28 เม.ย. เวลา 14:00 • ข่าวรอบโลก
ไทย

เกิดอะไรขึ้น? อัตราภาษีสูงสุดและล่าสุดในประเทศไทยก็ดันไปอยู่ที่ 375.2%

การเจรจาลดภาษีของไทยกับสหรัฐล้ม ซึ่งส่วนทางกับปัญหาภาษีใหม่..นั่นคือ ภาษีพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง
การค้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลง เกิดอะไรขึ้น? เมื่ออัตราภาษีสูงสุดและล่าสุดภาษีแบบนี้ในประเทศไทยก็ดันไปอยู่ที่ 375.2%
1
ควรสังเกตว่าหลังจากที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125%
จีนได้ตอบโต้ด้วยการกล่าวว่า “ไม่มีความเป็นไปได้ทางการตลาดสำหรับสินค้าสหรัฐฯ ที่ส่งออกไปยังจีน หากสหรัฐฯ ยังคงขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯอีก จีนก็จะไม่สนใจ”
แล้วเหตุใด ต่อมาจึงเกิดอัตราภาษีที่สูงผิดปกติถึง 3,521%ล่ะ.? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
1
ตามรายงานของข่าวดังกล่าวมาจากสำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 ตามเวลาท้องถิ่น
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศว่าจะมีการจัดเก็บภาษีศุลกากรสูงจากผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเรียกเก็บภาษี
โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ อ่างเก็บน้ำสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย
395.5% ในเวียดนาม
375.2% ในประเทศไทย
1
34.4% ในมาเลเซีย
และ เนื่องมาจาก “การปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการสอบสวน” สหรัฐฯ อาจเรียกเก็บภาษีผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์จากกัมพูชา 3,521%
1
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาได้ออกแบบ "ภาษีศุลกากรเฉพาะ" สำหรับผู้ผลิตหลักบางราย ตัวอย่างเช่น
ภาษีศุลกากร 41.56% จะถูกเรียกเก็บกับ JinkoSolar ในมาเลเซีย
ภาษีศุลกากร 375.19% จะถูกเรียกเก็บกับ Trina Solar ในประเทศไทย
1
และภาษีศุลกากรประมาณ 120% อาจถูกเรียกเก็บกับ JA Solar ในประเทศเวียดนาม
คงต้องบอกว่านี่มันตั้งใจทำให้คนทำงานด้านนี้ปวดหัวจริงๆ!
อรกว..แล้ว.....ความแตกต่างระหว่าง 3,521% กับ 395.5%, 375.2%, หรือ 375.19% คืออะไร?
ตามข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ ในปี 2567
ฟาร์มโซลาร์เซลล์ลอยน้ำขนาดใหญ่บนอ่างเก็บน้ำในชวาตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย
สหรัฐฯ ได้นำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 12.9 พันล้านดอลลาร์จากเวียดนาม ไทย มาเลเซีย และกัมพูชา
แต่สิ่งนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ทำในอดีตเท่านั้น และทุกอย่างกำลังต้านทานต่อพายุลูกนี้อยู่ในขณะนี้
ตามรายงานของสำนักข่าว Reuters สหรัฐฯ ได้เคยออกคำขู่ที่จะเก็บภาษีกับประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหล่านี้ในปี 2567มาแล้ว
สิ่งนี้ได้ส่งผลให้การค้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในปีนี้จนถึงขณะนี้ ปริมาณผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่สหรัฐฯ ได้นำเข้าจากประเทศเป้าหมายมีแค่ 4 ประเทศ
นั่นคือ... มาเลเซีย กัมพูชา ไทย และเวียดนาม
นี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การขนส่งแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศเช่น ลาว และอินโดนีเซียที่ต่างก็เพิ่มขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐอเมริกาจะไม่นำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากลาวหรืออินโดนีเซียเช่นกัน
เพราะบางทีแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า สักวันหนึ่งในอนาคต สหรัฐอเมริกาอาจจะมีศักยภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์จากพลังงานแสงอาทิตย์
และสามารถพึ่งพาตนเองได้
โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ อ่างเก็บน้ำสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย
นั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่อเมริกายังคงยิ่งใหญ่(กัน)ต่อไป
1
เมื่อถึงเวลานั้น สหรัฐอเมริกาจะไม่เพียงแต่สามารถผลิตและขายผลิตภัณฑ์ของตนเองได้เท่านั้น
แต่ยังสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ หากเป็นไปได้ และจะเป็นการดีที่สุดหากประเทศอื่นจะโดนเก็บภาษีศุลกากรน้อยลง...
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ความฝันอันงดงามเหล่านี้จะยังไม่เกิดขึ้นจริง
การนำเข้าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐอเมริกาในขณะนี้มันเหมือนกับ... ถ้าหากคุณไม่ชอบอันนี้ ให้ไปเก็บภาษีอันนี้ก่อน!
นี้เป็นเรื่องจริง (ที่ผมชอบเอามาพูดเล่น)
สอดคล้องกับที่ทนายความจากสมาคมการผลิตแห่งอเมริกา (American Manufacturing Association) กล่าวว่า
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศคุกคามผลประโยชน์ของผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา
บางคนถึงกับบอกว่าครั้งนี้สหรัฐฯ โจมตีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเปิดเผย
และตั้งเป้าโจมตีผลประโยชน์ของฝั่งจีนโดยเฉพาะ
“เนื่องจากบริษัทจีนในมาเลเซีย กัมพูชา ไทย และเวียดนาม มีส่วนร่วมในกิจกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม
1
และสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ มาช้านาน
รัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้กำหนดภาษีศุลกากรกับประเทศเหล่านี้และรวมถีงบริษัทบางแห่ง”
ทันทีที่แถลงการณ์นี้ออกมา สมาคมอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐอเมริกา (SEIA) ก็ไม่ยอมซื้อของไปตามปริยาย!
SEIA กล่าวว่า "ภาษีศุลกากรจะส่งผลเสียต่อผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ เนื่องจากจะทำให้ราคาเซลล์ที่นำเข้าเพิ่มสูงขึ้น"
และอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ ควรมีความร่วมมือกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น
ผมก็แค่อยากจะบอกว่า SEIA ก็เหมือนปลาที่ว่ายในน้ำ เพียงแต่มันรู้ว่าตอนนี้น้ำ มันร้อนหรือเย็น ก็เท่านั้น!
1
เดิมทีโลกเชื่อมโยงกัน ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศมีต้นทุนทรัพยากรบุคคลค่อนข้างถูกในช่วงเวลานี้
บริษัทบางแห่งจากประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโตในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ลงทุนและเปิดโรงงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นพื้นฐานเพื่อขายให้กับสหรัฐอเมริกา
ท้ายสุดแล้ว..บริษัทอเมริกันบางแห่งรับหน้าที่ประกอบขั้นสุดท้ายแล้วจึงขายผลิตภัณฑ์ที่เสร็จแล้วให้กับผู้ใช้ในอเมริกา
ถ้าเป็นแบบนั้น...ในบรรดาลึงค์ เฮ้ยยย... บรรดาลิงก์การผลิตเหล่านี้ ลิงก์ไหนให้ผลประโยชน์มากที่สุดกันล่ะ?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นลิงค์ที่ทำให้การประกอบขั้นสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์และนำไปสู่ผู้ใช้งาน
และโปรดทราบว่านี่...เป็นความรู้พื้นฐานตื้นๆทางเศรษฐศาสตร์ง่ายๆ!
ใครก็ตามที่สามารถติดต่อกับผู้ใช้งานโดยตรงก็มีแนวโน้มที่จะมีอัตรากำไรสูงสุด
เช่นกัน...เนื่องจากเหตุนี้ ค่าเช่าที่แตกต่างกันของที่ดินเพื่อการเกษตรจึงต่ำกว่าค่าเช่าที่ดินเพื่ออุตสาหกรรม
และค่าเช่าที่แตกต่างกันของที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมก็ต่ำกว่าค่าเช่าที่ดินเพื่อการค้า
แต่บางคนในรัฐบาลสหรัฐฯ บอกว่าไม่ใช่ สหรัฐฯ เสียเปรียบ! ฮาาา
ผู้ผลิตเหล่านี้จะทำเงินได้อย่างไรในช่วงที่รับมาไม่กี่ลิงก์(สายป่าน)แรก?
พวกเขาไม่ควรทำเงินได้มากมายนัก แรงงานราคาถูกสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารและเสื้อผ้าเพียงครึ่งเดียว และจงขอบคุณการกุศลจากสหรัฐอเมริกา
คำกล่าวนี้ไม่น่าเชื่อเลย! ทำไมใครถึงอยากใช้ชีวิตแบบคนอเมริกันล่ะ?
เอาล่ะๆๆๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงปราบปรามอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยอ้างว่า
เป็น “แรงงานบังคับ” และ “การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม”
เห็นชัดว่าเขาต้องการหาเงินจำนวนมาก และไม่อยากให้คนอื่นหาเงินให้ แต่กล้าที่จะพูดว่าประเทศอื่นไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ฮาาาา.
คุณ(สหรัฐ)กำลังคิดอะไรอยู่?
คุณที่คิดจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกมีความเมตตาต่อประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้างหรือไม่ล่ะ?
พวกเขาต้องการเสริมสร้างความเข้มแข็งโดยรวมของประเทศเหล่านี้หรือปรับปรุงความสุขของประชาชนของตนเองหรือไม่ล่ะ ?
แม้แต่ประเทศที่เปราะบางอย่างเฮติ ซึ่งกำลังใกล้จะล่มสลาย และประชาชนต้องอยู่อย่างยากลำบาก ก็ไม่รอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ มันเป็นเรื่องที่โหดร้าย ไร้เหตุผล และน่าเศร้ามาก
สหรัฐอเมริกาไม่เว้นแม้แต่เฮติด้วยซ้ำ ยังมีใครอยากเรียกร้องให้สหรัฐฯ ปล่อยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปบ้างไหม?
กล่าวคือ กัมพูชาเองก็มีความฝันของตนเองไม่น้อยไปกว่าไทยเช่นกัน
นั่นคือการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงภายในปี 2573 และจะเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2593
1
แต่ในขณะนี้ สหรัฐฯ ได้จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องสูงถึง 3,521% ความฝันของกัมพูชาจะพังทลายลงหรือไม่
เจ้าหญิงนโรดม เจนณะ
อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกายังคงเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หากสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมในโลกาภิวัตน์ ความเร็วที่ชะตากรรมของมนุษยชาติจะไปถึงฝั่งฝันที่ดีกว่าก็จะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วถ้าอเมริกาไม่เข้าร่วมล่ะจะเกิดอะไรขึ้น?
ก้อ....เพียงแค่ช้าลงนิดหน่อย แต่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งคนอเมริกันในที่สุดก็จะมุ่งหน้าไปสู่อีกด้านหนึ่ง
และแม้แต่ประเทศไทยก็สามารถแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในพื้นที่อื่นได้ อาจไม่สามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วจากการจัดหาสินค้าจำนวนมากให้สหรัฐฯ ก็ตาม
ส่วนตัวผมเชื่อว่า ...ไทยเราจะสามารถเอาชนะความยากลำบากและนำพาสายรุ้งกลับคืนมาหลังผ่านพายุหนักในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
1
โฆษณา