Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 13:30 • สุขภาพ
ไขข้อข้องใจยอดฮิตจาก "หมอกูเกิล" เภสัชกรชวนคุยเรื่องสุขภาพที่ควรรู้
ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยมีประสบการณ์สงสัยเรื่องสุขภาพแล้วอดไม่ได้ที่จะลองค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตใช่ไหมครับ เดี๋ยวนี้แค่ปลายนิ้วคลิก เราก็เข้าถึงข้อมูลสุขภาพมากมายได้ง่ายๆ จนบางครั้งเราเรียกแหล่งข้อมูลเหล่านี้ติดปากว่า "หมอกูเกิล" ซึ่งก็มีทั้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์และข้อมูลที่อาจทำให้เราเข้าใจผิดหรือวิตกกังวลเกินเหตุได้
ในฐานะเภสัชกร ผมพบเจอคำถามที่เกิดจากการค้นข้อมูลออนไลน์เหล่านี้อยู่เสมอ วันนี้ผมเลยอยากหยิบยกประเด็นยอดฮิตที่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้รวบรวมและให้คำตอบไว้ มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อที่เราจะได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพ ไม่ต้องเสียเงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือเสี่ยงกับข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ พร้อมแล้วไปดูกันเลยครับว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
1. วิตามินและอาหารเสริม จำเป็นจริงหรือแค่เสียเงินเปล่า?
คำถามยอดฮิตอันดับต้นๆ ที่ผมมักเจอคือเรื่องวิตามินและอาหารเสริมต่างๆ โดยเฉพาะพวกวิตามินรวม แคลเซียม หรือวิตามินดี ว่าเราควรทานเสริมไหม
วิตามินรวม (Multivitamins) ดร. เอริน มิคอส (Dr. Erin D. Michos) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า จากการวิเคราะห์งานวิจัยขนาดใหญ่ 18 ชิ้น ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 2 ล้านคน พบว่าการทานวิตามินรวมหรือแร่ธาตุเสริมเป็นประจำ ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดแต่อย่างใด และก็ไม่ได้ก่อให้เกิดโทษเช่นกัน สรุปง่ายๆ คือ อาจจะไม่คุ้มค่าเงินที่เสียไปนั่นเองครับ
1
แคลเซียม (Calcium) หลายคนเชื่อว่าต้องทานแคลเซียมเสริมเพื่อกระดูกที่แข็งแรง แต่ ดร. มิคอส กลับชี้ให้เห็นว่า มีงานวิจัยบางชิ้นที่บ่งชี้ว่าการทานแคลเซียมเสริมอาจ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน พบว่าการทานแคลเซียมเสริมสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น 15% และโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น 16%
1
แคลเซียม + วิตามินดี (Calcium + Vitamin D) แล้วถ้าทานคู่กันล่ะ? จากการศึกษาในโครงการ Women's Health Initiative พบว่าการทานแคลเซียมคู่กับวิตามินดี ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องกระดูกหัก โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือมะเร็ง เลยครับ แถมยังพบว่ามีความเสี่ยง เกิดนิ่วในไตเพิ่มขึ้นถึง 17% อีกด้วย
1
วิตามินดี (Vitamin D) แม้แต่วิตามินดีเดี่ยวๆ จากการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดอย่าง VITAL trial ที่ให้ผู้เข้าร่วมกว่า 25,000 คน ทานวิตามินดีในขนาดสูงถึง 2000 IU ต่อวัน ก็ยังพบว่า ไม่มีผลในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือมะเร็ง อย่างมีนัยสำคัญ
1
แล้วเราควรทำอย่างไร? คำแนะนำคือ พยายามรับแคลเซียมและวิตามินดีจากอาหารที่เราทานในชีวิตประจำวันจะดีที่สุดครับ
แคลเซียม พบมากในผักใบเขียว ถั่วต่างๆ และมะเดื่อฝรั่ง (Figs) โดยผู้ใหญ่ทั่วไปต้องการประมาณ 1000 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป ต้องการ 1200 มิลลิกรัมต่อวัน
1
วิตามินดี ร่างกายสร้างเองได้เมื่อได้รับแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้า หรือทานปลาแซลมอน
1
หากจำเป็นต้องทานแคลเซียมเสริมจริงๆ ควรเลือกทานใน ปริมาณน้อยๆ (ไม่เกิน 500 มิลลิกรัม) เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น สรุปคือ อย่าเพิ่งรีบซื้อวิตามินรวมหรือแคลเซียมเสริมทานเอง ลองเน้นทานอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลายก่อนดีกว่าครับ
2
2. เรื่องวุ่นๆ ของ "อาหาร" เลือกกินอย่างไรให้ใจแข็งแรง?
อีกเรื่องที่คนมักค้นหาคือเรื่อง "อาหาร" โดยเฉพาะเทรนด์การกินแบบต่างๆ ว่าแบบไหนดีต่อสุขภาพจริงๆ
ดร. ดาริอุช โมซัฟฟาเรียน (Dr. Dariush Mozaffarian) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและผู้อำนวยการสถาบัน Food is Medicine แนะนำมุมมองใหม่ที่น่าสนใจครับ แทนที่เราจะคอยจ้องจับผิดว่า "ห้ามกิน" ไขมัน น้ำตาล หรือเกลือ ปัญหาที่แท้จริงอาจอยู่ที่เรา "กินของดีไม่พอ" ต่างหาก
ท่านแนะนำให้เราเปลี่ยนโฟกัสจากการ "เลิกกิน" มาเป็นการ "กินเพิ่ม" อาหารที่ดีมีประโยชน์แทน ลองแบ่งอาหารเป็น 3 กลุ่มง่ายๆ ครับ
2
1. อาหารที่ควรเน้นทาน (Protective Foods) กลุ่มนี้คือพระเอกเลยครับ ได้แก่ ผลไม้ ถั่วต่างๆ ปลา ผัก น้ำมันพืชดีๆ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และโยเกิร์ต อาหารกลุ่มนี้มักผ่านการแปรรูปน้อย มีใยอาหารสูง และมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงจุลินทรีย์ดีในลำไส้ของเรา
1
2. อาหารที่ทานได้แต่พอดี (Foods to Eat in Moderation)
3. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง (Foods to Avoid)
แล้วอะไรคือตัวร้ายที่แท้จริง? ดร. โมซัฟฟาเรียน ชี้เป้าไปที่ "แป้ง" โดยเฉพาะแป้งขัดขาวและข้าวขาว ถือเป็นปัญหาใหญ่ในอาหารยุคปัจจุบัน และสิ่งที่แย่ที่สุดคือ "อาหารแปรรูปขั้นสูง" (Ultra-processed Foods) ที่มักจะอุดมไปด้วย แป้ง น้ำตาล และเกลือ ท่านย้ำว่า ตัวการหลักคือ แป้ง+น้ำตาล+เกลือ ไม่ใช่แค่ไขมัน+น้ำตาล+เกลือ อย่างที่เราอาจเคยเข้าใจ
น่าตกใจที่ ดร. โมซัฟฟาเรียน ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อัตราโรคอ้วนในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้น ทั้งๆ ที่ปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคโดยรวมไม่ได้เปลี่ยน และคนก็ออกกำลังกายมากขึ้นด้วยซ้ำ ท่านเชื่อว่าสาเหตุสำคัญคือ การบริโภคอาหารแปรรูปขั้นสูงที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
คำแนะนำจากผม ลองปรับจากการพยายาม "ตัด" ของที่ไม่ดีออกทั้งหมด มาเป็นการค่อยๆ "เพิ่ม" อาหารในกลุ่ม Protective Foods เข้าไปในแต่ละมื้อดูนะครับ เช่น เพิ่มผลไม้เป็นของว่าง เพิ่มถั่วในสลัด หรือเลือกทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว อาจจะง่ายและยั่งยืนกว่าการหักดิบเลิกกินของโปรดไปเลยก็ได้ครับ
3. เทสโทสเตอโรน ฮอร์โมนเสริมพลังชาย...อันตรายต่อใจหรือไม่?
1
สำหรับคุณผู้ชายหลายท่าน หรือคนที่มีคนใกล้ตัวเป็นผู้ชาย อาจเคยได้ยินหรือสนใจเรื่องการใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเสริม คำถามคือ มันจำเป็นและปลอดภัยจริงไหม? โดยเฉพาะกับหัวใจของเรา
1
ดร. สตีเวน นิสเซน (Dr. Steven Nissen) ประธานแผนกอายุรศาสตร์โรคหัวใจแห่ง Cleveland Clinic แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้เทสโทสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้นนอกเหนือข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ท่านให้ข้อมูลที่น่าตกใจว่า จากข้อมูลที่เคยรวบรวม พบว่า ประมาณ 20% ของผู้ชายที่ใช้เทสโทสเตอโรน ไม่เคยได้รับการตรวจวัดระดับฮอร์โมนในเลือดจากแพทย์เลย
ก่อนหน้านี้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) เคยมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดจากการใช้เทสโทสเตอโรน และได้กำหนดให้มีการศึกษาขนาดใหญ่ชื่อว่า TRAVERSE เพื่อหาคำตอบ
ผลการศึกษา TRAVERSE พบว่า ในกลุ่มผู้ที่ใช้เทสโทสเตอโรนภายใต้การดูแลและปรับขนาดยาอย่างเหมาะสม ไม่พบว่ามีอุบัติการณ์ของภาวะร้ายแรงทางหัวใจและหลอดเลือด (Major Cardiovascular Events) เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยา
แต่เดี๋ยวก่อน แม้ผลลัพธ์หลักจะดูไม่น่ากังวล แต่ก็พบ ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่น่าสังเกต ได้แก่
1. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต (Nonfatal Arrhythmias) โดยเฉพาะภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation)
2. ความเสี่ยงต่อภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury) ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
3. ความเสี่ยงกระดูกหักเพิ่มขึ้นถึง 43% ซึ่งสวนทางกับความเชื่อเดิมที่ว่าเทสโทสเตอโรนจะช่วยเรื่องกระดูก
4. มีข้อมูลว่าเทสโทสเตอโรนชนิดฉีด อาจทำให้ ความดันโลหิตสูงขึ้น ประมาณ 3.5 mmHg ซึ่งแม้จะดูเล็กน้อย แต่ในภาพรวมประชากร อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและกล้ามเนื้อหัวใจตายได้
จากผลการศึกษานี้ ล่าสุด FDA ได้ปรับปรุงคำเตือนบนฉลากยา โดย เอาคำเตือนเรื่องความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดออก แต่เพิ่มคำเตือนใหม่เกี่ยวกับความดันโลหิตที่สูงขึ้นแทน
การใช้เทสโทสเตอโรน ไม่ใช่ยาสำหรับการรักษาภาวะเสื่อมตามวัยปกติ จะพิจารณาใช้ก็ต่อเมื่อ มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ชัดเจน คือ ตรวจเลือดตอนเช้า 2 ครั้ง พบว่าระดับฮอร์โมนต่ำกว่า 300 ng/dL ร่วมกับ มีอาการของภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย (Hypogonadism) จริงๆ และที่สำคัญ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ มีการติดตามผลการรักษา และระดับความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) อย่างสม่ำเสมอ หากค่า Hematocrit สูงเกิน 54% ก็จำเป็นต้องหยุดยา
1
ถามผู้รู้ ดีกว่าสู้กับข้อมูลออนไลน์
1
จากทั้ง 3 ประเด็นที่ผมเล่ามา จะเห็นว่าข้อมูลสุขภาพที่เราเจอบนโลกออนไลน์นั้นมีทั้งจริงและไม่จริงปะปนกันไป การเชื่อข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ หรืออาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้โดยไม่รู้ตัว
ครั้งต่อไปที่คุณหรือคนใกล้ชิดมีคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ หรือไปเจอข้อมูลที่น่าสนใจ (หรือน่ากังวล) จาก "หมอกูเกิล" ผมอยากชวนให้ลองหยุดคิดสักนิด ตั้งคำถาม ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นว่าน่าเชื่อถือเพียงใด และที่สำคัญที่สุดคือ นำคำถามหรือข้อสงสัยนั้นมาปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่คุณไว้ใจ เพื่อให้เราได้ช่วยกันพิจารณาข้อมูล ให้คำแนะนำที่ถูกต้อง เหมาะสมกับสุขภาพและภาวะของแต่ละบุคคลจริงๆครับ
1
2
คุณเคยมีประสบการณ์สับสนกับข้อมูลสุขภาพจากอินเทอร์เน็ตบ้างไหมครับ? หรือมีคำถามอื่นๆ ที่อยากให้เภสัชกรช่วยไขข้อข้องใจ ลองแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ
แหล่งอ้างอิง:
Frellick, M. (2025, April 17). Experts Answer Their Top 'Dr Google' Questions. Medscape. Retrieved from the provided PDF document based on
https://www.medscape.com/viewarticle/experts-answer-their-top-dr-google-questions-2025a1000960
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
การแพทย์
22 บันทึก
32
7
29
22
32
7
29
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย