12 พ.ค. เวลา 07:27 • ดนตรี เพลง

Kurofune: ย่างก้าวแห่งเสียงดนตรีและคลื่นลูกใหม่แห่ง Progressive Rock ญี่ปุ่นยุค 70s

อัลบั้ม Kurofune (Black Ship) ของ Sadistic Mika Band ที่ออกวางจำหน่ายในปี 1974 นั้น เปรียบได้กับเรือธงของความกล้าหาญทางดนตรีในยุคที่แนว Progressive Rock ยังเป็นเรื่องใหม่ในประเทศญี่ปุ่น มันไม่ใช่แค่การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกกับความเป็นญี่ปุ่นเท่านั้น แต่คือบทกวีแห่งการเปลี่ยนผ่าน ที่สะท้อนความสั่นคลอนของชาติผ่านเสียงดนตรีได้อย่างมีเสน่ห์และชั้นเชิง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 วงการดนตรีญี่ปุ่นกำลังอยู่ในระหว่างการค้นหาอัตลักษณ์ของตนเองหลังยุคสงคราม ศิลปินรุ่นใหม่เริ่มหันมาสนใจดนตรีจากโลกตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะแนว Progressive Rock ที่กำลังเบ่งบานในอังกฤษ ผ่านผลงานของวงอย่าง King Crimson, Pink Floyd, Yes และ Genesis ความซับซ้อนของโครงสร้างเพลง การทดลองทางเสียง และการเล่าเรื่องเชิงปรัชญา ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อวงดนตรีญี่ปุ่นที่ต้องการก้าวพ้นกรอบของ "Kayōkyoku" หรือเพลงป๊อปญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม
Sadistic Mika Band ถือเป็นหนึ่งในวงที่กล้าหาญกลุ่มแรกที่ไม่เพียงแต่รับอิทธิพลของตะวันตกเท่านั้น แต่ยังกล้าแปรสภาพมันให้เข้ากับบริบททางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในแบบของตนเอง "Kurofune" จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การยืมรูปแบบจากตะวันตกมาใช้ แต่คือการตอบสนองต่อประวัติศาสตร์ของชาติผ่านเครื่องมือใหม่ที่เรียกว่า "โปรเกรสซีฟร็อก"
ชื่ออัลบั้ม “Kurofune” หรือ “เรือดำ” อ้างอิงถึงเหตุการณ์ในปี 1853 ที่เรือของนายพลแมทธิว ซี. เพร์รี (Matthew Calbraith Perry) จากอเมริกาเข้ามาเทียบท่าที่ญี่ปุ่น เป็นสัญลักษณ์ของการเปิดประเทศอย่างกะทันหัน และแรงสั่นสะเทือนที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมญี่ปุ่นไปอย่างถาวร Sadistic Mika Band นำประวัติศาสตร์ส่วนนี้มาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบของเสียงดนตรี โดยเน้นความปั่นป่วน ความหวาดระแวง และความไม่แน่นอนในจิตใจของผู้คนจากยุคสมัยนั้น
ความน่าสนใจของอัลบั้มเริ่มต้นตั้งแต่เพลงแรก อย่าง “Sumie No Kuni E” (Into A Nation Of Black Ink) ที่ใช้การบรรเลงและเสียงร้องในลำโพงแยก ซ้าย-ขวา แบบสเตอริโอ เพื่อสร้างบรรยากาศอันแสนสงบผ่อนคลาย ที่แอบแฝงไปด้วยอารมณ์แห่งความสับสนและหวาดระแวงราวกับผู้ฟังได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในยุคเอโดะที่ไม่แน่นอนอีกครั้ง
ตามมาด้วย “Nanika Ga Umi Wo Yatte Kuru” (Something Horrible Is Coming Across The Sea) ที่ตอกย้ำความรู้สึกของชาติที่กำลังตกอยู่ในความคลุมเครือ เพลงนี้ใช้เสียงเบสที่เน้นจังหวะกระทบกระแทกและซินธิไซเซอร์ที่แฝงไปด้วยความหลอนและวิตกจริต ถ่ายทอดบรรยากาศของการรอคอยบางสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล
บทเพลงไตเติลแทร็ก อย่าง “Kurofune” (Black Ship) คือหัวใจของอัลบั้ม ด้วยโครงสร้างดนตรีที่เข้มข้น ทั้งเสียงกลองที่สั่นสะเทือน เสียงกีตาร์ที่หวีดร้อง และเบสที่หนักแน่น มันคือความวุ่นวายที่แปรเปลี่ยนไปเป็นความสิ้นหวัง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงามในรูปแบบร็อกเชิงมหากาพย์ โครงสร้างเพลงที่ไม่เป็นไปตามขนบ พร้อมการเปลี่ยนจังหวะอย่างรุนแรงในช่วงกลางเพลง เป็นภาพแทนของการแตกสลายทางสังคมและความพยายามในการประกอบสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาใหม่
ในขณะเดียวกัน เพลงอย่าง “Yoroshiku Dozo” (Welcome Please) ก็เปรียบเสมือนเสียงยอมรับของคนในชาติที่ไม่อาจหลีกหนีจากยุคสมัยใหม่ไปได้ตลอด ท่วงทำนองที่เปี่ยมไปด้วยความกลมกล่อมแฝงไว้ด้วยความจำยอม ทำให้อารมณ์ของอัลบั้มมีความหลากหลายและมีมิติมากยิ่งขึ้น ดนตรีที่มีลักษณะคล้ายฟังค์ผสมโซล ในจังหวะและทำนองเทศบาลพื้นบ้านของญี่ปุ่น แสดงออกถึงการเปิดใจยอมรับอิทธิพลจากตะวันตกในมิติที่เบาสบายและผ่อนคลายกว่าเพลงหลักของอัลบั้ม
สิ่งที่โดดเด่นใน "Kurofune" คือการกล้าที่จะผสมผสานแนวทางที่หลากหลายไว้ด้วยกัน เช่น การแทรกเพลงป๊อป อย่าง “Time Machine” และ “Hei Made Hitottobi (Suki Suki Suki)” ที่แม้ดูเหมือนจะขัดกับธีมหลักของอัลบั้ม แต่กลับกลายเป็นการเติมเต็มมิติทางดนตรี และอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายของมนุษย์ ที่มีส่วนในการสร้างเรื่องราวของอัลบั้มนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เพลงเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ให้ผู้ฟังได้พักหายใจในภาวะดนตรีที่เข้มข้น และเป็นการสะท้อนว่าแม้จะอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างรุนแรง มนุษย์ก็ยังมีความรัก ความฝัน และอารมณ์เบาสบายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
สมาชิกวง (ซ้ายไปขวา): Kazuhiko, Mika, Ray Ohara, Yukihiro, Yū Imai และ Masayoshi
เสียงร้องของ Mika Katō ในเพลงเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวแทนของนักร้องหญิงในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านทางดนตรีของประวัติศาสตร์ร็อกญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนหัวใจของการเปิดรับ — การยอมรับความแตกต่างอย่างอ่อนโยน และการสร้างสมดุลระหว่างความจริงจังกับความเบาสบายผ่านคอนเซ็ปต์ภายใต้อัลบั้มเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่วง Sadistic Mika Band สามารถทำออกมาได้อย่างเหนือชั้น ความสัมพันธ์ในชีวิตจริงระหว่าง Mika กับ Kazuhiko มือกีตาร์และหัวหน้าวง ยิ่งเพิ่มแรงผลักทางอารมณ์ให้กับบทเพลงเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
ในภาพรวม "Kurofune" คือการผสมผสานระหว่างดนตรี Avant-garde (อาวอง การ์ด), Progressive, Pop และ Glam Rock ออกมาได้อย่างกล้าหาญ มันเป็นมากกว่าแค่อัลบั้มเพลง แต่คือแถลงการณ์ทางวัฒนธรรม การท้าทายอำนาจนิยม การรื้อถอนกรอบประวัติศาสตร์ และการชี้ทางไปข้างหน้าด้วยเสียงดนตรี การใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับเครื่องสายพื้นบ้านญี่ปุ่น อย่าง ชามิเซ็นหรือโคโตะในบางช่วง ถือเป็นความพยายามสร้างสะพานระหว่างอดีตกับอนาคตอย่างจริงจัง
แม้จะมีความซับซ้อนทางโทนเสียงและอารมณ์ที่อาจดูขัดแย้งกันบ้าง แต่ทั้งหมดกลับหลอมรวมกันเป็นภาพจิตรกรรมทางเสียงดนตรีที่มีทั้งความเข้มข้นและความอ่อนโยนอย่างลงตัว ถือเป็นผลงานที่ท้าทายต่อกรอบความเข้าใจของผู้ฟังในยุคนั้น และยังคงให้ความรู้สึกสดใหม่อยู่ในทุกการฟังจนถึงปัจจุบัน
Sadistic Mika Band ในอัลบั้มนี้ได้ยกระดับเสียงเพลงให้เป็นมากกว่าแค่ความบันเทิง หากแต่เป็นเครื่องมือในการตั้งคำถาม สื่อสาร และเชื่อมโยงมนุษย์เข้าหากันผ่านเวลาและอารมณ์ นี่คือหนึ่งในผลงานที่ควรค่าต่อการกลับมาฟังและตีความใหม่ในทุกยุคสมัย และเป็นก้าวย่างสำคัญที่ปูทางให้กับวงดนตรีโปรเกรสซีฟญี่ปุ่นรุ่นถัดมาอย่าง YMO, Far East Family Band หรือแม้กระทั่ง Ruins ได้มีพื้นที่ในการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างอิสระ
Cr. Progarchives / Wikipedia
---
โฆษณา