24 เม.ย. เวลา 00:32 • ศิลปะ & ออกแบบ

วิธีเสพย์ศิลปะรอบตัวเพื่อสร้างความสุขสไตล์คนอิตาเลียน

ศิลปะมีความสามารถในการชำระล้างอารมณ์ อารมณ์ที่สะสมอยู่ในตัว อันเกิดจากความบีบอีดของกรอบสังคม พร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ โดยพลังอำนาจอันลึกลับที่มีอยู่ในศิลปะจะช่วยแผ้วถางได้ –ตามคำกล่าวของอริสโตเติล
แต่ศิลปะแท้จริงคืออะไร? ใช่การสะท้อนภาพความงามของสรรพสิ่งเพียงผิวเผิน แค่เปลือกนอก อย่างฉาบฉวยหรือไม่? อะไรคือเกณฑ์วัดว่านั่นคือศิลปะชั้นสูง การถ่ายทอดนามธรรมภายใน อย่างลึกซึ้งถึงวิญญาณจิตของสรรพสิ่งนานาชนิด หรือความสามารถในการแปลงเปลี่ยนเป็นเครื่องมือส่งผ่านองค์ความรู้ทางตาใน
โลกนี้มีความสุขอยู่ 2 แบบ ความสุขที่คุณสามารถอธิบายได้ชัดแจ้งว่า มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ส่วนใหญ่เป็นการเสพย์ผ่านประสาทสัมผัส ตา หู จมูก ปาก ผิวหนัง เช่น วิวสวย เพลงเพราะ กลิ่นหอมดีนะ โห…โคตรอร่อยเลยอะ
กับ… ความสุขแบบที่ คุณไม่สามารถอธิบายได้ แต่รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังล้นเอ่ออยู่ภายใน แวบหนึ่งคุณรู้สึกหัวใจเต้น ราวกับมีความรัก แต่อีกแวบ คุณก็รู้สึกอยากหลั่งน้ำตา และหลังจากผ่านพ้นอารมณ์ท่วมท้นทึ่สับสนอลหม่านนั้นมา คุณก็รู้สึกอิ่มเอม
ศิลปะ… คือคำจำกัดความของอะไรได้ในโลก ที่สามารถมอบความสุขให้คุณได้ทั้งสองแบบข้างต้น
ในมุมมองของคนยุโรป อย่างอิตาลีและฝรั่งเศส ศิลปะสำหรับพวกเขาคือสะพานเชื่อมโยงจิตวิญญาณ โดยเฉพาะคนอิตาลี ที่มักให้ความสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึกที่ถ่ายทอดผ่านศิลปะ พวกเขาชื่นชมงานที่สื่อถึงความรัก ความศรัทธา หรือความทุกข์ทรมานผ่านโศกนาฏกรรม
คนอิตาลีมีแนวคิด "La Dolce Vita" ความสุขจากความงาม มองว่าการชื่นชมศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต พวกเขาจึงชอบเดินเล่นในเมืองเก่าที่ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมงดงาม หรือนั่งมองภาพวาดไปพลาง จิบไวน์ไปพลาง หรือหลับตาฟังเพลงซิมโฟนี อย่างมีสมาธิ
การดื่มด่ำลงไปในงานศิลปะของอิตาลีเปรียบเหมือนการปฏิบัติการทางศาสนาอย่างหนึ่ง ศิลปะในทัศนะชาวยุโรปไม่ได้เป็นกิเลสเหมือนทางตะวันออก แต่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับศาสนา คนยุโรปมองศิลปะเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นเครื่องมือค้นหาความหมายชีวิต
ศิลปะของคนอิตาลี ไม่ได้อยู่แค่ในบทกวี วรรณกรรม ภาพยนตร์ หรือภาพวาด ถูกผสมรวมลงในวิถีชีวิต เพื่อหล่อเลี้ยงทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ …ปรากฏในทุกหนแห่งแม้แต่ในจานอาหารยามเช้า หรือบทสนทนาสั้นๆกับเพื่อนบ้าน
เราสามารถประยุกต์ใช้ชีวิต ให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับศิลปะแบบคนอิตาลี ในประเทศไทยได้ ด้วยวิธีง่ายๆ
1.กินดื่มให้เข้าถึงศิลปะแบบคนอิตาลี เฉลิมฉลองความสุขในทุกมิติแบบ "La Dolce Vita" หรือชีวิตอันแสนหวาน ลองจัดวางจานอาหารแต่ละมื้อ ด้วยการคำนึงถึงสีสัน และรูปทรงอย่างง่ายๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆในการกินดื่ม ลองเลือกเครื่องดื่มที่มีกลิ่นซับซ้อนขึ้น เช่น สมุนไพร ชา ลองใช้เวลานานหน่อนในมื้อค่ำเพื่อลิ้มรส ปิดโทรศัพท์เพื่อให้ซึมซับกับรสชาติให้เต็มที่ เปิดเพลงฟังขณะกิน นั่งในที่สามารถเห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม อาจเปิดแอพฯ Pinterest ดูรูปงานศิลปะ หรือวางแจกันดอกไม้ไว้บนโต๊ะอาหาร เพื่อสร้างบรรยากาศระหว่างการกิน
2.สร้างพิธีกรรมเล็กๆ ที่มีศิลปะเป็นศูนย์กลาง
ในชีวิตประจำวัน เช่น เขียนบันทึกหรือแต่งกลอนในสมุดทุกคืนก่อนนอน สเก็ตช์ภาพคร่าวๆของทิวทัศน์หรือสัตว์ที่เจอทุกครั้งที่ไปเที่ยวในสถานที่ธรรมชาติ ระหว่างออกกำลังกายในสวนสาธารณะ หรือง่ายกว่่นั้น ก็แค่หาถ่ายภาพสิ่งสวยงามที่พบเจอระหว่างเดินทางไปทำงานด้วยมือถือเก็บไว้ทุกวัน สร้าง collection ศิลปะของชีวิตคุณขึ้นมา และแบ่งปันให้คนอื่นดูด้วยใน blog ส่วนตัว ใน Pinterest
3.ฟังเพลงให้เข้าถึงศิลปะแบบคนอิตาลีคือดื่มด่ำกับประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง จัดสถานที่ให้เหมาะสมระหว่างฟังเพลง เอนหลังในแสงนวลของโคมไฟ หรือหันหน้าไปทางหน้าต่างให้เห็นท้องฟ้าโล่งกว้าง อาจจัดมุมระเบียงเป็นสวนเขียวขจี ก่อนจะเริ่มเปิดเพลง
เมื่อฟังเพลงก็ฟังอย่างมีสติ จดจ่อ ในอิตาลี การฟังเพลงมักมาพร้อมความเข้าใจ เรียนรู้บริบทและเรื่องราวของเพลง ค้นหาอารมณ์ที่ศิลปินถ่ายทอดในเพลง ลองฟังเพลงแล้วแสดงออกผ่านการสร้างสรรค์ เช่น เขียนกลอน เขียนความเรียง อัดเสียง แชร์จินตนาการที่ได้ระหว่างฟังเพลงนี้ พร้อมแนบลิงค์เพลง เพื่อแบ่งปันและส่งต่อสุนทรียะที่ได้จากงานศิลปะไปสู่คนอื่น
4 ลองเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว ใช้ผ้าที่มีลวดลายหรือการออกแบบที่สะท้อนศิลปะไทย เช่น ผ้าไหมจากจิม ทอมป์สัน ผ้าฝ้ายย้อมคราม เครื่องประดับจากช่างฝีมือท้องถิ่น โดยไม่ใช่แค่ต้องการสนับสนุนสินค้าทางวัฒนธรรม แต่ลองศึกษาวิธีชีวิตของผู้คนที่ถักทอผืนผ้านั้นขึ้นมา ประวัติศาสตร์เบื้องหลังลายทอ และลายย้อมแต่ละชนิด วิธีและเอกลักษณ์ของท้องถิ่น
เมื่อรู้สึกถึงคุณค่าที่อยู่ลึกข้างในจนเกิดความภูมิใจที่จะเอามาประดับร่างกาย ค่อยหาทาง mix and match (แบบที่ไม่ยึดตามกรอบของสังคม) ทำให้ดูเข้ากับเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตนเอง โดยใช้กึ๋นในการตีความทางศิลปะส่วนตัว เพราะว่าเสื้อผ้าก็คือการเล่าเรื่องและบทสนทนาอีกชนิดหนึ่ง
5. วันหยุด ลองหาเวลาไปเดินเล่นในวัด ศาลเจ้า พิพิธภัณฑ์ หรือย่านเก่าๆในประเทศไทย เช่น วัดโพธิ์ อยุธยา หรือย่านตลาดน้อยในกรุงเทพฯ สังเกตงานสถาปัตยกรรม จิตรกรรมฝาผนัง และรายละเอียดของงานช่าง พยายามหาความหมายและสืบค้นประวัติของสิ่งที่คุณเห็น ไม่ใช่แค่ผ่านตา มองดูลายสลักเสลาที่อยู่ๆรอบเจดีย์ แม้แต่ปริศนาที่ซ่อนอยู่บนภาพวาดผนังวัด จะเห็นว่า ในรายละเอียดเล็กๆมี ‘จิตวิญญาณ’ และ ‘เรื่องเล่า’ ของศิลปินซ่อนอยู่
โฆษณา