27 เม.ย. เวลา 14:00 • สุขภาพ

ไขข้อข้องใจ BMI วัดไขมันได้แม่นจริงหรือ?

เรื่องของ BMI หรือ ดัชนีมวลกาย ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ยินหรือแม้กระทั่งเคยคำนวณค่า BMI ของตัวเองกันมาบ้าง โดยเฉพาะเวลาไปตรวจสุขภาพ หรือเวลาที่สนใจเรื่องน้ำหนักและรูปร่าง
แต่ช่วงหลังๆ มานี้ ก็มีเสียงวิจารณ์หรือข้อกังขาเกี่ยวกับความแม่นยำของ BMI ในการประเมินภาวะอ้วนหรือไขมันในร่างกายกันมากขึ้น บ้างก็ว่า BMI ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมวลกล้ามเนื้อกับไขมันได้ ทำให้คนที่กล้ามเนื้อเยอะแต่อาจไม่ได้อ้วนจริงๆ ถูกตีตราว่ามีภาวะอ้วนไปเสียอย่างนั้น
คำถามคือ แล้วจริงๆ BMI ยังเชื่อถือได้แค่ไหนในการบอกว่าเรามีไขมันส่วนเกินหรือไม่? เรื่องนี้น่าสนใจมากครับ เพราะมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับการประเมินสุขภาพเบื้องต้นของเราทุกคน วันนี้ผมเลยอยากจะนำข้อมูลจากงานวิจัยชิ้นใหม่ที่น่าสนใจมากๆ จาก มหาวิทยาลัย Johns Hopkins ที่เพิ่งเผยแพร่ในวารสารการแพทย์ชื่อดังอย่าง JAMA (Journal of the American Medical Association) มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อไขข้อข้องใจนี้ไปด้วยกันครับ มาดูกันว่าวิทยาศาสตร์ล่าสุดบอกอะไรเราเกี่ยวกับเจ้า BMI นี้บ้าง
ทำความรู้จัก BMI และข้อกังขาที่มีมา
ก่อนอื่น มาทบทวนกันนิดหน่อยครับว่า BMI คืออะไร BMI หรือ Body Mass Index เป็นค่าที่ได้จากการนำน้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลังสอง
เป็นวิธีที่ง่ายและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการคัดกรองเบื้องต้นว่าใครมีแนวโน้มจะมีน้ำหนักน้อยเกินไป เหมาะสม น้ำหนักเกิน หรือเข้าข่ายเป็นโรคอ้วน
แต่...อย่างที่เกริ่นไปครับ ข้อจำกัดสำคัญของ BMI คือ มันมองแค่น้ำหนักเทียบกับส่วนสูง ไม่ได้ลงลึกไปถึงองค์ประกอบของร่างกายว่าน้ำหนักนั้นมาจากไหน เป็นไขมัน กล้ามเนื้อ หรือกระดูกกันแน่ นี่จึงเป็นที่มาของความกังวลว่า BMI อาจจะวินิจฉัยภาวะอ้วนคลาดเคลื่อนได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ออกกำลังกายหนักๆ มีมวลกล้ามเนื้อเยอะ หรือในผู้สูงอายุที่มวลกล้ามเนื้อลดลงแต่ไขมันอาจจะเพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มถึงกับเสนอว่าการประเมินภาวะอ้วนควรจะต้องมีการยืนยันด้วยวิธีการวัดไขมันในร่างกายโดยตรง หรือใช้ BMI ร่วมกับดัชนีอื่นๆ เช่น เส้นรอบเอว
เพื่อตอบคำถามที่ว่า BMI ยังแม่นยำพอไหม ทีมนักวิจัยจาก Johns Hopkins ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจาก National Health and Nutrition Examination Survey (NHANES) ซึ่งเป็นการสำรวจสุขภาพและโภชนาการระดับชาติของสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 2017-2018 โดยศึกษาในกลุ่มตัวอย่างผู้ใหญ่จำนวน 2,225 คน ที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 59 ปี
ในงานวิจัยนี้ เขาไม่ได้ดูแค่ค่า BMI อย่างเดียวครับ แต่ยังวัดผลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับไขมันในร่างกายด้วย ได้แก่
1. การวัดส่วนสูงและน้ำหนัก ตามมาตรฐานเพื่อคำนวณ BMI
2. การวัดเส้นรอบเอว (Waist Circumference) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดไขมันสะสมในช่องท้องที่มี
3. ความสัมพันธ์กับความเสี่ยงทางสุขภาพ
4. การวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายโดยตรง ด้วยเครื่อง DEXA scan (Dual-Energy X-ray Absorptiometry) ซึ่งถือเป็นวิธีที่ค่อนข้างแม่นยำในการประเมินองค์ประกอบร่างกาย แยกมวลไขมัน มวลกระดูก และมวลส่วนอื่นๆ ออกจากกัน
จากนั้น นักวิจัยได้กำหนดเกณฑ์ในการ "ยืนยัน" ว่าบุคคลนั้นมีภาวะไขมันส่วนเกินจริงๆ (Confirmed Excess Adiposity) โดยพิจารณาจากผู้ที่มีค่า BMI สูง (เข้าเกณฑ์อ้วน) ร่วมกับ มีค่าเส้นรอบเอวสูง หรือมีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายสูง (วัดจาก DEXA) หรือมีค่า BMI สูงมากๆ ตั้งแต่ 40 ขึ้นไป โดยเกณฑ์ BMI สำหรับภาวะอ้วนนั้นปรับตามเชื้อชาติด้วยนะครับ คือใช้เกณฑ์ ≥30 kg/m² สำหรับคนส่วนใหญ่ และ ≥27.5 kg/m² สำหรับชาวเอเชีย (ที่ไม่ใช่ชาวฮิสแปนิก) (ซึ่งใกล้เคียงกับเกณฑ์สำหรับคนเอเชียที่ใช้ในบ้านเราครับ)
ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ หรือ BMI จะยังเก๋าอยู่?
ทีนี้ มาถึงส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุด คือ ผลการวิเคราะห์ครับผม นักวิจัยพบว่า
เมื่อใช้เกณฑ์ BMI เพียงอย่างเดียว มีผู้เข้าร่วมประมาณ 39.7% ที่ถูกจัดว่ามีภาวะอ้วน แต่เมื่อใช้เกณฑ์ BMI ร่วมกับการยืนยันภาวะไขมันส่วนเกิน (ด้วยเส้นรอบเอว หรือ DEXA หรือ BMI ≥ 40) ตัวเลขลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหลืออยู่ที่ 39.1%
เมื่อใช้เกณฑ์ BMI เพียงอย่างเดียว มีผู้เข้าร่วมประมาณ 39.7% ที่ถูกจัดว่ามีภาวะอ้วน แต่เมื่อใช้เกณฑ์ BMI ร่วมกับการยืนยันภาวะไขมันส่วนเกิน (ด้วยเส้นรอบเอว หรือ DEXA หรือ BMI ≥ 40) ตัวเลขลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหลืออยู่ที่ 39.1%
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ผลลัพธ์นี้ มีความสอดคล้องกัน ไม่ว่าจะดูในกลุ่มอายุ เพศ หรือเชื้อชาติใดก็ตาม และไม่ว่านักวิจัยจะใช้วิธีการยืนยันด้วยเส้นรอบเอว หรือด้วยเปอร์เซ็นต์ไขมันจาก DEXA ผลก็ยังคงออกมาใกล้เคียงเดิม
แน่นอนว่า นักวิจัยก็ยอมรับว่าอาจจะมี ข้อยกเว้น ในบางกลุ่ม เช่น นักกีฬาที่มีมวลกล้ามเนื้อสูงมากๆ คนกลุ่มนี้อาจต้องการการประเมินที่ละเอียดเป็นรายบุคคล แต่กลุ่มคนเหล่านี้ถือเป็นส่วนน้อยมากๆ ในประชากรทั่วไป
จากผลการศึกษานี้ ข้อสรุปที่สำคัญที่ผมอยากจะเน้นย้ำก็คือ สำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่แล้ว BMI ยังคงเป็นตัวชี้วัดภาวะไขมันส่วนเกินที่เชื่อถือได้ แม้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ในทางปฏิบัติ มันยังคงเป็นเครื่องมือคัดกรองเบื้องต้นที่มีประโยชน์มาก
นั่นหมายความว่า สำหรับคนทั่วไป การที่ค่า BMI อยู่ในเกณฑ์สูง (เข้าข่ายน้ำหนักเกินหรืออ้วน) ก็เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนว่าอาจมีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป และมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ได้
การค้นพบนี้มีความสำคัญในทางปฏิบัติมากครับ เพราะการที่จะต้องทำการวัดยืนยันไขมันส่วนเกินด้วยวิธีอื่นๆ เช่น DEXA scan ในทุกคนที่มี BMI สูงนั้น อาจไม่จำเป็น และยังอาจ ทำได้ยาก มีค่าใช้จ่ายสูง และไม่สะดวกในสถานพยาบาลทั่วไป การที่ BMI ยังคงใช้ได้ดีสำหรับคนส่วนใหญ่ จึงช่วยให้การคัดกรองเบื้องต้นยังคงทำได้ง่ายและรวดเร็ว
โดยสรุปแล้ว แม้จะมีเสียงวิจารณ์อยู่บ้าง แต่ผลการศึกษาล่าสุดนี้ก็ช่วยยืนยันว่า BMI ยังคงเป็นเครื่องมือคัดกรองที่มีประโยชน์และเชื่อถือได้สำหรับประชากรผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ ในการบ่งชี้ภาวะไขมันส่วนเกินในร่างกาย คนที่ BMI สูง มีโอกาสสูงมากที่จะมีไขมันในร่างกายเกินเกณฑ์จริงๆ
อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะฝากข้อคิดไว้นิดนึงครับว่า BMI เป็นเพียง "เครื่องมือคัดกรอง" เบื้องต้นเท่านั้น มันไม่ได้บอกภาพรวมสุขภาพทั้งหมดของเรา การมีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ได้หมายความว่าสุขภาพจะดี 100% เสมอไป และในทางกลับกัน คนที่ BMI สูงเล็กน้อย แต่ดูแลสุขภาพด้านอื่นได้ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาจมีความเสี่ยงต่อโรคต่ำกว่าคนที่ BMI ปกติแต่มีพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ ก็เป็นได้
ดังนั้น คำถามที่ผมอยากชวนให้ทุกท่านลองคิดต่อก็คือ ถึงแม้ BMI จะยังเป็นตัวชี้วัดที่ใช้ได้ดีอยู่ แล้วเราควรจะให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้เพียงอย่างเดียวหรือไม่? หรือเราควรจะมองให้กว้างขึ้น พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพของเรา เช่น เส้นรอบเอว การออกกำลังกาย ลักษณะการกินอาหาร ผลเลือด (น้ำตาล ไขมัน) ความดันโลหิต หรือแม้แต่สุขภาพจิตใจ ควบคู่ไปด้วย?
การทำความเข้าใจในเครื่องมือวัดผลต่างๆ เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประกอบกับข้อมูลสุขภาพด้านอื่นๆ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น คุณหมอ เภสัชกร หรือนักโภชนาการ เพื่อวางแผนดูแลสุขภาพองค์รวมของเราให้ดีที่สุดนะครับ อย่าลืมว่าสุขภาพที่ดี ไม่ได้ตัดสินกันที่ตัวเลขเพียงอย่างเดียวครับผม
แหล่งอ้างอิง:
1. Aryee, E. K., et al. (2025). Prevalence of Obesity With and Without Confirmation of Excess Adiposity Among US Adults. JAMA. DOI: 10.1001/jama.2025.2704 [source: 19, 20]
2. Jackson, J. (2025, April 21). BMI remains a reliable indicator of excess body fat in most adults, study finds. Medical Xpress. Retrieved April 22, 2025, from https://medicalxpress.com/news/2025-04-bmi-reliable-indicator-excess-body.html
โฆษณา