28 เม.ย. เวลา 03:00 • สุขภาพ

สัญญาณอันตราย เมื่อยารักษามาลาเรียเริ่มใช้ไม่ได้ผล

หลายคนอาจจะคิดว่ามาลาเรียเป็นโรคที่ไกลตัว พบเจอเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือประเทศที่กำลังพัฒนา แต่รู้ไหมครับว่า ปัจจุบันนี้ ปัญหา "การรักษามาลาเรียล้มเหลว" โดยเฉพาะชนิดที่เกิดจากเชื้อ พลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม (Plasmodium falciparum) ซึ่งเป็นชนิดที่รุนแรง กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ในประเทศที่ไม่ใช่แหล่งระบาดของโรคโดยตรงอย่างในยุโรปหรืออเมริกา นี่คือสัญญาณเตือนภัยที่เราไม่ควรมองข้ามเลยครับ
ทำไมผมถึงบอกว่าเรื่องนี้น่ากังวล ลองนึกภาพตามนะครับ ปกติเวลาเราป่วยเป็นมาลาเรีย คุณหมอก็จะให้ยาต้านมาลาเรีย ซึ่งยาหลักๆ ที่ใช้กันทั่วโลกตอนนี้คือยาในกลุ่ม "อาร์ติมิซินิน" (Artemisinin-based combination therapies หรือ ACTs) ซึ่งเคยเป็นยาที่ได้ผลดีเยี่ยม แต่ช่วงหลังมานี้ มีรายงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่าเชื้อมาลาเรีย โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มจะ "ดื้อยา" กลุ่มนี้เสียแล้ว เหมือนกับว่าเชื้อโรคตัวร้ายนี้มันฉลาดขึ้น รู้จักปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากยาที่เราใช้รักษานั่นเอง
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาในพื้นที่ระบาดนะครับ แต่ยังส่งผลกระทบมาถึงประเทศอื่นๆ ด้วย เพราะการเดินทางที่สะดวกสบายขึ้น ทำให้คนเดินทางไปมาระหว่างประเทศกันมากขึ้น คนที่เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงก็อาจจะนำเชื้อมาลาเรียที่ดื้อยากลับมาด้วย จากข้อมูลล่าสุดปีที่แล้ว พบผู้ป่วยมาลาเรียในสหรัฐอเมริกาถึง 1,500 ราย และในยุโรปอีกกว่า 7,000 รายเลยทีเดียว ซึ่งในจำนวนนี้ หลายเคสก็พบว่าเป็นการติดเชื้อชนิด P. falciparum ที่เริ่มจะรักษาได้ยากขึ้น
สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้การรักษามาลาเรียไม่ได้ผลดีเหมือนเดิม มีอยู่หลายปัจจัยครับ แต่ตัวการสำคัญที่น่ากังวลที่สุดก็คือ "การดื้อยาของเชื้อมาลาเรีย" อย่างที่ผมเล่าไปตอนต้น โดยเฉพาะการดื้อต่อยาอาร์ติมิซินิน ซึ่งเป็นยาหลักที่ใช้รักษา มีการตรวจพบการกลายพันธุ์ของเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการดื้อยาเหล่านี้ในผู้ป่วยที่การรักษาล้มเหลวมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องเชื้อดื้อยาเพียงอย่างเดียวนะครับ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น
1. การกินยาไม่สม่ำเสมอ หรือกินยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง (Poor adherence) อันนี้สำคัญมากครับ บางทีพอกินยาไปแล้วอาการเริ่มดีขึ้น คนไข้ก็อาจจะชะล่าใจ หยุดยาไปเองก่อนกำหนด ทำให้เชื้อยังถูกกำจัดไม่หมด และอาจพัฒนากลายเป็นเชื้อดื้อยาได้ในที่สุด
2. ปัญหาการดูดซึมยา (Malabsorption) ในผู้ป่วยบางราย ร่างกายอาจจะดูดซึมยาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ระดับยาในเลือดไม่สูงพอที่จะฆ่าเชื้อได้หมด
3. ปฏิกิริยาระหว่างยา (Drug interactions) หากผู้ป่วยกินยาอื่นร่วมด้วย ยาเหล่านั้นอาจจะไปรบกวนการออกฤทธิ์ของยาต้านมาลาเรียได้
4. การได้รับยาในขนาดที่ไม่เหมาะสม (Underdosing) โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือมีระดับเชื้อในเลือดสูงมากๆ อาจจะต้องมีการปรับขนาดยาให้เหมาะสม แต่หากได้รับยาในขนาดที่ต่ำเกินไป ก็อาจจะทำให้การรักษาไม่ได้ผล
จะเห็นได้ว่า การประเมินสาเหตุของการรักษาล้มเหลวในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นค่อนข้างซับซ้อนครับ ต้องพิจารณาทั้งปัจจัยจากตัวเชื้อเองและปัจจัยจากตัวผู้ป่วยประกอบกัน
จะรับมืออย่างไร? เมื่อการรักษาครั้งแรกไม่ได้ผล
เมื่อเจอสถานการณ์ที่การรักษามาลาเรียครั้งแรกไม่ได้ผล หรือที่เรียกว่า "Treatment Failure" คุณหมอก็ต้องมาพิจารณาหาสาเหตุและวางแผนการรักษาใหม่ ซึ่งก็มีความท้าทายอยู่ไม่น้อยครับ
อย่างแรกเลยคือต้องแยกว่าเป็น "การกลับมาเป็นซ้ำ (Recrudescence)" ซึ่งหมายถึงเชื้อเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายกลับมาแบ่งตัวใหม่ (มักพบในนักท่องเที่ยว) หรือเป็น "การติดเชื้อซ้ำ (Reinfection)" คือติดเชื้อตัวใหม่เข้ามา (มักพบในพื้นที่ระบาด)
จากนั้น คุณหมอก็จะพิจารณาทางเลือกในการรักษาต่อไป ซึ่งอาจจะเป็น
- ให้ยาตัวเดิมซ้ำอีกรอบ (Repeat the same regimen)  
- ให้ยาตัวเดิมในขนาดที่สูงขึ้น หรือให้นานขึ้น (Higher dose or longer duration) (บางแนวคิดเสนอให้นานถึง 55 วัน แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา)  
- เปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นในกลุ่ม ACTs (Switch to another ACT) (มีการวิจัยยา ACTs แบบผสม 3 ตัว แต่ยังไม่มีแนวทางชัดเจนในยุโรป)  
- เปลี่ยนไปใช้ยาต่างกลุ่มไปเลย (Use a different class of drugs) เช่น ยา Atovaquone-proguanil ซึ่งแม้จะใช้เวลาเห็นผลนานกว่าเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี
ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจพิจารณาให้ยาอื่นร่วมด้วย เช่น ควินิน (Quinine) ควบคู่ไปกับยา Artesunate ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก
นอกจากนี้ ในวงการแพทย์และเภสัชกรรมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะครับ มีการพัฒนายาต้านมาลาเรียตัวใหม่อยู่ตลอดเวลา เช่นยา Cipargamin และ Ganaplacide แต่ก็คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีก 5-10 ปีกว่ายาเหล่านี้จะพร้อมใช้งานจริง
หัวใจสำคัญในการรับมือกับปัญหามาลาเรียดื้อยา คือ "การเฝ้าระวัง" ครับ เราจำเป็นต้องมีระบบติดตามสถานการณ์การดื้อยาอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะการใช้ "การเฝ้าระวังระดับโมเลกุล (Molecular surveillance)" เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ของเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการดื้อยา สิ่งนี้จะช่วยให้เรารู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเชื้อ และปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาได้อย่างทันท่วงที
การติดตามผู้ป่วยที่เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิดก็เป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงการตัดสินใจว่าจะให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก (กลับบ้านได้) หรือต้องรับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก แม้ในรายที่อาการไม่รุนแรงก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ระดับเชื้อในเลือด และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ของผู้ป่วยแต่ละราย
มาถึงตรงนี้ ผมหวังว่าทุกคนจะพอเห็นภาพรวมและความน่ากังวลของปัญหา "ยาต้านมาลาเรียใช้ไม่ได้ผล" กันมากขึ้นนะครับ มันเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของวงการสาธารณสุขทั่วโลก ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ นักวิจัย และพวกเราทุกคน
แม้ว่าสถานการณ์เรื่องเชื้อดื้อยาจะน่ากังวล แต่ก็ยังมีความหวังจากการพัฒนายาใหม่ๆ และระบบการเฝ้าระวังที่ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่เราทุกคนทำได้คือการป้องกันตัวเองเมื่อต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง และหากมีอาการน่าสงสัย เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ หลังกลับจากพื้นที่ระบาด ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีและแจ้งประวัติการเดินทางให้ครบถ้วน
แหล่งอ้างอิงหลัก:
Riera, E. (2025, April 24). Why Malaria Treatments Are Failing and How to Respond. Medscape Medical News.
โฆษณา