28 เม.ย. เวลา 15:27 • ประวัติศาสตร์

เหตุใด​ "ภาษามลายู" จึง​ถูก​มอง​ว่าเป็น​ "ภาษาอิสลาม"

ในบางมุมของโลกมลายู มีความเชื่อหนึ่งแทรกตัวอยู่อย่างแนบแน่น “ว่าภาษามลายูคือภาษาอิสลาม” ความเชื่อนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่ก่อตัวขึ้นจากเส้นทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน ราวกับลำน้ำหลายสายไหลรวมสู่แม่น้ำใหญ่​ เพื่อเข้าใจรากเหง้าของปรากฏการณ์นี้ เราต้องตามรอยสายน้ำเหล่านั้นทีละสาย ก่อนจะย้อนกลับมามองแม่น้ำสายหลักด้วยสายตาใหม่
สายน้ำแรก: ประวัติศาสตร์การเผยแผ่อิสลามในโลกมลายู
ในคริสต์ศตวรรษที่ 12–14, เมล็ดพันธุ์แห่งอิสลามถูกหว่านลงในดินแดนหมู่เกาะนี้โดยพ่อค้า, นักเผยแผ่ศาสนา, และอุลามะอ์​ (ปราชญ์มุสลิม) สิ่งสำคัญคือ พวกเขาเลือกใช้ภาษาท้องถิ่น​ โดยเฉพาะ​ “ภาษามลายู “เป็นสื่อกลางในการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม
1
ภาษามลายูจึงไม่ได้เป็นแค่ภาษาพูดคุย แต่กลายเป็นสะพานนำความศรัทธามาถึงผู้คน หลายคำศัพท์ใหม่ เช่น "Iman​ - อีมาน​" "Solat - ซอลัต " "Halal​ ​- ฮาลาล​" และ "Haram​ - ฮาราม" ถูกรับเข้ามาในคลังภาษามลายูอย่างแนบเนียน เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่งอกงามจนกลืนไปกับดิน
สายน้ำที่สอง: อิทธิพลของตัวอักษรญาวี
เมื่อศาสนาใหม่หยั่งราก รูปแบบการเขียนใหม่ก็ตามมา ตัวอักษรยาวี (อักษรอาหรับที่ปรับให้เหมาะกับเสียงในภาษามลายู) เริ่มใช้ในเอกสารราชการ งานวรรณกรรม และตำราศาสนา
การเปลี่ยนแปลงนี้ลึกซึ้งกว่าที่เห็น เพราะเมื่อการเขียนและการสื่อสารทางราชการใช้ระบบเดียวกับคัมภีร์อัลกุรอาน ย่อมทำให้ความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างภาษามลายูกับอิสลามแน่นแฟ้นขึ้นอีกขั้น
สายน้ำที่สาม: ภาษาราชสำนักและรัฐศาสนา
ในยุคของสุลต่านแห่งมะละกา ยะโฮร์-เรียว และอาเจะห์ รวมถึงรัฐปา ตานี​ ภาษามลายูไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสารทั่วไป แต่คือภาษาทางการของกฎหมายอิสลาม การปกครอง และการอ่านคุตบะห์​ (เทศนาธรรม) ในมัสยิด ภาษามลายูกลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจที่เชื่อมโยงทั้งรัฐและศาสนาเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก
สายน้ำที่สี่: อัตลักษณ์ทางศาสนาในตัวภาษา
หากเปิดพจนานุกรมภาษามลายู จะพบว่าคำศัพท์จำนวนไม่น้อยมีพื้นฐานมาจากศาสนา สิ่งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าภาษามลายูมี "กลิ่นอายอิสลาม" ฝังอยู่ในตัวมันเอง
และเมื่อมาเชื่อมโยงกับข้อกำหนดตามกฎหมายในรัฐมาเลเซียที่นิยาม "คนมลายู" ว่าต้องนับถือศาสนาอิสลามด้วย​ เส้นสายระหว่างภาษา​ ชาติพันธุ์ และศาสนาจึงถักทอแน่นหนาจนแทบแยกไม่ออก
แต่เมื่อความเชื่อว่า "ภาษามลายูเท่ากับอิสลาม" ฝังรากลึกโดยไม่ตั้งคำถาม มันก็อาจกลายเป็นกับดักเงียบ ๆ เช่นกัน ราวกับแม่น้ำที่เริ่มกัดเซาะตลิ่งอย่างช้า ๆ
๑. มันผลักคนต่างศาสนาออกไป
หากภาษาเป็นเหมือน "ห้องเฉพาะสมาชิก" คนที่ไม่ใช่มุสลิมอาจรู้สึกแปลกแยก และภาษามลายูก็พลาดโอกาสเป็นสะพานเชื่อมสังคม
๒.​ มันเสี่ยงต่อการถูกใช้ทางการเมือง
การผูกภาษากับศาสนาอย่างแนบแน่นทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือปลุกปั่นอารมณ์ในเกมการเมืองได้ง่าย
๓.​ มันสร้างความสับสนระหว่างศาสนาแท้กับวัฒนธรรมท้องถิ่น
ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อศรัทธา แต่ภาษาเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสาร​ การผสมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันโดยไม่แยกแยะ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในแก่นแท้ของศาสนาอิสลามเอง
มองกลับไปยังต้นน้ำแห่งปัญหา
บทบาทของนโยบายเจ้าอาณานิคม
ก่อนจะสรุปภาพทั้งหมด เราต้องมองเห็นอิทธิพลอีกประการหนึ่ง อิทธิพลที่เหมือนมือที่มองไม่เห็น​ ที่คอนนวด​ ปั้น​ และก่อร่างสร้างเส้นทางประวัติศาสตร์นี้​ “นโยบายแบ่งแยกและปกครองของอังกฤษ”
อังกฤษในยุคอาณานิคมได้แยกสังคมตามเชื้อชาติและหน้าที่​ ชาวมลายูถูกกำหนดให้อยู่ในชนบทเพื่อทำการเกษตร ชาวจีนอาศัยในเมืองเพื่อการค้า ชาวอินเดียให้อยู่ในไร่เพื่อใช้แรงงาน การแยกกันอยู่เช่นนี้ทำให้ชาวมลายูดำรงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่วัฒนธรรมและศาสนาเข้มข้นยิ่งขึ้น
ระบบการศึกษาอังกฤษก็ตอกลิ่มให้ลึกลงไปอีก นโยบายแบ่งแยกโรงเรียนตามชาติพันธ์ โดยโรงเรียนมลายูมีการสอนศาสนาและจริยธรรมแบบดั้งเดิม ขณะที่ความรู้สมัยใหม่และการบริหารใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ภาษาอังกฤษถูกมองว่าเป็นภาษาของความก้าวหน้าและโลกสมัยใหม่ ภาษามลายูจึงกลายเป็นภาษาแห่ง "ศรัทธา"
เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกว่าภาษามลายูคือภาษาแห่งศาสนาอิสลามจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ภาพลวงตาที่บดบังภาพแห่งความเป็นขริงที่ว่า "ภาษามลายูคือภาษาอิสลาม" มีรากเหง้าจากทั้งศรัทธาที่แท้จริงและการออกแบบทางสังคมอย่างแยบยล
หากเราเข้าใจชั้นเชิงของเรื่องนี้ได้อย่างครบถ้วน​ เราจะรู้ว่าภาษามลายูมีศักยภาพมากกว่าการเป็นเพียงสะพานสู่ศรัทธา มันยังสามารถเป็นสะพานเชื่อมสู่อนาคต หากเราเปิดประตูของมันกว้างพอ
ภาษาก็เหมือนแม่น้ำ ที่สามารถไหลไปได้ไกล ขึ้นอยู่กับว่าคนริมฝั่งเลือกที่จะ​ “ขุดลอกมัน”​ หรือ​ “ขวางกั้นมัน”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา