3 พ.ค. เวลา 01:15 • ความคิดเห็น
เรื่องของอารมณ์ นั่นมีเรื่องราวของจิตแต่ละดวง สะสมมาไม่เหมือนกัน บางคนอ่อนไหวง่าย มีนิสัยที่แตกต่างกัน ..มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน .ที่ว่าเป็นวิบากกรรม คราวนี้ ..เมื่อเรามีการทำงานทำงาน มีภาระ ต่างๆ ไปสถานที่นั้นที่นี้ ..ยิ่งสมัยนี้ ยิ่งมีสื่ออะไรต่างๆ เข้าถึง ตัวได้มากมาย มีสรรพทุกข์สรรพสุข สรรพโรค สรรพภัย สรรพวินาสายะ ต่างๆมากมายไหลออก มาจากจอสี่เหลื่อม .
พอตาเห็น หูได้ยิน ..มันก็มีอารมณ์อะไรมากมายเกิดขึ้น ที่เรียกว่า ไหลมาเทมา ลงมาที่ศรีษะ มีทั้ง ขำหัวร่อ มีทั้งเรื่องคนตีกันทะเลาะ รังแกกัน เรื่องราวดี ..ก็มี. ก็อยู่ที่คนเลือกดู
..กลับเรื่องตาเรื่องหู เรื่องวิญญาณทั้งหก นั้นมันมีการเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆ มีความพอใจ ไม่พอใจเกิดขึ้น แล้วก็มีอารมณ์ต่างๆ ที่ไปยึดเรื่องนั่นเรื่องนี้ เข้ามาเก็บไว้ ที่ธาตุทั้งสี่ เหมือนสีที่ทาลงไปที่พื้น ทาไปเรื่อยๆ ทับไปทับมา พอมากเข้าๆ มันก็..เหมือนเอาอะไรมารัดตัว รัดกาย เลือดลมก็ไม่ปดติด เป็นสีดำ .สีม่วง มีการอุดตรงนั้นตรงนี้ หัวใจก็ทำงานหนักเพิ่มขึ้น ..ด้วยอารมณ์กรรมที่สะสมมา บีบรัด .เส้นประสาท ปวดหัว ตัวร้อน เหมือนเป็นไข้
เรื่องหนึ่ง ที่เราก็สวดมนต์ไหว้พระมาเป็นเวลาพอสมควร ..ก็มีพระท่านบอกว่า เอาใหม่ เราฝึกหัด ..ก่อนออกจากบ้าน ..ก็ไปนั่งหน้าพระ กราบพระ แล้วนั่งนิางๆ ว่า จิตข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรื่อนกายของคุยบิดามารดา วันนี้ข้าพเจ้า ..ต้องออกไปทำงาน ..ไปสร้างกรรม ..มีอารมณ์ต่างๆ . พอตกเย็น ก็ไปนั่งหน้าพระ ..ก็พูด เหมือนตอนเช้า ก็นั่งนิ่งๆ เฉยๆ ..เราก็ทำของเราอย่างนี้ ใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยๆ เห็นว่ามีอะไร สงสัยว่า จิตมันคงหนา..
พอเราทำนานเข้าทุกวันๆ ทำไปๆ เราก็ค่อยๆ สังเกต .เปรียบเทียบ ตอนเช้ากับตอนเย็น ..ตอนเย็นที่ไปนั่งกรายพระ ..พอนั่งปุ๊บ ..บางวันก็แสบร้อน บางวันก็เหมือนนั่งตากแดดร้อนหึ่ง บางวันก็ปวดเมื่อย ไม่อยากมากราบพระ เราก็สังเกตุ เปรียบเทียบ ตอนเช้าตินเย็น ในอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ..แต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน
. นั่นคือ การฝึกหัด หมั่นสำรวจ ตัวเอง ด้วยการอาศัยคำว่า พระเป็นที่พึ่งของจิต มันไม่ใช่ว่า ทำครั้งเดียว จะสังเกตได้ เราก็ทำมานานหลายปี ก็สังเกตได้ชัดเจนขึ้น ในเรื่องราวของคำว่าวิญญาณทั้งหก ทีเคลื่อนที่ไป ไปเอาสิ่งนั่นสิ่งนี้ วิญญาณทั้งหก ก็เหมือนหัวเรือเอาไปกระแทก โขดหิน ผักตบ มาเน่าลอยมา ..อารมณ์ต่างๆ เหมือนลอยตามน้ำ กระแสน้ำ มีน้ำใสน้ำเน่าน้ำขุ่น ..อารมณ์ที่ไหลมากับน้ำ ปะทะที่หัวเรือ
เมื่อเราหันหัวเรือ ..ที่บอบช้ำ ที่มีอะไรรกรุงรัง ติดมากับหัวเรือ ..เรามันมานั่งกราบพระ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ..เหมือนให้พระส่องแสงลงมา เหมือนน้ำ สะอาดสะอ้าน ไหลมา ..ชำระล้าง สิ่งสกปรก ที่หัวเรือ วิญญาณทั่งหดออกไป สิ่งสกปรกก็ค่อยๆหลุดลอกออกไปๆ น้ำเลือดน้ำหนองในกาย ก็ค่ิอยๆ เปลี่ยนสี จากดำๆม่วงๆ เป็นสีแดง เลือดลมที่อุดตัน ก็ค่อยๆ คลี่คลายออกไป ๆ ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น ..ความเครียดอะไรก็ไม่ค่อยมาเกิดขึ้น ..เพราะเราก็ได้ สลัดทิ้งอารมณ์กรรม ล้างมันออกไปทุกวัน ที่ไปนั่งกราบพระ .ตอนเข้าตินเย็น
เราฝึกหัดที่บ้าน หน้าหิ่งพระน้อยๆ ของเรา หยอดกระปุก ใสในกายนี้ ให้กายกรรม มีบุญกุศลหนุนนำ ให้เกิดเป็นกายบุญ ..พอกายบุญเกิดขึ้น ..กายเรามีบุญ จิตอาศัยในกายบญ ก็มีความสุข มีบุญกุศลหล่อเลี้ยงกายหล่อเลี้ยงจิต ที่ที่เค้าว่า ให้กายมีบุญ จืตมีธรรม.. เราก็มีโอกาส ได้รู้จัก .ว่าเป็นอย่างไร เราก็ฝึกหัดไปเรื่อยๆ เหมือนออกกำลัง .ทั่งเช้าและเย็น ออกกำลังภายใน ที่ต้องอาศัยความเพียรพยายาม
..วันหนึ่ง เราก็ได้ ความคล่องแคล่ว สติสัมปชัญญะ รู้จักอารมณ์กรรมที่เรายึดโดยความไม่รู้ ..มีความคล่องแคล่ว ที่จะรู้จักโลก รู้ธรรม เราก็เลือกสร้างบุญกุศลบารมี
โฆษณา