เมื่อวาน เวลา 13:30 • สุขภาพ

เปิดบันทึกเภสัชกร ก้าวต่อก้าว สู้ภัยโควิด-19 ด้วยความเข้าใจ

การดูแลตัวเองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับโควิด-19 เรื่องราวนี้ผมจะเล่าเรียงตามลำดับ ตั้งแต่การเตรียมตัวป้องกัน จนถึงวันที่เราอาจต้องรับมือกับการติดเชื้อ และฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง โดยอ้างอิงข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) สหรัฐอเมริกา เพื่อให้ทุกท่านได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและนำไปปรับใช้ได้อย่างมั่นใจครับ
เรื่องราวของเราเริ่มต้นก่อนที่เราจะป่วยเสียอีก นั่นคือ "การป้องกัน" หัวใจสำคัญที่สุดของการป้องกันโควิด-19 ยังคงเป็นการได้รับ "วัคซีน" ครับ วัคซีนเปรียบเหมือนการฝึกซ้อมให้ร่างกายของเรารู้จักกับเชื้อโรค ทำให้เมื่อเราติดเชื้อจริงๆ ร่างกายจะสามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่จะป่วยหนัก ต้องเข้าโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต
การฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน หรือ "up to date" ตามคำแนะนำ จึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่เราทุกคนควรมี
นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การล้างมือบ่อยๆ การพยายามอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดี และการพักผ่อนอยู่บ้านเมื่อรู้สึกไม่สบาย ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เราควรทำอย่างสม่ำเสมอครับ
สำหรับบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปานกลางถึงรุนแรง ที่อาจตอบสนองต่อวัคซีนได้ไม่เต็มที่ ยังมีอีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ นั่นคือยา เพมิวิบาร์ท (Pemivibart) หรือชื่อการค้า เพมการ์ดา (Pemgarda™) ยานี้เป็นแอนติบอดีสังเคราะห์ที่สามารถให้เพิ่มเติมจากการฉีดวัคซีน (อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังรับวัคซีน) เพื่อเป็นอีกชั้นของการป้องกันครับ
การให้ยาจะทำโดยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำที่สถานพยาบาล และอาจต้องให้ซ้ำทุก 3 เดือนหากต้องการการป้องกันต่อเนื่อง ผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อดูว่ายานี้เหมาะสมกับตัวเองหรือไม่ (ในไทยบ้านเราน่าจะยังไม่มียาตัวนี้นะครับ)
วันหนึ่ง หากคุณเริ่มรู้สึกไม่สบาย มีอาการที่คล้ายกับโควิด-19 เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ หรืออ่อนเพลีย สิ่งแรกที่ควรทำคือการตรวจหาเชื้อครับ การตรวจจะช่วยให้คุณทราบสถานะของตัวเองและตัดสินใจได้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป เช่น การเข้ารับการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงหากคุณเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือการป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่คนรอบข้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณเป็นผู้ที่อยู่ใน กลุ่มเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรง (เช่น ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป, ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน, หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ) การปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ ทันทีที่เริ่มมีอาการ หรือสงสัยว่าติดเชื้อ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งครับ แม้อาการจะดูเล็กน้อยก็ตาม อย่าลืมว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วคือกุญแจสำคัญ
หากผลตรวจยืนยันว่าคุณติดเชื้อโควิด-19 และคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง นี่คือช่วงเวลาที่ต้อง "แข่งกับเวลา" ครับ ยาต้านไวรัสที่จะช่วยลดความเสี่ยงการป่วยหนักนั้น ต้องเริ่มให้ภายใน 5-7 วันหลังจากที่คุณเริ่มมีอาการวันแรก ถึงจะได้ผลดีที่สุด
นี่คือ "เวลาทอง" ที่เราไม่ควรพลาดครับ และในบางกรณี หากคุณมีความเสี่ยงสูงมากและมีอาการชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาเริ่มการรักษาได้เลยโดยไม่ต้องรอผลตรวจยืนยันเสมอไป หากคุณไม่มีแพทย์ประจำตัว สามารถติดต่อร้านยาใกล้บ้าน ศูนย์สุขภาพชุมชน หรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ของคุณได้ครับ
ยาหลักที่ใช้ในการรักษาโควิด-19 ในระยะนี้คือ ยาต้านไวรัส (Antiviral medications) ยาเหล่านี้จะเข้าไปขัดขวางไม่ให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในร่างกายเรา ช่วยให้อาการไม่รุนแรงขึ้น และลดโอกาสการเสียชีวิต ยาต้านไวรัสที่ใช้บ่อยๆ และมีข้อมูลในเอกสารของ CDC ได้แก่
แพกซ์โลวิด (Paxlovid - Nirmatrelvir คู่กับ Ritonavir): เป็นยารับประทานที่บ้าน เหมาะสำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ต้องเริ่มภายใน 5 วันหลังมีอาการ
เวคลูรี (Veklury - Remdesivir): เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ต้องให้ที่สถานพยาบาลติดต่อกัน 3 วัน เหมาะสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก ต้องเริ่มภายใน 7 วันหลังมีอาการ
ลาเกวริโอ (Lagevrio - Molnupiravir): เป็นยารับประทานที่บ้าน เหมาะสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น และต้องเริ่มภายใน 5 วันหลังมีอาการ
ยาแต่ละตัวก็มีข้อดีข้อควรระวังต่างกันไปครับ เช่น แพกซ์โลวิดอาจทำให้การรับรสผิดปกติได้ชั่วคราว (เช่น รู้สึกขมในปาก) และมีโอกาสทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ที่คุณใช้อยู่ได้มากกว่ายาตัวอื่น ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรถึงยาทุกชนิดที่คุณกำลังใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นยารักษาโรคประจำตัว วิตามิน หรือสมุนไพร เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาจะปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด แพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณตามแนวทางการรักษา
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากมีอาการหนัก อาจมีการใช้ยาประเภทอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ยาลดการอักเสบ หรือยารักษาภาวะแทรกซ้อนต่างๆ และในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องมาก หากอาการยังไม่ดีขึ้นหลังได้รับยาต้านไวรัส แพทย์อาจพิจารณาการรักษาเพิ่มเติม เช่น การให้พลาสมาจากผู้ที่หายป่วย (Convalescent plasma)
หลังจากผ่านพ้นช่วงการรักษา ส่วนใหญ่ผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงจะสามารถพักฟื้นให้หายดีได้เองที่บ้าน คุณสามารถดูแลตัวเองด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ และใช้ยาสามัญประจำบ้านเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยาลดไข้ (พาราเซตามอล) หรือยาแก้ปวด (ไอบูโพรเฟน) ตามความจำเป็น
มีอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่บางคนอาจเจอคือ "โควิด รีบาวด์" (COVID-19 Rebound) คือการที่อาการกลับมาอีกครั้ง หรือตรวจพบเชื้อเป็นบวกอีกครั้งภายใน 3-7 วันหลังจากที่รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือตรวจไม่พบเชื้อแล้ว ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในคนที่ได้รับยาต้านไวรัสและคนที่ไม่ได้รับยา
แต่อย่าเพิ่งกังวลไปครับ เพราะโดยทั่วไปแล้วอาการรีบาวด์มักจะไม่รุนแรงและจะดีขึ้นเองในไม่กี่วัน และจากการศึกษาพบว่า การเกิดรีบาวด์ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงที่จะป่วยหนักแต่อย่างใด ประโยชน์ของการได้รับยาต้านไวรัสในกลุ่มเสี่ยงสูงนั้นมีมากกว่าความเสี่ยงของการเกิดรีบาวด์ครับ
เรื่องราวการเดินทางผ่านโควิด-19 ที่ผมเล่ามานี้ หวังว่าจะช่วยให้ทุกท่านเห็นภาพรวมและเข้าใจขั้นตอนต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นนะครับ ตั้งแต่การป้องกัน การสังเกตอาการ การตัดสินใจเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที การทำความเข้าใจยาต่างๆ จนถึงการดูแลตัวเองในระยะฟื้นตัว ความรู้ที่ถูกต้องและทันสมัยจะเป็นเหมือนเข็มทิศนำทางให้เราผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ ไปได้ด้วยดี
การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องของเราทุกคน และการแบ่งปันความรู้ที่ถูกต้องก็เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลซึ่งกันและกันในสังคมครับ อย่าลืมปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งที่มีคำถามเกี่ยวกับสุขภาพและการใช้ยานะครับ
แหล่งอ้างอิง:
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา (CDC). (2025, May 8). Types of COVID-19 Treatment.
โฆษณา