Sadistic Mika Band ถือเป็นหนึ่งในวงที่กล้าหาญกลุ่มแรกที่ไม่เพียงแต่รับอิทธิพลของตะวันตกเท่านั้น แต่ยังกล้าแปรสภาพมันให้เข้ากับบริบททางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในแบบของตนเอง "Kurofune" จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การยืมรูปแบบจากตะวันตกมาใช้ แต่คือการตอบสนองต่อประวัติศาสตร์ของชาติผ่านเครื่องมือใหม่ที่เรียกว่า "โปรเกรสซีฟร็อก"
ความน่าสนใจของอัลบั้มเริ่มต้นตั้งแต่เพลงแรก อย่าง “Sumie No Kuni E” (Into A Nation Of Black Ink) ที่ใช้การบรรเลงและเสียงร้องในลำโพงแยก ซ้าย-ขวา แบบสเตอริโอ เพื่อสร้างบรรยากาศอันแสนสงบผ่อนคลาย ที่แอบแฝงไปด้วยอารมณ์แห่งความสับสนและหวาดระแวงราวกับผู้ฟังได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในยุคเอโดะที่ไม่แน่นอนอีกครั้ง
ตามมาด้วย “Nanika Ga Umi Wo Yatte Kuru” (Something Horrible Is Coming Across The Sea) ที่ตอกย้ำความรู้สึกของชาติที่กำลังตกอยู่ในความคลุมเครือ เพลงนี้ใช้เสียงเบสที่เน้นจังหวะกระทบกระแทกและซินธิไซเซอร์ที่แฝงไปด้วยความหลอนและวิตกจริต ถ่ายทอดบรรยากาศของการรอคอยบางสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล
เสียงร้องของ Mika Katō ในเพลงเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวแทนของนักร้องหญิงในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านทางดนตรีของประวัติศาสตร์ร็อกญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนหัวใจของการเปิดรับ — การยอมรับความแตกต่างอย่างอ่อนโยน และการสร้างสมดุลระหว่างความจริงจังกับความเบาสบายผ่านคอนเซ็ปต์ภายใต้อัลบั้มเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่วง Sadistic Mika Band สามารถทำออกมาได้อย่างเหนือชั้น ความสัมพันธ์ในชีวิตจริงระหว่าง Mika กับ Kazuhiko มือกีตาร์และหัวหน้าวง ยิ่งเพิ่มแรงผลักทางอารมณ์ให้กับบทเพลงเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
Sadistic Mika Band ในอัลบั้มนี้ได้ยกระดับเสียงเพลงให้เป็นมากกว่าแค่ความบันเทิง หากแต่เป็นเครื่องมือในการตั้งคำถาม สื่อสาร และเชื่อมโยงมนุษย์เข้าหากันผ่านเวลาและอารมณ์ นี่คือหนึ่งในผลงานที่ควรค่าต่อการกลับมาฟังและตีความใหม่ในทุกยุคสมัย และเป็นก้าวย่างสำคัญที่ปูทางให้กับวงดนตรีโปรเกรสซีฟญี่ปุ่นรุ่นถัดมาอย่าง YMO, Far East Family Band หรือแม้กระทั่ง Ruins ได้มีพื้นที่ในการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างอิสระ