Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
14 พ.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ
เรื่องเล่าของ "ความอยากรู้" จากความเชื่อเดิม สู่ความหวังใหม่ในการดูแลสมองวัยเก๋า
ผมอยากจะพาทุกท่านย้อนเวลากลับไปนิดหน่อย เพื่อสำรวจเรื่องราวของสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือ "ความอยากรู้" ครับ แต่เรื่องที่ผมจะเล่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กช่างสงสัย แต่เป็นเรื่องราวที่อาจจะเปลี่ยนมุมมองของเราต่อการสูงวัยและการดูแลสมองไปเลยทีเดียว
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ในแวดวงจิตวิทยาและผู้สูงอายุ มักจะมีความเชื่อกันว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ไฟแห่งความอยากรู้ในตัวตนของเราจะค่อยๆ มอดลงทีละน้อย เราอาจจะเคยได้ยินผู้ใหญ่หลายท่านพูดว่า "แก่แล้ว ไม่อยากรู้อะไรมากหรอก" หรือแม้แต่งานวิจัยในอดีตหลายชิ้นก็ดูจะสนับสนุนแนวคิดนี้
โดยชี้ว่า "ความอยากรู้เชิงลักษณะนิสัย" (Trait Curiosity) หรือถ้าจะพูดง่ายๆ ก็คือ นิสัยพื้นฐานที่ชอบสงสัยใคร่รู้ในเรื่องทั่วไปนั้น มีแนวโน้มที่จะลดน้อยถอยลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น ดร. อลัน แคสเทล นักจิตวิทยาจาก UCLA ก็ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ครับว่า ในวงการจิตวิทยามักจะมองว่าความอยากรู้โดยทั่วไปของคนเรามักจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น
1
แต่เรื่องราวมันไม่ได้จบแค่นั้นครับ…
มีกลุ่มนักวิจัยนานาชาติ ซึ่งรวมถึงนักจิตวิทยาหลายท่านจาก UCLA อย่าง ดร.แคสเทล เอง เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ดูจะ "แปลกๆ" และไม่ค่อยจะตรงกับความเชื่อเดิมๆ สักเท่าไหร่ พวกเขาสังเกตเห็นว่า ในกลุ่มผู้สูงอายุที่เข้าร่วมการทดลองต่างๆ ของพวกเขา หลายคนยังคงมีความกระตือรือร้น สนใจใคร่รู้ในเรื่องราวต่างๆ อย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความจำ หรือแม้แต่เรื่องความรู้รอบตัวอื่นๆ มันทำให้พวกเขารู้สึกว่า เอ๊ะ! หรือว่าความอยากรู้มันไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปหรือเปล่านะ?
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่เพื่อค้นหาคำตอบ ดร. แคสเทล และแมรี วัทลีย์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่ UCLA (ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่ Western Carolina University) พร้อมด้วยเพื่อนร่วมงานอีกสองท่าน คือ คู มูรายามะ และ มิชิโกะ ซาคากิ จาก University of Tübingen และ Kochi University of Technology ได้ตั้งคำถามสำคัญว่า หรือจริงๆ แล้ว มันมี "ความอยากรู้" อีกแบบหนึ่งที่เราอาจจะมองข้ามไป
พวกเขาเริ่มให้ความสนใจกับ "ความอยากรู้เชิงสภาวะ" (State Curiosity) ซึ่งหมายถึงความรู้สึกอยากรู้ที่เกิดขึ้นเป็นพักๆ หรือพุ่งเป้าไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะในขณะนั้น ลองนึกภาพตามนะครับ บางคนอาจจะไม่ได้เป็นคนช่างสงสัยไปซะทุกเรื่อง (คือมีความอยากรู้เชิงลักษณะนิสัยไม่สูงนัก) แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เขาสนใจเป็นพิเศษ เช่น การสะสมแสตมป์ การทำสวน หรือการติดตามข่าวสารวงการกีฬา พวกเขาจะมีความกระหายใคร่รู้ในเรื่องนั้นๆ อย่างมาก นี่แหละครับคือพลังของความอยากรู้เชิงสภาวะ
1
เพื่อที่จะแยกแยะและทำความเข้าใจความอยากรู้ทั้งสองแบบนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทีมวิจัยจึงได้ทำการศึกษาครั้งสำคัญครับ พวกเขารวบรวมกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ ตั้งแต่คนหนุ่มสาวอายุ 20 ปี ไปจนถึงผู้สูงอายุวัย 84 ปี โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 44 ปี ให้ทำแบบสอบถามออนไลน์เพื่อประเมินระดับ "ความอยากรู้เชิงลักษณะนิสัย" ของแต่ละคน
จากนั้น เพื่อทดสอบ "ความอยากรู้เชิงสภาวะ" พวกเขาก็มีเกมสนุกๆ ให้เล่นครับ โดยให้ผู้เข้าร่วมลองทายคำตอบของคำถามความรู้รอบตัวที่ค่อนข้างยาก และคนส่วนใหญ่ไม่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว เช่น "ประเทศแรกที่ให้สิทธิผู้หญิงในการเลือกตั้งคือประเทศอะไร?" (ถ้าใครอยากรู้ คำตอบคือ นิวซีแลนด์ ครับ) หลังจากให้ทายคำตอบแล้ว นักวิจัยก็จะถามผู้เข้าร่วมว่า พวกเขารู้สึกสนใจอยากรู้คำตอบที่ถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ก่อนที่จะเฉลยคำตอบจริง
และแล้ว…สิ่งที่ค้นพบก็น่าสนใจอย่างยิ่งครับ
จากการวิเคราะห์ข้อมูล นักวิจัยพบว่าความอยากรู้ทั้งสองแบบนี้มีความเชื่อมโยงกันอยู่จริงครับ คนที่มีความอยากรู้เชิงสภาวะสูง ก็มักจะมีความอยากรู้เชิงลักษณะนิสัยสูงด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นคือ เมื่อมองในภาพรวมตลอดช่วงชีวิตของผู้ใหญ่ ความอยากรู้เชิงลักษณะนิสัย โดยทั่วไปนั้น มีแนวโน้มลดลงตามอายุ จริงอย่างที่เคยเชื่อกันไว้
1
แต่ในทางกลับกัน ความอยากรู้เชิงสภาวะ ที่วัดจากระดับความสนใจในการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ จากคำถามความรู้รอบตัวนั้น กลับแสดงรูปแบบที่แตกต่างออกไปครับ มันลดลงในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แต่หลังจากนั้น เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน ความอยากรู้ในลักษณะนี้กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปจนถึงวัยสูงอายุเลยทีเดียว ดร.แคสเทล บอกว่านี้คล้ายกับงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าระดับความสุขของคนเรามักจะลดลงในช่วงกลางของชีวิตเช่นกัน
1
แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? นักวิจัยให้คำอธิบายที่น่าคิดครับว่า ในช่วงวัยหนุ่มสาวถึงกลางคน คนส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นไปที่การสั่งสมความรู้ ทักษะ และโอกาสที่จำเป็นสำหรับการสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงาน การสร้างครอบครัว และการรับผิดชอบภาระต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าภาระเหล่านี้ก็มาพร้อมกับความเครียดที่อาจส่งผลต่อความสุขโดยรวมได้
1
เมื่ออายุมากขึ้นและได้สั่งสมความรู้และประสบการณ์เหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มเททรัพยากรมากมายให้กับความอยากรู้โดยรวมเหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อลูกๆ เติบโตและแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง หรือเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้คนก็จะมีเวลาและอิสระมากขึ้นที่จะหันมาดื่มด่ำกับความสนใจเฉพาะด้านหรืองานอดิเรกที่ตัวเองรัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ความอยากรู้เชิงสภาวะกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง
ดร.แคสเทล อธิบายเพิ่มเติมว่านี้สอดคล้องกับ "ทฤษฎีการเลือกสรร" (Selectivity Theory) ที่ว่าเมื่อเราอายุมากขึ้น เราไม่ได้หยุดที่จะเรียนรู้ เพียงแต่เราจะ "เลือก" ที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่สำคัญและมีความหมายกับเรามากขึ้น เราจะเห็นได้จากบริบทของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่ผู้สูงอายุจำนวนมากกลับไปเข้าชั้นเรียน ทำงานอดิเรก หรือแม้แต่การดูนก การรักษาความอยากรู้ในระดับนี้ไว้จึงสามารถช่วยให้เรายังคงความเฉียบคมของสมองได้แม้วัยจะเพิ่มขึ้นครับ
และนี่คือจุดที่เรื่องราวของเราเชื่อมโยงไปถึงสุขภาพสมองโดยตรงครับ
งานวิจัยนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การค้นพบรูปแบบของความอยากรู้ที่เปลี่ยนไปตามวัยเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงนัยยะสำคัญต่อการดูแลสมองในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุครับ พวกเขาพบว่า ผู้สูงอายุที่ยังคงรักษาความอยากรู้เอาไว้ และมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของตนเอง อาจจะสามารถชะลอ หรือแม้กระทั่งป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ในทางกลับกัน ผู้ที่แสดงออกถึงความไม่สนใจ เฉื่อยชา หรือขาดความกระหายใคร่รู้ในสิ่งที่เคยชอบ อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมได้เช่นกัน
ดร.แคสเทล ยังเสริมอีกว่า จากงานวิจัยเรื่องความจำของเขา พบว่าคนเรามักจะลืมข้อมูลที่ไม่สามารถกระตุ้นความอยากรู้ของเราได้ง่ายและรวดเร็ว เมื่อเราอายุมากขึ้น เราอาจจะต้องการจดจ่ออยู่กับสิ่งที่สำคัญ และลืมเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องออกไป การที่เรายังคง "อยากรู้" และ "สนใจ" ในเรื่องต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงเปรียบเสมือนการบริหารสมองให้ยังคงตื่นตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
เรื่องราวการเดินทางของ "ความอยากรู้" นี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การค้นพบทางจิตวิทยาที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังมอบความหวังและแนวทางใหม่ๆ ในการส่งเสริมสุขภาพสมองให้กับพวกเราทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยที่เพิ่มขึ้น มันบอกเราว่าพลังเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในความสงสัยใคร่รู้ของเรานั้นมีค่ามากกว่าที่เราคิด หากเรารู้จักที่จะบ่มเพาะและปล่อยให้มันได้โลดแล่นไปกับสิ่งที่เราสนใจอย่างแท้จริง มันก็อาจจะเป็นเพื่อนซี้ที่ช่วยให้เราก้าวผ่านวัยต่างๆ ไปได้อย่างมีความสุขและมีสมองที่ยังคงเฉียบคมอยู่เสมอ
ดังนั้น ลองถามตัวเองดูนะครับว่า มีอะไรบ้างที่เรายังคง "อยากรู้" และ "อยากเรียนรู้" อยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ไฟดวงนั้นมอดดับไป เพราะมันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่ง ที่จะช่วยเปิดประตูไปสู่การมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพก็เป็นได้ เพราะการ "อยากรู้" ที่จะดูแลตัวเอง คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดของสุขภาพที่ดีครับ
แหล่งอ้างอิง:
University of California, Los Angeles. (2025, May 7). Are you curious? It might help you stay sharp as you age and protect against Alzheimer's. Medical Xpress.
สุขภาพ
การแพทย์
ข่าวรอบโลก
3 บันทึก
12
2
5
3
12
2
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย