4 พ.ค. เวลา 14:52 • ประวัติศาสตร์

คำสันสกฤตในภาษามลายู

ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา และภาษา เรามักคาดหวังว่าความต่างจะนำไปสู่ความขัดแย้ง แต่ในบริบทของภาษามลายู สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม
ความต่างได้รวมตัวกลายเป็นรากฐานของความเข้าใจร่วมกัน และหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนคือ การมีอยู่ของคำสันสกฤตในระบบคำของภาษามลายู
คำอย่าง raja, bahasa, agama, duta, kapur, หรือ kaya แม้จะดูเป็นคำมลายูดั้งเดิมในปัจจุบัน แต่แท้จริงแล้วล้วนเป็นคำที่เดินทางจากอินเดีย ผ่านหลายศตวรรษและหลายสังคม ก่อนจะหยั่งรากลงในภูมิภาคมลายู คำเหล่านี้ไม่ใช่เพียง “การยืมทางภาษา” แต่คือเครื่องหมายของ การพบกันทางอารยธรรม
เมื่ออินเดียโบราณยื่นมือมาทางตะวันออกเฉียงใต้ผ่านนักบวช พ่อค้า และราชทูต และโลกมลายูก็เปิดประตูต้อนรับด้วยความเข้าใจและการปรับใช้
สิ่งที่ทำให้คำสันสกฤตเหล่านี้ "อยู่รอด" มิใช่เพียงเพราะอิทธิพลทางการเมืองหรือศาสนา แต่เพราะ คำเหล่านี้สะท้อนแนวคิดสากลบางอย่าง ที่ผู้คนในโลกมลายูสามารถเข้าใจและยอมรับได้ เช่น:
  • ​raja ไม่ใช่แค่ “กษัตริย์” แต่เป็นภาพแทนของผู้นำผู้มีธรรม
  • ​bahasa ไม่ใช่แค่ “ภาษา” แต่คือการเชื่อมโยงมนุษย์
  • ​agama ไม่ใช่แค่ “ศาสนา” แต่หมายถึงแนวทางชีวิต
นี่คือจุดร่วมในความต่าง
เมื่อแนวคิดที่มีคุณค่าสากลเดินทางผ่านวัฒนธรรมหนึ่งมาสู่อีกวัฒนธรรมหนึ่งหากมีพื้นที่แห่งความเข้าใจร่วม คำนั้นจะไม่เพียงถูกยืม แต่จะกลายเป็นของเราเอง
การที่ชาวมลายูในอดีตไม่ปฏิเสธคำเหล่านี้ แต่กลับนำมาใช้ ดัดแปลง และใส่ความหมายใหม่เข้าไป สะท้อนให้เห็นว่า ภาษาไม่ใช่กำแพง แต่คือพื้นที่กลางสำหรับการฟังซึ่งกันและกัน
คำยืมจากสันสกฤตจึงไม่ใช่เพียงหลักฐานของอิทธิพลทางวัฒนธรรม แต่คือ บทเรียนเรื่องการอยู่ร่วมกันของคนต่างพื้นเพ ที่เห็นตรงกันในคุณค่าบางอย่าง จึงเลือกใช้ถ้อยคำเดียวกัน
คำจากภาษาสันสกฤตไม่ได้ปรากฏขึ้นในภาษามลายูอย่างปุบปับ หากแต่มันเดินทางผ่าน “เส้นทางอารยธรรม” ที่หลากหลาย บางคำถูกส่งผ่านพระสงฆ์ บางคำแลกเปลี่ยนผ่านสินค้าทางเรือ บางคำเข้ามาพร้อมระบบราชสำนัก แต่ทั้งหมดต่างมุ่งหน้าไปสู่จุดเดียวกัน การลงหลักปักฐานในภาษาและความคิดของผู้คนในโลกมลายู
เราสามารถจำแนกเส้นทางสำคัญของคำสันสกฤตที่เข้าสู่มลายูได้ 3 สายหลัก ดังนี้:
เส้นทางแห่งศาสนาและจิตวิญญาณ
ในช่วงศตวรรษที่ 7 เป็นต้นมา ศาสนาฮินดูและพุทธเริ่มเผยแผ่เข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะผ่านอาณาจักรศรีวิชัยและมัชปาหิต พร้อมกับพระภิกษุ นักพรต และคัมภีร์ภาษาสันสกฤต คำอย่าง:
  • ​syurga (สวรรค์),
  • ​neraka (นรก),
  • ​mantra (คาถา),
  • ​agama (ศาสนา),
  • ​dharma (ธรรม)
ล้วนมาจากบริบทศาสนาและจิตวิญญาณของอินเดีย แต่มาอยู่ในบริบทใหม่ที่ประชาชนมลายูสามารถเข้าใจและแปลความหมายให้สอดคล้องกับชีวิตของตน
เส้นทางแห่งการค้าและการแลกเปลี่ยน
การค้าระหว่างอินเดียกับคาบสมุทรมลายูเจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณ พ่อค้าจากอินเดียเดินทางมายังท่าเรือในมะละกา ตะละกา และปัตตานี พร้อมทั้งสินค้าหรูหราและแนวคิดใหม่ๆ คำสันสกฤตจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ การเงิน และการดำรงชีวิตจึงหลั่งไหลเข้ามา เช่น:
  • ​kapas (ฝ้าย),
  • ​kaya (มั่งคั่ง),
  • ​dana (ทุน),
  • ​ratna (อัญมณี)
คำเหล่านี้ไม่ได้เดินทางมาเพียงในหีบสินค้าทางเรือ แต่ยังฝังอยู่ในวิธีคิดทางเศรษฐกิจของชุมชนมลายูในยุคนั้น
เส้นทางแห่งอำนาจและราชสำนัก
คำสันสกฤตจำนวนมากยังเดินทางมาพร้อมกับแนวคิดด้านการปกครองและอำนาจรัฐ อาณาจักรมลายูรับอิทธิพลจากระบบกษัตริย์ของอินเดีย เช่น:
  • ​raja (กษัตริย์),
  • ​mantri (เสนาบดี),
  • ​mahkota (มงกุฎ),
  • ​wangsa (ราชวงศ์)
คำเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของศัพท์ราชการ ศัพท์พิธี และวรรณคดีมลายูคลาสสิก ซึ่งทำให้ภาษามลายูมีโครงสร้างที่สามารถรองรับระบบความคิดเชิงลำดับชั้น อำนาจ และธรรมราชาแบบอินเดียได้อย่างกลมกลืน
การบรรจบของเส้นทาง
แม้แต่ละเส้นทางจะมี “ที่มา” และ “เป้าหมายเฉพาะ” ของตน ศาสนานำคำศรัทธา การค้านำคำทรัพย์สิน ราชสำนักนำคำอำนาจ แต่เมื่อเข้าสู่โลกของภาษามลายู เส้นทางเหล่านี้กลับมาบรรจบกันที่จุดเดียว
คือ​ การเป็นภาษาของผู้คน
ภาษามลายูไม่ได้ปฏิเสธที่มาของคำ แต่เลือกเปิดใจและปรับใช้กับบริบทท้องถิ่นอย่างชาญฉลาด ด้วยการฟัง รับรู้ และตีความใหม่ ภาษามลายูจึงกลายเป็นเวทีที่ทุกวัฒนธรรมสามารถมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะมาจากท่าเรือ วัด หรือวัง
คำจากภาษาสันสกฤตจำนวนมากไม่ได้เป็นเพียง "แขกผู้มาเยือนชั่วคราว" ในภาษามลายู หากแต่กลายเป็น "สมาชิกถาวร" ที่ฝังรากลึกในโครงสร้างคำ ความคิด และวัฒนธรรม คำเหล่านี้หยั่งรากได้ไม่ใช่เพราะบังคับหรือจำเป็นต้องใช้ แต่เพราะมันสะท้อน สิ่งที่ผู้คนในโลกมลายู “เข้าใจตรงกัน”
คำที่สะท้อนคุณค่าร่วมของมนุษย์
ลองพิจารณาคำเหล่านี้:
  • ​raja (ราชา) ไม่ว่าผู้ปกครองจะมีชื่อเรียกอย่างไร ทุกสังคมต่างก็มีผู้นำ และคำว่า raja กลายเป็นภาพแทนของ “ผู้นำผู้ยึดธรรม” ซึ่งตรงกับแนวคิดของผู้นำแบบอุดมคติในสังคมมลายู
  • ​bahasa (ภาษา) คำนี้ไม่ได้แปลเพียง “language” แต่ในโลกมลายู bahasa ยังหมายถึง “มารยาท การสื่อสารอย่างสุภาพ” เช่นคำว่า berbahasa ซึ่งมีมิติทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง การนำคำนี้มาใช้นอกจากจะสะท้อนความต้องการด้านการสื่อสาร ยังสะท้อนคุณค่าของการอยู่ร่วมกันอย่างมีสัมมาคารวะ
  • ​agama (ศาสนา) เป็นคำที่ลึกกว่าระบบความเชื่อ เพราะ agama ยังแฝงความหมายของ “แนวทางในการใช้ชีวิต” ซึ่งสังคมมลายูในอดีตให้ความสำคัญอย่างสูง โดยเฉพาะเมื่อศาสนาฮินดู พุทธ และต่อมาอิสลามเข้ามา
  • ​puteri (บุตรสาว) มาจาก putri ในสันสกฤต ซึ่งหมายถึงบุตรสาวทั่วไป แต่ในภาษามลายูคำนี้ได้รับการยกระดับให้หมายถึง “ธิดาแห่งกษัตริย์” หรือ “สุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์” สะท้อนความสำคัญของผู้หญิงในโครงสร้างสังคมมลายูดั้งเดิม
จากคำที่ต่างที่มา สู่ความหมายที่ผู้คนเห็นพ้อง
ความสามารถของคำเหล่านี้ในการ "หยั่งราก" แสดงให้เห็นว่าภาษามลายูไม่ได้เพียงยืมเสียงหรือรูปคำ แต่รับเอา “แก่นความคิด” ไว้ด้วย และเมื่อความคิดนั้นสอดคล้องกับคุณค่าพื้นฐานของผู้ใช้ภาษา คำนั้นก็จะไม่ถูกต่อต้านหรือสาบสูญ แต่จะถูก “ตีความใหม่ให้อยู่ร่วมได้”
นี่คือจุดร่วมที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าความคล้ายในคำ คือ ความเหมือนในแก่นความหมาย ไม่ว่าจะมาจากอินเดียหรือที่อื่น หากคำใดสามารถพูดแทนสิ่งที่เรานับถือ รัก เคารพ หรือเข้าใจร่วมกัน — คำนั้นก็จะกลายเป็นของเรา
ในภาษามลายู คำจากสันสกฤตหลายคำจึงไม่ได้แค่ “ถูกรับเข้ามา” แต่ได้กลายเป็น “รากฐานใหม่” ของถ้อยคำและความคิด สะท้อนความจริงว่า เมื่อความหมายตรงกัน เสียงก็กลายเป็นของเดียวกัน
ทุกสังคมย่อมมีช่วงเวลาสำคัญที่โลกทัศน์เปลี่ยน ศรัทธาเปลี่ยน และคำบางคำก็ต้อง “เปลี่ยนตาม” หากอยากอยู่ต่อ ในโลกมลายู จุดเปลี่ยนสำคัญนั้นคือ การเข้ามาของศาสนาอิสลาม ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา เมื่อความเชื่อใหม่จากโลกอาหรับเข้ามาแทนที่แนวคิดดั้งเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากฮินดู-พุทธ คำสันสกฤตจำนวนมากจึงตกอยู่ในจุดทบทวน จะอยู่ต่ออย่างไรในโลกที่เปลี่ยนศูนย์กลางความหมายไปแล้ว?
คำตอบของภาษามลายูในเวลานั้นไม่ใช่ “ลบทิ้ง” แต่คือ “ตีความใหม่” คำเดิมยังอยู่ แต่ความหมายค่อย ๆ เคลื่อนย้ายจากเทพ​เทวา​สู่เทวทูต, จากพิธีกรรมสู่คำสอน, จากคาถาสู่คำวิงวอน
การตีความใหม่ที่ไม่ทำลายรากเดิม
ตัวอย่างเช่น:
  • ​syurga เดิมจากคำว่า svarga ในสันสกฤต หมายถึง “โลกทิพย์ของเหล่าเทพ” ตามแนวคิดพุทธ–ฮินดู แต่เมื่อศาสนาอิสลามเข้ามา syurga ก็ได้รับความหมายใหม่ในบริบทอิสลาม
  • ​syurga คือ สวรรค์ของผู้ศรัทธา และกลายเป็นคำที่ผู้คนใช้โดยไม่รู้สึกแปลกแยก
  • ​bidadari จาก vidyadhari ซึ่งหมายถึง “หญิงมีฤทธิ์” หรือ “นางฟ้าในตำนานฮินดู” ถูกแปรความหมายในโลกมลายูอิสลามให้กลายเป็น “นางฟ้าในสวรรค์” ผู้รอต้อนรับผู้ศรัทธาในอาคีรัต
แม้ความเชื่อเปลี่ยน ความหมายเปลี่ยน แต่ “ความเคารพในรากเดิม” ยังคงอยู่
บทบาทของภาษาในฐานะเครื่องมือประนีประนอม
การที่ภาษามลายูสามารถเก็บรักษาคำเก่า และปรับใช้ในศรัทธาใหม่ได้โดยไม่เกิดแรงต้าน แสดงให้เห็นว่า ภาษาเป็นพื้นที่ของการประนีประนอมทางวัฒนธรรมและศาสนา เป็นพื้นที่ที่สองระบบคิดใหญ่ อินเดียและอาหรับ
นี่ไม่ใช่เพียงกลไกทางภาษา แต่คือ สำนึกทางวัฒนธรรม ของชาวมลายู ที่เลือก “ไม่ตัดขาดจากอดีต” แต่หาทางให้ของเก่ากับของใหม่ สื่อสารกันได้ ในภาษาของตนเอง
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงความหมายของคำสันสกฤตในยุคอิสลามจึงไม่ใช่จุดจบ แต่คือ การปรับตำแหน่งให้คำเหล่านั้นยังคงมีชีวิตในความหมายใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าในโลกของภาษามลายู แม้ความเชื่อจะเปลี่ยนแปลง แต่คุณค่าที่ซ่อนอยู่ในคำสามารถปรับตัวเพื่อเชื่อมคนต่างยุค ต่างศรัทธา ให้เข้าใจกันได้
ในท้ายที่สุด หากเรามองภาษาว่าเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสาร เราอาจมองข้ามพลังที่แท้จริงของมัน เพราะภาษาคือ พื้นที่กลาง ที่เปิดโอกาสให้คนต่างชาติพันธุ์ ต่างศาสนา ต่างระบบความเชื่อ ได้พบเจอ พูดคุย และ เข้าใจกันโดยไม่ต้องเหมือนกัน
ภาษาในฐานะ "พื้นที่กลาง" ของวัฒนธรรมต่างถิ่น
คำจากภาษาสันสกฤตในภาษามลายู เช่น raja, bahasa, agama, puteri หรือ syurga ล้วนแต่เป็นผลผลิตจากการอยู่ร่วมกันของหลายวัฒนธรรม เมื่อคำเหล่านี้ถูกยืมเข้ามา มันไม่ได้นำมาใช้แบบดั้งเดิมทั้งหมด หากแต่ถูกปรับให้ “พูดในแบบของเรา” คือมลายู​ ด้วยเสียงที่เหมาะกับปาก ด้วยความหมายที่เหมาะกับศรัทธา และด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนคุณค่าท้องถิ่น
นี่แหละคือสิ่งที่ Mohamad Nor Taufiq และ Aniswal (2022, 2023) อธิบายไว้ว่า คำยืมไม่ใช่แค่เรื่องของรูปแบบและเสียง แต่ยังเกี่ยวข้องกับ sejarah, makna dan geografi kata หรือ “ประวัติ ความหมาย และบริบททางพื้นที่”
รากศัพท์จากอินเดีย แต่หัวใจของคำอยู่ที่มลายู
คำอย่าง bidadari ซึ่งมีรากจากแนวคิดเทพหญิงในฮินดู เมื่อเข้าสู่โลกมลายูอิสลาม กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความงดงาม และรางวัลของผู้ศรัทธาในโลกหน้า (GEMA, 2023) เช่นเดียวกับคำว่า bahagia (จาก bhagya แปลว่า “พร” หรือ “โชค”) ซึ่งได้รับการตีความใหม่ว่าเป็น “ความสุข ความร่มเย็น” ที่ใครก็สัมผัสได้ ไม่ว่าจะศรัทธาใด
รากศัพท์อาจอยู่ที่อินเดีย
แต่ หัวใจของคำอยู่ในวัฒนธรรมมลายู
คำเป็นหลักฐานของความร่วมมือ ไม่ใช่การครอบงำ
ในบางวัฒนธรรม การรับคำจากภายนอกถูกมองว่าเป็น “การยอมจำนน” ต่อวัฒนธรรมที่เหนือกว่า แต่ภาษามลายูไม่คิดเช่นนั้น กลับเลือกมองว่า การยืมคำคือการ เลือกสรรคุณค่าที่เหมาะกับตนเอง และเปิดพื้นที่ให้วัฒนธรรมอื่นเข้ามามีบทบาท
ดังที่ Collins (2003) กล่าวไว้ในการวางหลักเกณฑ์ด้านนิรุกติศาสตร์ (etimologi):
“คำยืมต้องไม่ถูกวิเคราะห์แค่ในแง่เสียงหรือความหมาย แต่ต้องเข้าใจในแง่ ประวัติศาสตร์ของการอยู่ร่วม”
คำจากสันสกฤตในภาษามลายูจึงเป็นมากกว่าผลจากการยืมเสียงหรือศัพท์ มันคือหลักฐานของ “การทำงานร่วมกันทางวัฒนธรรม” ที่ไม่ได้เกิดจากอำนาจหรือการบังคับ แต่เกิดจากความเข้าใจร่วม และการเปิดพื้นที่ให้กัน
ภาษาจึงกลายเป็น พื้นที่กลางที่ทุกคนมาพบกัน ไม่ใช่เพื่อกลืนกัน แต่เพื่อ อยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องเหมือนกัน
เอกสารอ้างอิง
  • 1.
    ​Mohamad Nor Taufiq Nor Hashim & Aniswal Abd. Ghani. (2022). Etimologi Kata Pinjaman Sanskrit Terpilih dalam Bahasa Melayu. Jurnal Pengajian Melayu – JOMAS, 33(1), 69–86.
  • 2.
    ​Mohamad Nor Taufiq Nor Hashim & Aniswal Abd. Ghani. (2023). Peminjaman Perkataan Sanskrit dalam Bahasa Melayu: Penelitian dari Sudut Makna. GEMA Online® Journal of Language Studies, 23(1), 132–153.
โฆษณา