28 เม.ย. เวลา 14:00 • สุขภาพ

การอยู่คนเดียว ภาวะซึมเศร้าวิตกกังวล กับความเสี่ยงฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น

ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าไลฟ์สไตล์ของคนเราเปลี่ยนไปมาก การใช้ชีวิตอยู่คนเดียวกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ขณะเดียวกัน ปัญหาสุขภาพใจอย่างภาวะซึมเศร้าและโรควิตกกังวลก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เราได้ยินกันบ่อยขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่าสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกว่าที่เราคิดครับ
ผมได้อ่านงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เป็นการศึกษาขนาดใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้ (ซึ่งเป็นประเทศที่มีสถิติการฆ่าตัวตายสูงติดอันดับโลกมาหลายปี) งานวิจัยนี้เขาศึกษาในกลุ่มตัวอย่างกว่า 3.7 ล้านคน เพื่อดูว่าการอยู่คนเดียว กับการมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล มันส่งผลต่อความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายแตกต่างกันอย่างไร
1
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าสนใจและผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเราทุกคนครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่คนเดียว อยู่กับครอบครัว หรือมีคนใกล้ชิดที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ การทำความเข้าใจเรื่องนี้อาจช่วยให้เรามองเห็นสัญญาณบางอย่างและหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กันได้ทันท่วงทีครับ
การอยู่คนเดียว ไม่ใช่แค่เรื่องเหงา
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่า "อยู่คนเดียว" (Living alone) ในที่นี้หมายถึง การอยู่อาศัยเพียงลำพังตามข้อมูลทะเบียนบ้าน ซึ่งมันอาจจะแตกต่างจาก "ความรู้สึกเหงา" (Loneliness) ที่เป็นความรู้สึกส่วนตัว หรือ "การแยกตัวจากสังคม" (Social Isolation) ที่หมายถึงการขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คนนะครับ
บางคนอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหงาหรือแยกตัวจากสังคมก็มี แต่ในขณะเดียวกัน การอยู่คนเดียวก็อาจนำไปสู่ความรู้สึกเหงาหรือการแยกตัวจากสังคมได้ง่ายขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของเราได้ครับ
ในงานวิจัยที่ผมกล่าวถึง เขาศึกษาคนที่ลงทะเบียนว่าอยู่บ้านคนเดียวมานานอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างคงที่ ไม่ใช่แค่การย้ายมาอยู่ชั่วคราว ซึ่งในเกาหลีใต้เอง สัดส่วนของครัวเรือนคนเดียวก็เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โครงสร้างครอบครัว และความเป็นเมืองที่มากขึ้น คล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วโลกรวมถึงบ้านเราด้วยครับ
ภาวะซึมเศร้า (Depression) และโรควิตกกังวล (Anxiety) เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อย และเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอย่างหนึ่งของการฆ่าตัวตาย ในงานวิจัยนี้ เขาได้ดูข้อมูลการเข้ารับการรักษาของผู้เข้าร่วมโครงการ โดยใช้รหัสโรคตามมาตรฐานสากล (ICD-10) เพื่อระบุว่าใครมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลบ้าง พบว่าในกลุ่มตัวอย่างกว่า 3.7 ล้านคน มีผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าประมาณ 3.0% และโรควิตกกังวลประมาณ 6.2% ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยครับ
เมื่อ "อยู่คนเดียว" + "ปัญหาสุขภาพใจ" = ความเสี่ยงที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
หัวใจสำคัญของงานวิจัยนี้คือการค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการอยู่คนเดียว การมีปัญหาสุขภาพใจ และความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายครับ เขาเปรียบเทียบความเสี่ยงของคนในกลุ่มต่างๆ เทียบกับกลุ่มอ้างอิงคือ "คนที่อยู่กับผู้อื่น และไม่มีทั้งภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล" ผลลัพธ์ที่ได้น่าสนใจมากครับ (ตัวเลขต่อไปนี้เป็นค่าความเสี่ยงที่ปรับปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว เช่น เพศ อายุ รายได้ โรคประจำตัว ฯลฯ)
กลุ่มที่เสี่ยงสูงสุด: คือ คนที่อยู่คนเดียว + มีทั้งภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล กลุ่มนี้มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูงกว่ากลุ่มอ้างอิงถึง 558% (หรือประมาณ 6.6 เท่า)
อยู่คนเดียว + มีภาวะซึมเศร้า (ไม่มีวิตกกังวล): ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 290% (หรือประมาณ 3.9 เท่า)
อยู่คนเดียว + มีภาวะวิตกกังวล (ไม่มีซึมเศร้า): ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 90% (หรือประมาณ 1.9 เท่า)
อยู่คนเดียว (ไม่มีทั้งซึมเศร้าและวิตกกังวล): ความเสี่ยงก็ยังสูงกว่ากลุ่มอ้างอิง 44% (หรือประมาณ 1.4 เท่า)
จะเห็นได้ว่า แค่การอยู่คนเดียวอย่างเดียวก็เพิ่มความเสี่ยงแล้ว แต่เมื่อมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลร่วมด้วย ความเสี่ยงยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีทั้งสองภาวะร่วมกัน
แล้วถ้าเทียบกับคนที่อยู่กับผู้อื่นล่ะ?
อยู่กับผู้อื่น + มีภาวะซึมเศร้า (ไม่มีวิตกกังวล): ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 198% (หรือประมาณ 3 เท่า)
อยู่กับผู้อื่น + มีภาวะวิตกกังวล (ไม่มีซึมเศร้า): ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 64% (หรือประมาณ 1.6 เท่า)
ข้อมูลนี้บอกเราว่า แม้จะอยู่กับผู้อื่น การมีปัญหาสุขภาพใจก็ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ แต่การ "อยู่คนเดียว" ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่มา "เสริม" ให้ความเสี่ยงนั้นสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งครับ
ใครคือกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ?
งานวิจัยยังพบข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกว่า ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการอยู่คนเดียวร่วมกับภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลนั้น ดูจะสูงเป็นพิเศษในกลุ่ม "ผู้ชาย" และ "คนวัยกลางคน" (อายุ 40-64 ปี)
เพศชาย: ผู้ชายที่อยู่คนเดียวและมีภาวะซึมเศร้า มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายที่อยู่กับผู้อื่นและไม่มีภาวะซึมเศร้าถึง 4.3 เท่า ขณะที่ผู้หญิงในกลุ่มเดียวกันมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3.7 เท่า เช่นเดียวกับกรณีของโรควิตกกังวล ผู้ชายที่อยู่คนเดียวมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2.1 เท่า เทียบกับผู้หญิงที่ 2.0 เท่า นักวิจัยให้ข้อสังเกตว่าอาจเกี่ยวข้องกับอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงกว่าในเพศชายอยู่แล้ว หรืออุปสรรคในการขอความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตของผู้ชายในบางวัฒนธรรม
วัยกลางคน (40-64 ปี): คนในวัยนี้ที่อยู่คนเดียวและมีภาวะซึมเศร้า มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอ้างอิงในวัยเดียวกันถึง 6 เท่า ส่วนคนที่มีภาวะวิตกกังวล ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2.6 เท่า ซึ่งสูงกว่ากลุ่มวัยรุ่นตอนต้น (20-39 ปี) และกลุ่มผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) นักวิจัยมองว่า วัยกลางคนมักเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลายอย่าง เช่น การแยกทางหรือหย่าร้าง การเปลี่ยนผ่านด้านอาชีพ หรือปัญหาสุขภาพ ซึ่งอาจทำให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวรุนแรงขึ้นเมื่อต้องอยู่คนเดียว
เราจะช่วยกันได้อย่างไร?
ข้อมูลจากงานวิจัยนี้ย้ำเตือนให้เราเห็นความสำคัญของการใส่ใจทั้งเรื่อง "การใช้ชีวิต" และ "สุขภาพใจ" ควบคู่กันไป การอยู่คนเดียวเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ง่ายกว่าความรู้สึกเหงาที่อยู่ข้างใน ดังนั้น หากเรารู้ว่าคนใกล้ชิดอยู่คนเดียวและอาจกำลังเผชิญกับความยากลำบากทางใจ การแสดงความใส่ใจ ถามไถ่ หรือให้กำลังใจ อาจมีความหมายมากกว่าที่เราคิด
หากคนใกล้ชิดที่อยู่คนเดียวดูเศร้าซึม วิตกกังวล หรือแยกตัวผิดปกติ ลองพูดคุย สอบถามด้วยความเข้าอกเข้าใจ และช่วยกันสร้างสังคมที่เปิดกว้างเรื่องปัญหาสุขภาพใจ เพื่อให้คนที่ต้องการความช่วยเหลือกล้าที่จะพูดออกมาและเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น
ส่งเสริมการเข้าถึงบริการ สนับสนุนให้คนที่มีปัญหาสุขภาพใจ ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับครอบครัว ได้รับการประเมินและดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ สร้างเครือข่ายสนับสนุน ชุมชนหรือองค์กรต่างๆ อาจมีบทบาทในการจัดกิจกรรมหรือสร้างพื้นที่ให้คนที่อยู่คนเดียวได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากขึ้น
การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องผิด และหลายคนก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนี้ แต่จากข้อมูลที่เราได้เห็น การอยู่คนเดียว โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายและคนวัยกลางคน
หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังรู้สึกไม่สบายใจ หรือต้องการคำปรึกษา อย่าลังเลที่จะพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ หรือติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือสายด่วนสุขภาพจิตต่างๆ นะครับ
แหล่งอ้างอิงหลัก:
Moon DU, Kim H, Jung JH, Han K, Jeon HJ. Suicide Risk and Living Alone With Depression or Anxiety. JAMA Netw Open. 2025;8(3):e251227. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.1227
โฆษณา