Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
8 ชั่วโมงที่แล้ว • สุขภาพ
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล: มิตรแท้สุขภาพ หรือ แค่ทางเลือกรสหวานที่ต้องระวัง?
อาหารและเครื่องดื่มที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า "น้ำตาลเทียม" มีวางขายกันเกลื่อนกลาดเลยใช่ไหมครับ เรามักจะเห็นคำโฆษณาว่า "แคลอรี่ต่ำ" "ไม่มีน้ำตาล" ทำให้หลายคนรู้สึกว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำตาลจริงๆ โดยเฉพาะคนที่กังวลเรื่องน้ำหนัก หรือมีปัญหาสุขภาพอย่างเบาหวาน
แต่เคยสงสัยกันไหมครับว่า สารให้ความหวานเหล่านี้ดีต่อสุขภาพเราจริงๆ หรือเปล่า? เพราะช่วงหลังมานี้ ก็มีงานวิจัยและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เริ่มตั้งคำถามถึงความปลอดภัยและผลกระทบระยะยาวของสารเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ
บทความนี้ ผมเลยอยากจะชวนทุกคนมาเจาะลึกข้อมูลกันแบบเข้าใจง่ายๆ โดยอิงจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เราตัดสินใจเลือกบริโภคได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยกับสุขภาพของเรามากที่สุดครับ
รู้จักกลไกความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาล
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลทำงานอย่างไรจริงๆ แล้ว สารเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นสารเคมีที่สามารถ "หลอก" ระบบรับรสหวานในปากของเราได้ เมื่อเรากินเข้าไป มันจะไปจับกับตัวรับรสหวานที่ลิ้นเหมือนกับโมเลกุลของน้ำตาลเลย จากนั้นก็ส่งสัญญาณประสาทไปยังร่างกายว่า "เฮ้! ได้รับอาหารหวานๆ ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงแล้วนะ เตรียมย่อยสลายเอาพลังงานไปใช้ได้เลย"
แต่ความแตกต่างสำคัญอยู่ตรงนี้ครับ เวลาเรากินน้ำตาลจริงๆ นอกจากสัญญาณเรื่องพลังงานแล้ว มันยังไปกระตุ้น "ระบบโดปามีน" (Dopaminergic system) ในสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวกับความพึงพอใจและให้รางวัล นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงรู้สึกมีความสุขและอยากกินของหวานๆ อีก เป็นกลไกตามธรรมชาติที่ทำให้บรรพบุรุษเรารู้จักแสวงหาแหล่งพลังงานสูงเพื่อความอยู่รอด
ทว่า... สารให้ความหวานแทนน้ำตาลส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะไม่ได้ กระตุ้นระบบโดปามีนในสมองเหมือนน้ำตาล ฟังดูดีใช่ไหมครับ เหมือนจะตัดปัญหาเรื่องการเสพติดความหวานไปได้ แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ
เมื่อความหวาน (เทียม) อาจนำไปสู่ความหิว (จริง)
แม้จะไม่ได้กระตุ้นระบบรางวัลในสมองโดยตรง แต่ก็มีหลักฐานที่น่าสนใจว่าสารให้ความหวานอาจส่งผลต่อกลไกความหิวและความอิ่มของเราได้ครับ มีงานศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์เมื่อต้นปีนี้ พบว่า หลังจากให้ผู้เข้าร่วมทดลองดื่มซูคราโลส (สารให้ความหวานชนิดหนึ่ง) ในปริมาณเทียบเท่าน้ำตาลในน้ำอัดลม 2 กระป๋อง เพียงแค่ 2 ชั่วโมง ร่างกายก็แสดงการตอบสนองทางสรีรวิทยาที่บ่งบอกถึงความหิวเพิ่มขึ้น
นักวิจัยวัดผลเรื่องนี้โดยดูจากการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วน "ไฮโปทาลามัส" (Hypothalamus) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ควบคุมความอยากอาหาร ผลปรากฏว่าซูคราโลสทำให้เลือดไหลเวียนไปยังสมองส่วนนี้มากขึ้น พูดง่ายๆ คือ มันอาจไปกระตุ้นให้เรารู้สึกหิวมากขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอื่นที่ชี้ว่า สารให้ความหวานอาจไปกระตุ้นเซลล์ประสาทชนิดเดียวกับที่ฮอร์โมน "เลปติน" (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมความอิ่ม ใช้กระตุ้น หากเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นเวลานาน ก็อาจทำให้ "เพดานความหิว" ของเราสูงขึ้น หมายความว่าเราอาจต้องกินอาหารในปริมาณมากขึ้นกว่าเดิมถึงจะรู้สึกอิ่ม ฟังดูน่ากังวลนะครับ เพราะถ้าเราหิวบ่อยขึ้น หรืออิ่มยากขึ้น สุดท้ายก็อาจจะกินแคลอรี่โดยรวมเยอะขึ้นอยู่ดี
ความเชื่อมโยงกับน้ำหนักตัวและโรคเบาหวาน ข้อมูลที่ยังต้องตีความ
เรื่องความหิวก็ว่าน่าคิดแล้ว แต่ยังมีประเด็นเรื่องน้ำหนักตัวและไขมันสะสมด้วยครับ มีงานศึกษาขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งที่ติดตามผลยาวนานถึง 20 ปี พบความเชื่อมโยงที่น่าสนใจระหว่างการบริโภคสารให้ความหวานกับการสะสมไขมันในร่างกายที่มากขึ้น
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มคนที่บริโภคสารให้ความหวานในปริมาณมากเป็นประจำ (เทียบเท่าการดื่มเครื่องดื่มไดเอทประมาณ 3-4 กระป๋องต่อวัน) มีโอกาสเกิดภาวะอ้วนมากกว่ากลุ่มที่บริโภคน้อย (เทียบเท่าครึ่งกระป๋องต่อวัน) ถึงเกือบ 70% เลยทีเดียว ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ นักวิจัยระบุว่าความสัมพันธ์นี้ดูเหมือนจะไม่ขึ้นอยู่กับปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดที่ผู้เข้าร่วมบริโภคในแต่ละวันด้วยซ้ำ
แม้ว่าข้อมูลการบริโภคจะมาจากการรายงานด้วยตนเอง ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ แต่นักวิจัยก็ได้ใช้ระบบข้อมูลทางโภชนาการเพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องอีกชั้นหนึ่ง ผลลัพธ์นี้จึงชี้ให้เห็นว่า สารให้ความหวานอาจมีส่วนทำให้ร่างกายเราสร้างไขมันได้ง่ายขึ้น โดยไม่เกี่ยวกับว่าเรากินอะไรอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย
นอกจากเรื่องน้ำหนักแล้ว ยังมีงานศึกษาที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายน 2025 นี้ พบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลทุกวัน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับโอกาสในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างไรก็ตาม นักวิจัยก็ตั้งข้อสังเกตว่า เครื่องดื่มเหล่านี้มักมีส่วนผสมอื่นๆ ด้วย เช่น สารเพิ่มความเป็นกรด, สีผสมอาหาร, อิมัลซิไฟเออร์ นอกเหนือจากสารให้ความหวาน จึงยังไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่าสารให้ความหวานคือตัวการหลักเพียงอย่างเดียวหรือไม่
แล้วตกลง... ควรเลิกกินไปเลยไหม?
พออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มรู้สึกสับสน หรือถึงขั้นอยากจะเทเครื่องดื่มไดเอททิ้งไปเลยใช่ไหมครับ? เดี๋ยวก่อนครับ ใจเย็นๆ อย่างที่ผมบอก เรื่องนี้มันซับซ้อนกว่าที่เราคิด เพราะก็มีงานวิจัยอีกด้านหนึ่งที่ให้ผลตรงกันข้ามเหมือนกัน
มีหลายการศึกษาเลยครับที่แสดงให้เห็นว่า การใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลในระยะสั้นๆ สามารถช่วยลดน้ำหนักและไขมันในร่างกายได้จริง เมื่อเทียบกับการบริโภคน้ำตาล นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอีกจำนวนมากที่ไม่พบความเกี่ยวข้องระหว่างการบริโภคสารให้ความหวานกับการเกิดโรคเบาหวาน หรือแม้แต่กับตัวชี้วัดของเบาหวาน เช่น ระดับน้ำตาลหรืออินซูลินในเลือดขณะอดอาหาร
อ้าว แล้วทำไมผลมันถึงขัดแย้งกันล่ะ? ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะงานวิจัยหลายชิ้นที่ให้ผลดีนั้น เป็นการศึกษาในระยะเวลาค่อนข้างสั้น (ส่วนใหญไม่เกิน 1 ปี) และมักเปรียบเทียบแค่กลุ่มที่กินสารให้ความหวานกับกลุ่มที่กินน้ำตาลเท่านั้น ไม่ได้เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่กินสารให้ความหวานหรือดื่มแค่น้ำเปล่า ทำให้การตีความผลยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และทางออกสำหรับคนติดหวาน
ด้วยข้อมูลที่ยังดูขัดแย้งกันอยู่แบบนี้ องค์กรด้านสุขภาพต่างๆ ก็เริ่มเข้ามาให้คำแนะนำครับ เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของสหราชอาณาจักร (SACN) ซึ่งให้คำแนะนำแก่รัฐบาล ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสารให้ความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาล เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยแนะนำว่า ไม่ควรใช้สารให้ความหวานเป็นเครื่องมือในการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากมีหลักฐาน (แม้จะยังอยู่ในระดับต่ำ) ที่เชื่อมโยงกับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 2
ทาง SACN ก็ได้ข้อสรุปในทิศทางเดียวกันว่า ควรจำกัดการบริโภคสารให้ความหวานที่ไม่ใช่น้ำตาล โดยเฉพาะในเด็ก แต่! พวกเขาก็ย้ำด้วยว่า การบริโภค "น้ำตาล" เอง ก็จำเป็นต้องลดลงเช่นกัน นี่แหละครับคือหัวใจสำคัญ แม้สารให้ความหวานอาจจะมีผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพ แต่คำถามคือ มันแย่เท่ากับการบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไปหรือไม่?
จากข้อมูลมากมายมหาศาลเกี่ยวกับผลเสียของการบริโภคน้ำตาลเกินขนาด ณ ตอนนี้ คำตอบดูเหมือนจะเป็น "ไม่" คือน้ำตาลน่าจะยังส่งผลเสียมากกว่า แต่ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับสารให้ความหวานนั้นยังไม่กว้างขวางและลึกซึ้งเท่ากับความรู้เรื่องน้ำตาล เราจึงยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบของสารให้ความหวานในระยะยาวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็กำลังมีความพยายามรวบรวมฐานข้อมูลการทดลองทางคลินิกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารให้ความหวานอยู่ครับ
แล้วระหว่างรอข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ คนที่ชอบรสหวานอย่างเราๆ ควรทำอย่างไรดีล่ะ? คำแนะนำที่ดีที่สุดในตอนนี้ ซึ่งอาจจะฟังดูน่าเบื่อ แต่ก็เป็นจริงเสมอสำหรับเรื่องโภชนาการ คือ "การบริโภคแต่พอดี" ครับ ใช่แล้วครับ การบริโภคสารให้ความหวานในปริมาณที่เหมาะสม น่าจะเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุดในขณะนี้
แม้จะยังไม่มีข้อกำหนดชัดเจนว่าเราควรกินสารให้ความหวานได้เท่าไหร่ต่อวัน แต่หนึ่งในข้อเสนอแนะจาก SACN คือการเรียกร้องให้ภาคอุตสาหกรรมระบุปริมาณสารให้ความหวานบนฉลากอาหารและเครื่องดื่มให้ชัดเจน
การทำความเข้าใจข้อมูลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือการนำข้อมูลนั้นมาปรับใช้ให้เข้ากับวิถีชีวิตและสุขภาพของตัวเราเอง การอ่านฉลากโภชนาการ การเลือกกินอาหารที่หลากหลายและแปรรูปน้อยลง และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ หรือ นักโภชนาการ เพื่อขอคำแนะนำเฉพาะบุคคล น่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพระยะยาวนะครับ
แล้วเพื่อนๆ ล่ะครับ มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องสารให้ความหวานแทนน้ำตาล? หรือมีประสบการณ์การใช้ส่วนตัวอย่างไรบ้าง ลองแบ่งปันกันได้นะครับ
แหล่งอ้างอิง:
Chichger, H., & Walker, C. A. (2025, April 17). Are artificial sweeteners okay for our health? Here's what the current evidence says. Medical Xpress. Retrieved April 20, 2025, from
https://medicalxpress.com/news/2025-04-artificial-sweeteners-health-current-evidence.html
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
การแพทย์
1 บันทึก
6
1
1
1
6
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย