26 เม.ย. เวลา 09:48 • ครอบครัว & เด็ก

พระคุณพระเจ้ามีทุกวัน

2 ซามูเอล 6:12-16 TH1971
[12] มีคนไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า <<พระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า>> ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จไปนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจาก บ้านของโอเบดเอโดมถึงเมืองดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี
[13] และเมื่อผู้ที่หามหีบของพระเจ้าเดินไปได้หกก้าว ดาวิดก็ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง [14] และดาวิดก็ทรงรำถวายแด่พระเจ้าด้วยสุด กำลังของพระองค์ และดาวิดมีเอโฟดผ้าป่านคาดอยู่ที่พระองค์ [15] ดังนั้นแหละดาวิดและพงศ์พันธุ์อิสราเอล ด้วยได้นำหีบของพระเจ้าขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้อง และด้วยเสียงเป่าเขาสัตว์
[16] และขณะเมื่อหีบของพระเจ้าเข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นพระราชาดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายแด่พระเจ้า และนางก็มีใจหมิ่นประมาท
ระยะทางจากบ้านโอเบดเอโดมไปเมืองดาวิดคือยี่สิบกิโลเมตร หกก้าวตีไปสามเมตร หนึ่งกิโลเมตรหยุดถวายฯ วัว 33 ครั้งๆละ2ตัว เท่ากับ66 ตัวต่อหนึ่งกิโลเมตร ระยะทางทั้งหมดยี่สิบกิโลเมตร ใช้วัวทั้งหมดเท่ากับ 1,320ตัว
ถ้าทำพิธีครั้งละ2ชั่วโมง เฉพาะกลางวันได้6 ครั้ง/12ตัวต่อวัน ใช้เวลาพาหีบไปเมืองดาวิดทั้งหมด110วัน สามเดือนกับยี่สิบวัน
ดาวิดให้คุณค่า ให้เวลามากกับการเดินทางพาหีบเข้าเมือง ไม่ได้รีบเร่งเลย? ถ้าเปรียบกับอัมมีนาดับที่เอาหีบขึ้นเกวียน เพราะหวังว่าจะเดินทางได้เร็วกว่า สบายกว่า แต่จบลงที่ลูกชายตาย(อุสซา)
ทุกวันนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วกับเสียงที่คอยบอกให้ทำอะไรแบบเร็วๆ ง่ายๆ สบายๆ เพื่อจะได้ชนะหรือประสบความสำเร็จ?แต่พอได้ฟังกับเรื่องนี้ ก็ทำให้ผมได้คิดกับการที่พระคำพระเจ้าจะถูกตั้งขึ้นในใจได้ยังไง? ผ่านทางการได้คิดใคร่ครวญกับทุกเหตุการแล้วได้เห็นได้ขอบคุณสรรเสริญพระเจ้าครับ
ผมเองฟังแล้วก็ต้องกลับใจในการฟังพระคำและการสอนพระคำผู้อื่น ไม่ใช่มันจะรีบเร่งสั่งได้แบบที่ผมเข้าใจตลอดมาครับ กับการที่พระคำจะเข้ามาในใจ มันไม่ได้ขึ้นกับการพยายามหรือตะเกียกตะกายของตัวเองผู้สอนหรือผู้ฟัง แต่ขึ้นกับความเมตตากรุณาของพระเจ้าครับ
ซึ่งมันเป็นจิตใจที่สกปรกชั่วร้ายด้วยกับการที่ผมคิดแบบนั้น เหมือนกับจิตใจของครอบครัวอัมมีนาดับ ที่ใช้เกวียนบันทุกหีบฯและรีบเข้าไปช่วยประคองหีบฯ ไม่ให้ตก เพราะมันไม่เชื่อว่าตัวเองคือตายแล้วนี้ครับ ทำอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้มีเพียงพระเจ้าพระเยซูเท่านั้นที่กำลังปรนนิบัติข่าวประเสริฐใช้ร่างกายซึ่งเป็นของคริสตจักรพาคนออกจากความบาป พระเจ้าบอกให้ใช้ปุโรหิตหาม แต่ไม่ตามเอาเกวียนมาหามแทน เพราะกลัวหนักกลัวเหนื่อย จิตใจผมเลยครับ คนตายแล้วมันจะมากลัวแบบนี้ได้ยังไง?
มันไม่ได้รู้สึกชื่นชมยินดีตอนได้สอนหรือสามัคคีธรรมฟังพระคำจากผู้รับใช้ บ่อยครั้งก็มีคำบ่นทำไมอีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง ทำไมอาจารย์พูดสอนแต่เรื่องเดิมๆ รู้แล้ว หรือเบื่อจะสามัคคีธรรมกับคนนี้ ไม่เปลี่ยน สอนให้ก็ไม่รับ จิตใจเหมือนอุสซาที่พยายามจะช่วยพระเจ้าเลยครับ พอทำอะไรได้ก็ดีใจ พอปรากฏความล้มเหลวก็เสียใจจมกับความรู้สึกผิด
ความจริงทุกอย่างคือราชกิจของพระเจ้าทั้งหมด กำลังให้พระคุณกับผม จะเป็นการฟังจากคนอื่นหรือการพูดให้คนอื่นฟัง ผมเองก็สอนตัวเองด้วย มันสามารถจะชื่นชมยินดีและขอบพระคุณได้ทุกเรื่องทุกสภาพการ เหมือนดาวิดขอบคุณใหญ่โตทุกๆหกก้าว ไม่เห็นจำเป็นจะต้องรีบเลย พระเจ้าให้อยู่แล้วเพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ก็ได้อยู่ในพระเจ้าแล้ว จะรีบไปไหน? พระเจ้าให้พระคุณทุกวันๆละหลายเรื่อง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมามันไม่เชื่อวางใจพระเจ้าครับ ยังมีเป้าหมายมีความโลภมีความต้องการของตัวเองแล้วก็จดจ้องอยากจะรีบไปให้ถึงแต่ตรงนั้น เหมือนรถยนตร์ที่วิ่งเร็วอยากจะรีบไปให้ถึงจุดหมาย จึงไม่เห็นว่ามีความงามสองข้างทางมากมายแค่ไหนให้ชื่นชมยินดี
พระคำจะถูกตั้งขึ้นในใจ พระเจ้าให้อยู่แล้ว เหมือนเจิมตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นตอนถูกประชาชนตั้งขึ้นเป็นพระราชาจริงๆ มันมีพระคุณผ่านเรื่องราวมากมายที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่เพราะมัวแต่ตามความคิดความโลภของตัวเองเหมือนครอบครัวอัมมีนาดับจึงมองไม่เห็นไม่ได้รับพระคุณพระเจ้า แม้ว่าจะอยู่กับหีบฯ มาถึงยี่สิบปีเพราะไม่เชื่อพระเจ้า ยังเชื่อวางใจกับตัวเอง ไม่ทิ้งกับความเชื่อพระเจ้าตามมาตรฐานตัวเอง ยุคนี้คือไม่ตามมาตรฐานพระคัมภีร์ฯกับคริสตจักรครับ
มองมีคาลแล้วเห็นจิตใจของผมตลอดหลายที่มีต่อคริสตจักร จิตใจที่สูงกว่าอาจารย์ เชื่อมั่นในความรู้ศาสนศาสตร์ที่ตนเคยเรียนมาจากที่อื่น จึงรับความเชื่อจากอาจารย์ไม่ได้ ถ่อมใจลงเป็นศูนย์เริ่มนับหนึ่งใหม่กับอาจารย์เลยไม่ได้ ถ้าไม่มีอาจารย์ที่เข้าใจและอดทนรอคอยสอนพระคำให้เรื่อยๆ ผมก็คงได้แต่จะต้องจบแบบมีคาลจริงๆ ก็ได้แต่ต้องเชื่อพระเจ้าแบบฟาริสี มีแค่ความรู้ไปจนตลอดชีวิตเท่านั้นครับ
โฆษณา