Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 13:30 • สุขภาพ
อบเชย เครื่องเทศคู่ครัว อาจรบกวนการทำงานของยาที่คุณใช้
อบเชย (Cinnamon) เป็นหนึ่งในเครื่องเทศที่เก่าแก่และใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในโลก นอกจากจะนำมาปรุงอาหารเพิ่มรสชาติแล้ว ในทางการแพทย์แผนโบราณก็มีการใช้อบเชยเพื่อสุขภาพหลายอย่าง เช่น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ดูแลสุขภาพหัวใจ และลดการอักเสบ ฟังดูมีประโยชน์ใช่ไหมครับ
แต่เบื้องหลังคุณประโยชน์เหล่านี้ มีงานวิจัยใหม่ที่น่าสนใจจากศูนย์วิจัยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติแห่งชาติ (National Center for Natural Products Research) ในสหรัฐอเมริกา ที่ชี้ให้เห็นว่าสารประกอบสำคัญในอบเชย อาจส่งผลต่อการทำงานของยาที่เราทานอยู่ได้ เรื่องนี้สำคัญนะครับ เพราะอาจหมายถึงยาที่เรารับประทานเพื่อรักษาโรคประจำตัว อาจออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น
หัวใจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่สารที่ชื่อว่า "ซินนามัลดีไฮด์" (Cinnamaldehyde) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักที่ให้กลิ่นและรสชาติเฉพาะตัวของอบเชย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี พบว่าสารซินนามัลดีไฮด์นี้ สามารถไปกระตุ้นตัวรับสัญญาณ (Receptor) ในร่างกาย ที่ทำหน้าที่ควบคุมการกำจัดยาออกจากร่างกาย
ลองนึกภาพตามนะครับ ปกติแล้วเมื่อเราทานยาเข้าไป ร่างกายจะมีกระบวนการเผาผลาญและกำจัดยาออกไปตามธรรมชาติ ซึ่งกระบวนการนี้ถูกควบคุมอย่างสมดุลเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ในระดับที่เหมาะสม แต่เมื่อสารซินนามัลดีไฮด์เข้าไปกระตุ้นตัวรับสัญญาณที่ว่านี้ มันอาจไปเร่งกระบวนการกำจัดยาให้เร็วขึ้น ผลที่ตามมาคืออะไร? ก็คือยาอาจถูกขับออกจากร่างกายเร็วเกินไป ทำให้ระดับยาในเลือดไม่สูงพอที่จะออกฤทธิ์รักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือพูดง่ายๆ คือ ยาอาจออกฤทธิ์ได้น้อยลงนั่นเองครับ
1
กินอบเชยแค่ไหนถึงน่ากังวล?
พอผมเล่ามาถึงตรงนี้ หลายคนอาจเริ่มใจคอไม่ดี เอ๊ะ! โรยอบเชยในกาแฟแก้วโปรดทุกเช้าจะเป็นอะไรไหมนะ? ใจเย็นๆ ก่อนครับ นักวิจัยบอกว่า การบริโภคอบเชยในปริมาณเล็กน้อยที่ใช้ปรุงอาหารตามปกติ ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาอะไร
แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือ การใช้อบเชยในรูปแบบ "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ที่มีความเข้มข้นสูง การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอบเชยในปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ได้แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรผู้สั่งจ่ายยาทราบ อาจนำไปสู่ปัญหาได้ เพราะอาจทำให้ยาที่ใช้อยู่ถูกกำจัดเร็วขึ้นและประสิทธิภาพลดลงอย่างที่กล่าวไป
ดร. ชาบานา ข่าน (Shabana Khan) นักวิทยาศาสตร์หลักของศูนย์วิจัยฯ เน้นย้ำว่า "ความกังวลด้านสุขภาพอาจเกิดขึ้นได้ หากมีการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปริมาณที่มากเกินไปโดยที่ผู้ให้บริการด้านสุขภาพหรือผู้สั่งจ่ายยาไม่ทราบ"
อบเชย ไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ อบเชยที่เราเห็นตามท้องตลาดนั้น ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดนะครับ โดยทั่วไปมี 2 ชนิดหลักๆ ที่เราควรรู้จักคือ
1. อบเชยจีน (Cassia cinnamon) เป็นชนิดที่พบได้ทั่วไปตามร้านขายของชำ ราคาถูกกว่า มาจากทางตอนใต้ของจีน ข้อควรระวังคือ อบเชยจีนมีสาร "คูมาริน" (Coumarin) ในปริมาณที่สูงกว่าอบเชยชนิดอื่น สารคูมารินนี้มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด หรือทำให้เลือดจางลง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดอยู่แล้ว
2. อบเชยซีลอน (Ceylon cinnamon) หรือ อบเชยแท้ มาจากศรีลังกา มีสารคูมารินในปริมาณที่น้อยกว่ามาก จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าในแง่ของผลต่อการแข็งตัวของเลือด
นอกจากนี้ ยังมี "น้ำมันอบเชย" (Cinnamon oil) ที่มักใช้ทาภายนอกเพื่อต้านเชื้อราหรือแบคทีเรีย หรือใช้แต่งกลิ่นอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่ง ดร. อมาร์ ชิตติโบยินา (Amar Chittiboyina) รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ กล่าวว่า น้ำมันอบเชยมีความเสี่ยงน้อยมากที่จะเกิดปฏิกิริยากับยา
ดังนั้น ชนิดของอบเชยและรูปแบบที่ใช้จึงมีความสำคัญต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นครับ
แม้ว่างานวิจัยนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับกลไกที่สารซินนามัลดีไฮด์อาจส่งผลต่อการเผาผลาญยา แต่ ดร. บิล เกอร์ลีย์ (Bill Gurley) นักวิทยาศาสตร์หลักอีกท่านและผู้ร่วมวิจัย ยอมรับว่าเรายังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกมาก โดยเฉพาะการศึกษาทางคลินิกในมนุษย์ เพื่อให้เข้าใจบทบาทของอบเชยในร่างกายและปฏิกิริยาระหว่างสมุนไพรกับยา (Herb-drug interactions) ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแน่ชัด
"เรารู้ว่ามีศักยภาพที่ซินนามัลดีไฮด์จะกระตุ้นตัวรับเหล่านี้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อปฏิกิริยาระหว่างยา" เขากล่าว "นั่นคือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่เราจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้นจนกว่าเราจะทำการศึกษาทางคลินิก"
ระหว่างที่รอข้อมูลเพิ่มเติมจากการศึกษาในอนาคต คำแนะนำที่ดีที่สุดจากนักวิจัยคือ หากคุณสนใจที่จะใช้อบเชยในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรของคุณก่อนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง ข้ออักเสบ หอบหืด โรคอ้วน เอชไอวี/เอดส์ หรือภาวะซึมเศร้า ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ ร่วมกับยาที่แพทย์สั่ง
ดร. ข่าน ให้คำแนะนำที่ดีที่สุดว่า "ควรพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพก่อนใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ ควบคู่ไปกับการใช้ยาตามใบสั่งแพทย์" และสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอคือ "โดยคำจำกัดความแล้ว ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษา บำบัด หรือบรรเทาโรคใดๆ"
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าการโรยผงอบเชยเล็กน้อยในอาหารหรือเครื่องดื่มดูจะไม่เป็นปัญหา แต่การบริโภคอบเชยในรูปแบบอาหารเสริมเข้มข้น โดยเฉพาะอบเชยจีน (Cassia) อาจมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของยาบางชนิดได้ ผ่านสารซินนามัลดีไฮด์ที่เร่งการกำจัดยา และสารคูมารินที่อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
ครั้งต่อไปที่คุณคิดจะเลือกซื้อหรือรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากอบเชย ผมอยากให้ลองฉุกคิดสักนิดถึงข้อมูลเหล่านี้ และสิ่งที่ดีที่สุดคือการปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่คุณไว้วางใจ เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้สมุนไพรนั้นปลอดภัยและเหมาะสมกับสุขภาพและยาที่คุณใช้อยู่นะครับ การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ คือกุญแจสำคัญสู่การมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืนครับ
2
แล้วคุณล่ะครับ เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้อบเชยหรือสมุนไพรอื่นๆ ร่วมกับยาหรือไม่?
แหล่งอ้างอิง:
1. Husain, I., et al. (2024). Evaluation of bioaccessibility, metabolic clearance and interaction with xenobiotic receptors (PXR and AhR) of cinnamaldehyde. Food Chemistry: Molecular Sciences. DOI: 10.1016/j.fochms.2024.100237
2. Medical press via University of Mississippi. (2025, April 24). Cinnamon could affect drug metabolism in the body. Retrieved April 25, 2025, from
https://medicalxpress.com/news/2025-04-cinnamon-affect-drug-metabolism-body.html
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
การแพทย์
บันทึก
5
5
3
5
5
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย