26 เม.ย. เวลา 14:00 • ข่าวรอบโลก

เขย่าวงการแพทย์ เมื่อคำสั่งผู้นำสหรัฐฯ ท้าทายมาตรฐาน DEI ในโรงเรียนแพทย์

ลองจินตนาการถึงกระบวนการคัดเลือกและฝึกฝนแพทย์ในอนาคตดูนะครับ เราทุกคนต่างคาดหวังให้ได้แพทย์ที่มีคุณภาพสูงสุด แต่คำถามคือ "คุณภาพสูงสุด" วัดจากอะไร? ความรู้ความสามารถทางวิชาการอย่างเดียว หรือควรคำนึงถึงมิติอื่นๆ ด้วย
นี่คือใจกลางของประเด็นถกเถียงที่เกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ออกคำสั่งพิเศษที่วิจารณ์องค์กรหลัก 2 แห่งที่ทำหน้าที่รับรองมาตรฐานโรงเรียนแพทย์และสถาบันฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางในสหรัฐฯ ได้แก่ LCME และ ACGME โดยกล่าวหาว่าองค์กรเหล่านี้ใช้มาตรฐาน DEI ซึ่งอาจเป็นการ "เลือกปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย"
คำสั่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสั่นสะเทือนในวงการแพทย์ แต่ยังจุดประกายคำถามสำคัญว่า เราควรสร้างสมดุลระหว่างความเป็นเลิศทางวิชาการ ความหลากหลาย และความเท่าเทียมในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์อย่างไร
คำสั่งพิเศษ จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง?
คำสั่งพิเศษที่ชื่อว่า "การปฏิรูปการรับรองเพื่อเสริมสร้างการศึกษาระดับอุดมศึกษา" (Reforming Accreditation to Strengthen Higher Education) ไม่ได้พูดลอยๆ ครับ แต่พุ่งเป้าไปที่องค์กรสำคัญสองแห่ง
1. Liaison Committee on Medical Education (LCME): เป็นองค์กรเดียวที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ รับรองให้ทำหน้าที่ประเมินและรับรองมาตรฐานโรงเรียนแพทย์กว่า 144 แห่งในปัจจุบัน คำสั่งระบุว่า LCME กำหนดให้โรงเรียนแพทย์ต้องมีกิจกรรมที่ "ต่อเนื่อง เป็นระบบ และมุ่งเน้น" ในการรับสมัครและรักษาบุคลากรเพื่อให้เกิดความหลากหลายในกลุ่มนักศึกษาตามพันธกิจของสถาบัน
2. Accreditation Council for Graduate Medical Education (ACGME): องค์กรนี้กำหนดมาตรฐานสำหรับโครงการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านและแพทย์เฉพาะทางต่อยอด ทั้งสำหรับแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ออสทีโอพาธีย์ คำสั่งกล่าวว่า ACGME "'คาดหวัง' ให้สถาบันต่างๆ มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการรับสมัครและรักษาบุคคลที่มีบทบาทน้อยในวงการแพทย์" โดยเฉพาะ "กลุ่มคนเชื้อชาติและชาติพันธุ์ส่วนน้อย"
เหตุผลหลักที่คำสั่งนี้ยกมาคือ "มาตรฐานในการฝึกอบรมแพทย์ในอนาคตควรเน้นเฉพาะการให้การดูแลที่มีคุณภาพสูงสุด และไม่ควรกำหนดให้มีการเลือกปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างแน่นอน" นอกจากนี้ คำสั่งยังส่งสัญญาณว่าจะ กลับมาให้การยอมรับองค์กรรับรองใหม่ๆ เพื่อเพิ่มการแข่งขันและความรับผิดชอบในการส่งเสริมหลักสูตรการศึกษาที่มีคุณภาพสูง คุ้มค่า และมุ่งเน้นผลลัพธ์ของนักศึกษา ซึ่งหลายฝ่ายตีความว่านี่อาจเป็นแรงกดดันให้องค์กรเดิมต้องทบทวนหรือยกเลิกเกณฑ์ DEI ของตน
เสียงจากองค์กรรับรอง ยืนยันเป้าหมาย แต่พร้อมรับฟัง
เมื่อถูกพุ่งเป้า แน่นอนว่าทั้ง LCME และ ACGME ก็ออกมาตอบสนองครับ
LCME: แถลงว่าเห็นด้วยกับเป้าหมายของคำสั่งพิเศษที่ต้องการให้หลักสูตรแพทยศาสตรศึกษาและบัณฑิตแพทย์มีคุณภาพสูงสุด และจะร่วมมือกับฝ่ายบริหารในการให้ข้อมูล และแสดงหลักฐานความมุ่งมั่นในการประเมินคุณภาพหลักสูตรโดยอิงตามผลลัพธ์ เพื่อผลิตแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ก่อนหน้านี้ LCME เคยชี้แจงประเด็น DEI ต่อคณะกรรมาธิการการศึกษาและแรงงานของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว
ACGME: กล่าวว่าให้ความสำคัญกับคำสั่งนี้อย่างยิ่ง และกำลังประเมินผลกระทบต่อมาตรฐานขององค์กร พวกเขาย้ำภารกิจในการปรับปรุงการดูแลสุขภาพและสุขภาพของประชากร โดยการประเมินและเพิ่มคุณภาพการศึกษาของแพทย์ประจำบ้านและแพทย์เฉพาะทางต่อยอด และมุ่งมั่นเตรียมความพร้อมให้แพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยด้วยคุณภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผ่านการศึกษาที่พวกเขาได้รับ
จะเห็นได้ว่าทั้งสององค์กรต่างยืนยันในเป้าหมายด้านคุณภาพการศึกษา แต่ก็แสดงท่าทีพร้อมที่จะทำงานร่วมกับฝ่ายบริหาร ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันที่เกิดขึ้นครับ
ความกังวลและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น มุมมองจากนักวิชาการและสถาบัน
คำสั่งนี้ไม่ได้มีแต่เสียงตอบรับจากองค์กรที่ถูกกล่าวถึงเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความกังวลในวงกว้างครับ
ความโกลาหลที่อาจตามมา: ดร. ไบรอัน คาร์โมดี กุมารแพทย์โรคไตและผู้เชี่ยวชาญด้านแพทยศาสตรศึกษา ให้สัมภาษณ์กับ MedPage Today ว่า หากรัฐบาลเพิกถอนอำนาจการรับรองของ LCME และ ACGME แล้วเปิดให้มีองค์กรใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน อาจก่อให้เกิดความโกลาหลได้ เพราะองค์กรใหม่ๆ ย่อมมีแนวคิดเกี่ยวกับมาตรฐานที่เหมาะสมแตกต่างออกไป
ปัญหาเชิงปฏิบัติ: ดร. คาร์โมดี ชี้ว่าองค์กรรับรองใหม่ๆ ไม่น่าจะสามารถขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพเทียบเท่า LCME และ ACGME ได้ในทันที เนื่องจากองค์กรเดิมมีงบประมาณมหาศาล บุคลากรจำนวนมาก และโครงสร้างพื้นฐานที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษ
ผลกระทบทางการเงิน: โรงพยาบาลที่เป็นสถาบันสอนและฝึกอบรมแพทย์ ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุน Medicare Trust Fund ถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2020 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านและเงินเดือนคณาจารย์ หากโรงพยาบาลเหล่านี้สูญเสียสถานะการรับรอง ก็จะสูญเสียเงินทุนส่วนนี้ไปด้วย
การแทรกแซงทางการเมือง: ดร. คาร์โมดี แสดงความเห็นว่า การที่นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงมาตรฐานการรับรองโดยตรง และแต่งตั้งองค์กรรับรองที่ภักดีต่อแนวคิดทางการเมืองของตน ไม่น่าจะทำให้การดูแลผู้ป่วยดีขึ้น และคาดว่าประเด็นนี้อาจนำไปสู่การฟ้องร้องในชั้นศาลได้
ความกังวลจากมหาวิทยาลัย: คณะกรรมการผู้สำเร็จราชการแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งดูแลโรงเรียนแพทย์ 6 แห่ง ผลิตบัณฑิตแพทย์กว่า 700 คนต่อปี แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับมหาวิทยาลัยและนักศึกษา พวกเขาย้ำถึงความสำคัญของการรับรองมาตรฐานในการรักษาความไว้วางใจของสาธารณชน และทำให้มั่นใจว่านักศึกษาสามารถเทียบโอนหน่วยกิต เข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงิน และได้รับปริญญาที่มีคุณค่าตลอดชีวิต
เสียงสนับสนุนคำสั่ง มุมมองที่แตกต่าง
ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีผู้ที่เห็นด้วยกับคำสั่งพิเศษนี้ครับ ดร. สแตนลีย์ โกลด์ฟาร์บ ประธานบอร์ดขององค์กร Do No Harm ซึ่งต่อต้านความพยายามใช้ DEI ในโรงเรียนแพทย์มานาน ให้สัมภาษณ์กับ MedPage Today ว่า กลุ่มของเขาสนับสนุนคำสั่งนี้อย่างยิ่ง
DEI อาจลดทอนคุณภาพ?: ดร. โกลด์ฟาร์บ เชื่อว่าการนำ DEI มาใช้ในกระบวนการคัดเลือก อาจนำไปสู่การรับนักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการด้อยกว่าเข้ามา ซึ่งจากผลการศึกษาหลายชิ้นพบว่า นักศึกษากลุ่มนี้มักมีผลการเรียนไม่ดีเท่าที่ควร และอาจส่งผลต่อผลลัพธ์การรักษาผู้ป่วยที่ไม่ดีนัก วัดจากอัตราการเสียชีวิตและการกลับมารักษาซ้ำ
การตั้งคำถามกับ Holistic Admissions: เขายกตัวอย่างว่า บางโรงเรียนแพทย์ได้ยกเลิกการใช้คะแนนสอบมาตรฐานอย่าง MCAT (Medical College Admission Test) แล้วหันไปใช้สิ่งที่เรียกว่า "การรับเข้าศึกษาแบบองค์รวม" (Holistic Admissions) แทน ทำให้ไม่สามารถทราบผลการเรียนที่แท้จริงของนักศึกษาได้ การยกเลิกการทดสอบมาตรฐานทำให้ไม่มีฐานที่ชัดเจนในการประเมิน และเหลือเพียงเกณฑ์ที่สถาบันกำหนดขึ้นเอง
ขอบเขตที่กว้างกว่า: องค์กร Do No Harm ยังได้เผยแพร่เอกสารที่ระบุรายชื่อองค์กรรับรองมาตรฐานทางการแพทย์อื่นๆ นอกเหนือจาก LCME ที่พวกเขาเชื่อว่าส่งเสริม DEI เช่น สภาการรับรองการศึกษาเภสัชศาสตร์ (Accreditation Council for Pharmacy Education), สมาคมวิทยาลัยพยาบาลแห่งอเมริกา (American Association of Colleges of Nursing), และอื่นๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าผลกระทบของแนวคิดเรื่อง DEI และการต่อต้านนี้อาจขยายวงกว้างกว่าแค่ในโรงเรียนแพทย์
บทสรุป จุดสมดุลอยู่ที่ไหน?
เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างแนวคิดที่แตกต่างกันในการกำหนดทิศทางของแพทยศาสตรศึกษาครับ ฝ่ายหนึ่งมองว่า DEI เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความเท่าเทียมและผลิตบุคลากรที่เข้าใจความหลากหลายของผู้ป่วย แต่อีกฝ่ายกังวลว่า DEI อาจลดทอนมาตรฐานทางวิชาการและส่งผลเสียต่อคุณภาพการรักษาพยาบาล
ผมในฐานะเภสัชกร มองว่าการรักษามาตรฐานสูงสุดในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด แต่ขณะเดียวกัน การเปิดใจรับฟังและทำความเข้าใจความต้องการที่หลากหลายของสังคมก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
แหล่งอ้างหลัก:
Clark, Cheryl. "Trump Order Targets Med School, Residency Accreditors Over 'Unlawful' DEI Standards." MedPage Today, April 25, 2025
โฆษณา