองเห็นภาพได้ชัดขึ้น ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ครบถ้วนนักก็ตาม
ดังนั้น.. ตอนนี้เราขอพูดถึงประเทศเมียนมาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริบทสำคัญของโลก คือ ช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ซึ่งแน่นอนว่า ณ เวลานั้น “บริติช เบอร์ม่า ” ได้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ในขณะเดียวกันจักรวรรดิที่อยู่ทางตะวันออกไกลอย่าง “จักรวรรดิญี่ปุ่น” ก็ได้เริ่มแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลของพวกเขาขึ้นมา
1
ขอเริ่มต้นไปที่การขยายอำนาจของจักรวรรดิญี่ปุ่นกันก่อน โดยที่นอกเหนือไปจากการสร้างกองทัพให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งเสริมแสนยานุภาพด้วยอาวุธอันทันสมัยในเวลานั้นแล้ว พวกเขายังสามารถเอาชนะ ”จักรวรรดิรัสเซีย“ ได้ในสงครามที่มีชื่อว่า “ยุทธนาวีช่องแคบสึชิมะ“
ภาพวาดการสู้รบในยุทธนาวีช่องแคบสึชิมะ
นับเป็นการรบทางทะเลครั้งสุดท้ายของสงครามรัสเซีย~ญี่ปุ่น จึงทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นชาติแรกในเอเซียที่เอาชนะเหนือฝรั่งขาวได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเลยสำหรับประเทศผู้สังเกตการณ์ต่างๆ และจากสงครามครั้งนี้เอง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงสมดุลของขั้วอำนาจโลกครั้งใหญ่ ทำให้ญี่ปุ่นก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทนรัสเซียทันที
หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1931 ญี่ปุ่นได้เข้ารุกรานมณฑลเหลียวหนิง และสถาปนารัฐหุ่นเชิด แมนจูกัวทางตอนเหนือของจีน และมีการขยายแสนยานุภาพ เข้าไปในจีนอย่างเต็มกำลังในอีก 6 ปีต่อมา คือ ปี ค.ศ.1937 ด้วยการรุกรานเซี่ยงไฮ้ และหนานจิง
ณ เวลานั้นถือได้ว่า.. ประเทศจีนส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น แต่เป้าหมายสำคัญของจักรวรรดิญี่ปุ่นไม่ใช่แค่จีนเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมองไกลไปถึงเมืองในอาณัติของจักรวรรดิอังกฤษ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ด้วย
1
เพราะพื้นที่แถบนี้อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และถ้าสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้นในยุโรปจริง ก็ย่อมแน่นอนว่า.. ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์นั้น คงไม่สามารถกระจายกำลังพลของพวกเขากลับมาบริหารจัดการเหล่าอาณานิคมในภูมิภาคนี้ได้ทันท่วงที
แผนที่โลกแสดงอาณานิคมหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติเมื่อ ค.ศ. 1945 หลังจากนั้นไม่นาน หลายประเทศได้เรียกร้องเอกราช นำไปสู่การจัดตั้งอิสราเอล ตลอดจนการปลดปล่อยอาณานิคมในเอเชียและแอฟริกา
ที่สำคัญคือ จักรวรรดิญี่ปุ่น ก็มองออกด้วยว่า.. ถ้าหากสหรัฐอเมริกายังคงทำตัวเป็นหลังพิง และให้การสนับสนุนกับ 3 ชาติมหาอำนาจเหล่านี้ต่อไปนั้น คงเป็นการยากสำหรับญี่ปุ่น ที่จะขยายอำนาจของตนเข้ามาในพื้นที่เอเชียอาคเนย์ได้สำเร็จ ดังนั้นญี่ปุ่นจึงตัดสินใจ วางแผนรอคอย หาโอกาสเหมาะในการตัดกำลังของสหรัฐอเมริกาลง เพื่อไม่ให้มีโอกาสสนับสนุนเหล่าพันธมิตรในยุโรปได้อีก
และก่อนที่ญี่ปุ่นจะเดินหน้าในการบุกเข้ายึดพื้นที่อาณานิคมเหล่านั้น พวกเขาจำเป็นจะต้องมีกำลังหนุนขึ้นมาจากคนท้องถิ่นในอาณานิคมเหล่านั้นซะก่อน โดยที่ทางการญี่ปุ่นได้มีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ของตัวเองเข้าไปแทรกซึมอยู่ภายในบรรดาอาณานิคมที่เป็นเป้าหมายเหล่านั้น
ด้วยการสร้างแนวร่วม ขบวนการชาตินิยมจากคนท้องถิ่นที่เตรียมการต่อสู้ ต่อต้าน จักรวรรดินิยมชาติยุโรปกันอยู่แล้ว และสำหรับในพม่านั้น ญี่ปุ่นได้ส่ง “ซูซูกิ เคจิ” ที่เบื้องหน้าชายคนนี้เป็นนักข่าว แต่เบื้องหลังคือ เป็นสายลับของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น มีหน้าที่เข้าไปแทรกซึมเพื่อคอยสอดส่องดูว่า.. มีแกนนำชาตินิยมคนสำคัญของพม่าคนไหน?? ที่พร้อมจะช่วยจักรวรรดิญี่ปุ่นในการคว่ำอังกฤษได้บ้าง
1
ซูซูกิ เคจิ
โดยในเวลานั้น มีแกนนำที่ต่อต้านจักรวรรดินิยมอังกฤษ ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง เป็นนักศึกษาชาวพม่า 2 คนที่อยู่ในตัวเลือกของเคจิ คือ บุคคลผู้ซึ่งต่อมามีอิทธิพลต่อการเมืองยุคเปลี่ยนผ่าน ท่านแรกมีชื่อว่า “อู้นุ” ส่วนท่านที่สองมีชื่อว่า “อองซาน” ที่ต่อมาก็คือ บิดาของพม่ายุคใหม่ และบิดาของกองทัพพม่า ในวันนี้
และในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง ญี่ปุ่นได้มีการรวบรวมผู้กล้าชาวพม่าจำนวน 30 คน ให้รวมตัวกันฝึกอบรม เพื่อคอยให้การสนับสนุนต่อกลุ่มคนที่จะเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษในวันข้างหน้า ซึ่งในจำนวน 30 คนนี้ นอกจาก “อู้นุ และอองซาน” แล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ต่อไปจะมีบทบาทสำคัญ มีอิทธิพลต่อการเมืองของพม่าในอนาคต เช่น เนวิน เป็นต้น อีกทั้งบุคคลกลุ่มนี้ เรียกรวมกันว่า “30 สหายร่วมรบ” ได้ถูกส่งตัวไปฝึกยังประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1940 โดยเดินทางผ่านจีน ซึ่ง ณ เวลานั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของญี่ปุ่น
2
กลุ่มบุคคล “30 สหายร่วมรบ” นี้ ถูกฝึกอย่างหนักทั้งยุทธวิธี การต่อสู้ทุกรูปแบบ และด้วยเหตุที่อยู่ประเทศญี่ปุ่นนานแรมปี จึงทำให้ อองซาน พร้อมทั้งสหาย สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะฉะนั้น.. จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หลายครั้งหลายหนจะได้เห็นภาพของนายพลอองซาน สวมใส่ชุดของจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่บ่อยๆ ดูได้จากรูปหน้าปก คนที่ยืนข้างๆคือ ภรรยาชื่อดอว์ คิน จี
ภาพของ เนวิน และ อู้นุ
เพราะการร่วมมือกันของทั้ง 2 ฝ่ายคือ การสมประโยชน์ร่วมกัน ในช่วงเวลาดังกล่าว อองซาน พร้อมสหายได้ใช้พื้นที่ ไม่ว่าเป็นในจีนเองก็ดี หรือว่าในไทยก็ดี ในการที่จะรวบรวมกำลังและวางแผนในการเรียกร้องเอกราชของพม่าจากอังกฤษ โดยที่มีญี่ปุ่นนั้นเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ให้ด้วย
ทีนี้เราหันกลับมามองอีกด้านหนึ่งกันบ้าง โดยก่อนที่จะเปิดฉากปฏิบัติการนั้น ญี่ปุ่นเองก็รู้และตระหนักดีว่า.. สหรัฐอเมริกานั้น เป็นหลังพิงที่สำคัญของอังกฤษ ฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์มาตลอด ดังนั้นในช่วงเช้าของวันที่ 7 ธันวาคม ปี ค.ศ.1941 ก็คือ วันที่ญี่ปุ่นเปิดฉากรุกรานโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ฐานทัพเรือสหรัฐ ดินแดนฮาวาย
ซึ่งการโจมตีในครั้งนี้ มีเจตนาเป็นปฏิบัติการป้องกันเพื่อไม่ให้กองเรือแปซิฟิกของสหรัฐ เข้าไปแทรกแซงปฏิบัติการทางทหารของจักรวรรดิญี่ปุ่น และถือเป็นการเปิดฉากการเข้ายึดครองอาณานิคมต่างๆ ของจักรวรรดินิยมยุโรปในเอเชียอาคเนย์อย่างเป็นทางการด้วยเช่นกัน
และในวันเดียวกันนั้นเอง ต่างกันแค่คนละช่วงเวลาคือ ที่ฮาวายจะเป็นเช้าวันที่ 7 ธันวาคม แต่ในไทยจะเป็นคืนวันที่ 8 เวลากลางคืน ประมาณตี 1 กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บริเวณชายฝั่งของอ่าวไทยตามแนวของคอคอดกระ อ่าวมะนาว
ภาพการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ และการยกพลขึ้นบกที่ประเทศไทย
โดยมีการติดต่อไปทางกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เพื่อให้ไทยนั้นเปิดทางให้กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น เข้าไปรุกรานบริติช เบอร์ม่า แต่ยังไม่มีการออกคำสั่งใดๆ จากผู้บังคับบัญชาและรัฐบาล ทหารไทยจึงได้ต่อสู้ปกป้องอธิปไตยอย่างอาจหาญ
แต่หลังจากสู้รบไประยะเวลาหนึ่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ออกคำสั่งหยุดยิงในเช้าวันต่อมา โดยทหารไทยเสียชีวิต 42 นาย บาดเจ็บ 27 นาย และทหารญี่ปุ่น เสียชีวิต 417 นาย บาดเจ็บมากกว่า 300 นาย ไทยเรียกการศึกครั้งนี้ว่า “ยุทธการที่ประจวบคีรีขันธ์”
1
และในกรอบเวลาเดียวกันนั้น ทางฝั่งพม่า อองซาน พร้อมทั้งสหายร่วมรบ ได้มีการรวบรวมทหารชาติพันธุ์พม่า 3500 นาย รวมตัวจัดเป็นกองทัพเอกราชพม่า (Burma Independence Army BIA) ประจำการรอท่าอยู่แล้ว ตรงบริเวณแนวตะเข็บชายแดนไทยพม่า ซึ่ง ณ เวลานั้นรัฐบาลไทย กับรัฐบาลญี่ปุ่น มีความเข้าใจในสัมพันธภาพอันดีต่อกันแล้ว รวมถึงพร้อมที่จะเข้าไปเสริมกำลังญี่ปุ่นในการเข้าไปต่อต้านจักรวรรดิอังกฤษในบริติช เบอร์ม่าด้วย
แผนที่แนวรบพม่า แสดงถึงความขัดแย้งระหว่าง ญี่ปุ่น-ไทย และ สัมพันธมิตร
ท่ามกลางยุคดังกล่าวนี้เอง ที่ญี่ปุ่นได้เข้ามาปกครองพม่านั้นกินเวลาประมาณ 4 ปี ก็คือปี ค.ศ.1942 ~ ค.ศ.1945 สถานการณ์ของพม่าในเวลานั้น จึงเป็นการต่อสู้กันของ 2 ฝ่าย ได้แก่ ขบวนการชาตินิยมพม่าต่อต้านอังกฤษ ที่มีการจับมือร่วมกับญี่ปุ่น เป็นฝ่ายหนึ่ง และอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คือ ฝ่ายอังกฤษที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติพันธุ์ต่างๆ ดังนั้นจึงแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน
1
เมื่อเรามาถึงตรงนี้จุดนี้แล้ว ทุกคนก็คงจะรู้ว่า.. รอยร้าวของชาติพันธุ์พม่า และชาติพันธุ์ต่างๆ นั้น ได้ถูกตอกย้ำอีกครั้งอย่างรุนแรงท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอองซานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีสงครามของพม่า โดยมี ดร.บามอ(Dr. Ba Maw)เป็นนายกรัฐมนตรีของพม่าภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิญี่ปุ่น
1
และดร.บามอ ผู้นี้ ท่านเป็นลูกครึ่งมอญกับพม่า ในมิติของการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชก็ส่วนหนึ่ง แต่ในส่วนมิติการปฏิสัมพันธ์ของพม่า กับชาติพันธุ์อื่นๆ นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยากจะทำใจ ตัวอองซานเองก็ได้ใช้กำลังทหารในการกวาดล้างชาวกะเหรี่ยง เพราะมองว่า.. ที่ผ่านมาชาวกระเหรี่ยงได้สนับสนุน ช่วยเหลือเข้าข้างฝ่ายอังกฤษมาตลอด
ดร.บามอ(Dr. Ba Maw)
ในช่วงที่อังกฤษปกครองพม่าอยู่นั้น ชาวกะเหรี่ยงคริสต์ก็ได้ปฏิบัติทารุณกรรมต่อชาวพม่าที่เป็นพุทธ อย่างที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่า.. ชาวกะเหรี่ยงที่เป็นชนชั้นนำในเวลานั้นเข้ารีตเป็นคริสต์ศาสนิกชนไปแล้ว
ดังนั้น.. นี่จึงเป็นอีกหนึ่งข้อ ที่อองซาน และขบวนการชาตินิยมพม่าใช้เป็นข้ออ้างในการที่จะตอบโต้ชาวกะเหรี่ยงในภาวะที่ญี่ปุ่นเดินหน้าเข้ามาขยายอิทธิพลในพม่า ครั้นเมื่อชาวพม่า ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกกดขี่โดยจักรวรรดิเดิม ได้รับอำนาจจากจักรวรรดิใหม่ที่เข้ามาแทนที่ จึงทำให้ขั้วอำนาจในเมียนม่า ต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้บ้าง โปรดติดตามได้ในตอนหน้าครับ
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 3 ตอกย้ำรอยร้าว
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา