7 พ.ค. เวลา 09:11 • ข่าวรอบโลก

ศาสนาอะห์มาดีแนวทางที่หลงผิด

ทางการมาเลเซียประกาศห้าม "ศาสนาอะห์มาดี" (Ahmadi Religion of Peace and Light) โดยระบุว่าเป็นลัทธิที่เบี่ยงเบนจากหลักศาสนาอิสลามและละเมิดกฎหมายชารีอะห์
ดร. มูฮัมหมัด นาอิม มุกตาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนา กล่าวว่า ทางการจะดำเนินการลบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้จากสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน ถูกชักจูงเข้าสู่แนวคิดที่ผิดเพี้ยน
กลุ่มนี้มีผู้นำชื่อ อะห์หมัด อิสมาอิล หรือที่รู้จักในนาม อิหม่าม อะห์หมัด อัล-ฮัสซัน ซึ่งอ้างตนว่าเป็นอิหม่ามมะห์ดี และมีผู้ติดตามในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา อัฟกานิสถาน ไทย อังกฤษ และตุรกี
การเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ได้รับความสนใจหลังจากมีการชุมนุมสนับสนุนสิทธิของกลุ่ม LGBT ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งนำไปสู่การจับกุมผู้ชายแปดคนที่เชื่อว่าเป็นสมาชิกของกลุ่ม .
มุฟตีของรัฐปะหังและกลันตันได้ออกมาเตือนว่าการกระทำของกลุ่มนี้ขัดต่อหลักชารีอะห์ และหากผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นมุสลิม อาจถือเป็นการละทิ้งศาสนา
ทางการมาเลเซียยังได้ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเฝ้าระวังและดำเนินการกับกลุ่มนี้อย่างเข้มงวด รวมถึงการปิดกั้นเว็บไซต์และบัญชีสื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง
การประกาศห้ามครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลมาเลเซียในการปกป้องความบริสุทธิ์ของศาสนาอิสลามและป้องกันการเผยแพร่ลัทธิที่เบี่ยงเบนจากหลักศาสนา
โดยทางคณะกรรมการมุซากาเราะห์ สภาแห่งชาติว่าด้วยกิจการศาสนาอิสลามมาเลเซีย (MKI) ครั้งที่ 124 ซึ่งประชุมระหว่างวันที่ 19 ถึง 21 ซุลฮิจญะฮ์ 1445 ตรงกับวันที่ 26 ถึง 28 มิถุนายน 2024 ได้พิจารณาเรื่องคำสอนของศาสนา The Ahmadi Religion of Peace and Light ตามมุมมองของอะฮ์ลิสสุนนะห์ วัลญะมาอะห์ มุซากาเราะห์ได้พึงพอใจกับเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ผู้วิจัยนำเสนอ และมีความเห็นดังนี้:
ก. คำสอนของศาสนา The Ahmadi Religion of Peace and Light เป็นคำสอนที่หลงผิดและบิดเบือน และขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาอิสลามและหลักกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะห์) โดยพิจารณาจากความเชื่อและการปฏิบัติของพวกเขาดังต่อไปนี้:
เชื่อว่า มูฮัมหมัด บิน อัล-ฮะซัน อัล-อัสการี (อิหม่ามชีอะห์ลำดับที่ 12) คืออิหม่ามอัล-มะฮ์ดี โดยอ้างว่าเขาได้หลบซ่อนอยู่ในปัจจุบัน และจะปรากฏตัวอีกครั้งในยุคสุดท้าย
อ้างว่าอิหม่ามอัล-มะฮ์ดี คือ มูฮัมมัด อิบนุ อัล-ฮะซัน อัล-อัสการี มีผู้ช่เหลือ​ หรือ “อันศอร” จำนวน 12 คน ซึ่งถือว่าเป็นลูกหลานของเขาในเชิงนามธรรม/จิตวิญญาณ โดย 12 คนนี้ถือเป็นมะฮ์ดีเล็ก ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของอิหม่ามอัล-มะฮ์ดี จากรุ่นสู่รุ่น จนกว่าอิหม่ามอัล-มะฮ์ดีจะออกมาจากการหลบซ่อน
อ้างว่า อะห์หมัด อัล-ฮะซัน เป็นมะฮ์ดี (ผู้ช่วยของอิหม่ามอัล-มะฮ์ดี) คนแรก ส่วน อับดุลลอฮ์ ฮาชิม เป็นมะฮ์ดีคนที่สอง
อ้างว่า อะห์หมัด อัล-ฮะซัน ซึ่งมีฉายาว่า "อัล-ยามานี" ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารของอิหม่ามอัล-มะฮ์ดี และจะนำศาสนบัญญัติใหม่และสุดท้าย ที่จะเป็นการเติมเต็มคำสอนและบทบัญญัติของบรรดาศาสดาก่อนหน้านี้ ดังนั้น ศาสนบัญญัติที่อะห์หมัด อัล-ฮะซันนำมาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน
อ้างว่า อับดุลลอฮ์ ฮาชิม ซึ่งมีฉายาว่า “สหายจากอียิปต์” (The Companion of Egypt) ทำหน้าที่เป็นผู้ปลุกวงศ์วานของศาสดามูฮัมหมัด (The Riser/Qaim of the Family of Mohammed) ซึ่งจะเป็นผู้นำมนุษยชาติในการต้อนรับการมาของอิหม่ามอัล-มะฮ์ดี โดยที่อิหม่ามอัล-มะฮ์ดีจะสื่อสารกับมนุษย์ผ่านทางอัล-กออิมเท่านั้น
เชื่อว่าอิหม่ามมะฮ์ดีจะเป็นผู้ทำให้ศาสนาอิสลามสมบูรณ์ เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์ในปัจจุบัน
ปฏิเสธแนวคิดเรื่องสวรรค์และนรก รวมถึงปรโลกโดยรวมและทั้งหมดที่ถูกบันทึกไว้ในอัลกุรอานและอัลหะดีษ และอ้างว่าสวรรค์ที่นบีอาดัมและพระนางฮาวาเคยอยู่นั้นอยู่บนโลกนี้ อีกทั้งสวรรค์แห่งปรโลกก็อยู่บนโลกนี้เช่นกัน ขณะที่นรกนั้นหมายถึงดวงอาทิตย์
กล่าวอ้างเท็จต่อบรรดาศาสดา นบี และภรรยาของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นต่อไปนี้:
อ้างว่า ภรรยาของนบีนูฮ์ รอดพ้นจากมหาน้ำท่วม แม้ว่าจะเคยต่อต้านคำสอนของนบีนูฮ์ในตอนแรก โดยการทรยศของภรรยาตามที่อัลกุรอานกล่าวถึงนั้น หมายถึงเธอมีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับชายอื่น และได้ให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งที่จมน้ำไปในเหตุการณ์น้ำท่วม
อ้างว่า พระองค์อัลเลาะห์ได้สั่งให้นบีอาดัมและลูกหลานของท่านถือปฏิบัติ "ตักกียะห์" (การปกปิดความเชื่อทางศาสนาในสถานการณ์อันตราย) ในการดำเนินชีวิตตามศาสนา
อ้างว่านบีอิบรอฮิม ได้แต่งงานกับน้องสาวต่างมารดาของตนเอง คือ นางซาราห์ โดยอ้างหลักฐานจากพระคัมภีร์ไบเบิล
อ้างว่านบีลูฏ เสนอให้ชายหนุ่มในหมู่บ้านมีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับบุตรสาวของตน และยังกล่าวหาว่านบีลูฏมีความสัมพันธ์สังวาสกับลูกสาวของตนเอง และฝ่าฝืนคำสั่งของอัลเลาะฮ์ด้วยการปฏิเสธที่จะออกจากหมู่บ้านของตน
อ้างว่า พระนางฮาวา อิจฉาท่านหญิงฟาติมะฮ์ เพราะอัลเลาะฮ์ทรงทำให้ฟาติมะฮ์เป็นสตรีที่ประเสริฐกว่า อีกทั้งกล่าวว่านบีอาดัมเคยพยายามมีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับฟาติมะฮ์ จนกระทั่งท่านอาลี ต้องมาไล่ออกจากสวรรค์
อ้างว่านบีอิดริส คือเทพเจ้าในความเชื่อของอียิปต์โบราณที่ชื่อว่า “โอซิริส” และมีบุตรชื่อ “ฮอรัส” ซึ่งฮอรัสนั้นถูกอ้างว่าเป็นภาคแปลงของมลาอิกะฮ์ที่ชื่อว่า “ฮูร-ราเอล” และยังเป็นภาคแปลงของนบีนูฮ์ด้วย
อ้างว่านบีอีซา คือ มลาอิกะฮ์ญิบรีล
ดูหมิ่นบรรดารอซูลและนบีโดยกล่าวว่า มีนบีบางท่านที่เกือบจะถูกถอนตำแหน่งความเป็นนบีออกไป รวมถึง​ นบีมูซา นบียะอ์กูบ และนบีมูฮัมหมัด
อ้างว่านบีมูฮัมหมัด กระทำความผิดโดยไม่แจ้งให้เหล่าศอฮาบะฮ์ ทราบเกี่ยวกับสถานะของท่านอาลี เนื่องจากรู้สึกอายที่ท่านอาลีเป็นลูกพี่ลูกน้อง และได้แต่งงานกับลูกสาวของท่านนบี นอกจากนี้ยังกล่าวหาท่านอบูบักร และท่านอุมัร ว่าบิดเบือนชาวมุสลิมและเบี่ยงเบนออกจากคำสอนของอิสลาม ด้วยการละเลยท่านอาลีซึ่งควรจะเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริง
ยึดถือแนวคิด "รอญะอะฮ์" หรือการกลับมาเกิดใหม่ของมนุษย์ที่ตายไปแล้ว (reincarnation)
อ้างว่าอัลกุรอานที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่สมบูรณ์หรือถูกบิดเบือน โดยอัลกุรอานปัจจุบันคือฉบับที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งถูกรวบรวมโดยท่านอุษมาน ขณะที่ฉบับที่สมบูรณ์นั้นถูกรวบรวมโดยท่านอาลี และถูกส่งต่อให้กับบรรดาอิหม่ามชีอะห์ จนถึงอัลกออิมคือ อับดุลลอฮ์ ฮาชิม
ปฏิเสธการมีอยู่ของมะลาอิกะฮ์ผู้บันทึกการงานดีและชั่ว และอ้างว่ามะลาอิกะฮ์เหล่านี้เป็นเพียงสัญลักษณ์แทนอวัยวะรับสัมผัสของมนุษย์
อ้างว่านอกจากอัลเลาะฮ์แล้ว ยังมีสิ่งอื่นหรือผู้มีบทบาทในการสร้างมนุษย์และจักรวาลด้วย
อ้างว่าการถูกตรึงกางเขนของนบีอีซา เป็นการลบล้างบาปของมนุษย์ทุกคนในยุคนั้น เช่นเดียวกับการเสียชีวิตของท่านฮุเซนและนบียะห์ยา
อ้างว่าสตรีไม่จำเป็นต้องสวมฮิญาบ โดยให้เหตุผลว่านี่คือศาสนบัญญัติของอะห์หมัด อัล-ยะมานี และยังอ้างว่า ฮิญาบไม่ใช่การปฏิบัติในศาสนาอิสลาม และสำหรับผู้หญิง ฮิญาบเป็นเพียงสิ่งที่ “สุนนะฮ์” (แนะนำ) ไม่ใช่ “วาญิบ” (บังคับ) ดังนั้น อับดุลลอฮ์ ฮาชิมจะพยายามยกเลิกคำสอนอิสลามในเรื่องนี้ และแทนที่ด้วยความเข้าใจของเขาเอง
อ้างว่าการละหมาดหมายถึง “การยอมจำนน” ต่อบรรดารอซูล นบี และอิหม่าม โดยที่การละหมาดห้าเวลาจะถูกอ้างถึงบบรดาวาลี หรือตัวแทนของอัล-มะฮ์ดี ซึ่งรวมถึงอะห์หมัด อัล-ฮะซัน, อับดุลลอฮ์ ฮาชิม และผู้ช่วยคนอื่น ๆ ของอิหม่ามอัล-มะฮ์ดี ดังนั้น การละหมาดจึงถูกตีความว่าเป็นการเชื่อฟังบุคคลเหล่านี้
อ้างว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า) เป็นสิ่งที่ “ฮาลาล” (อนุญาต) และการห้ามดื่มเหล้าในสมัยนบีมูฮัมหมัด เป็นเพราะสังคมอาหรับในขณะนั้นมีพฤติกรรมที่มากเกินไปในการดื่ม
3
อ้างว่าการรักร่วมเพศ (homosexuality) ยังไม่ถูกห้ามในสมัยนบีลูฏ และการกระทำนั้นไม่ถือเป็นความผิด
อ้างว่า “กะอ์บะฮ์” ที่ตั้งอยู่ในนครมักกะฮ์นั้น ถูกสร้างโดยชนเผ่ากุเรช และกะอ์บะฮ์ที่แท้จริงตั้งอยู่ที่เมืองเพตรา ประเทศจอร์แดน
อ้างว่าปฏิทินฮิจเราะฮ์มิได้อิงตามการนับแบบจันทรคติ (กอมารียะฮ์) แต่เป็นแบบสุริยคติ (ชัมซียะฮ์) ดังนั้น มุสลิมจึงเข้าใจผิดมาโดยตลอดในการประกอบศาสนกิจ เช่น การถือศีลอดและการประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งทำไม่ตรงตามเวลาที่แท้จริง โดยเดือนเราะมะฎอนที่แท้จริงนั้นอยู่ในเดือนธันวาคม และมุสลิมควรจะถือศีลอดในเดือนดังกล่าว
ข. บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดก็ตามที่เผยแพร่หรือปฏิบัติตามความเชื่อ คำสอน และแนวทางดังกล่าว ถือว่าเบี่ยงเบนออกจากหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม
ค. มุสลิมต้องหลีกเลี่ยงความเชื่อและคำสอนเหล่านี้ และห้ามยึดถือหรือปฏิบัติตามโดยเด็ดขาด ผู้ใดที่เคยปฏิบัติตามคำสอนนี้ ต้องเร่งรีบกลับใจ (เตาบัต) และขออภัยโทษต่ออัลเลาะฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ง. การเผยแพร่ การสอน การเขียน การกระจายข้อมูล หรือการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเสียง สื่อภาพ หรือสื่อใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำสอน "The Ahmadi Religion of Peace and Light" ถือเป็นสิ่งต้องห้าม และต้องถูกยับยั้งโดยเด็ดขาด
จ. มุสลิมพึงยึดมั่นอยู่กับแนวทางของ "อะฮ์ลิสุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์" ทั้งในด้านอากีดะฮ์ (หลักศรัทธา), ชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม), และตะซาวุฟ/อัคล๊าก (จริยธรรมและจิตวิญญาณ) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจอิสลามที่แท้จริง
#อิสลาม #ศาสนาอะห์มาดี #ซุนนี #ชีอะห์ #มุสลิมไทย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา