14 พ.ค. เวลา 11:21 • ดนตรี เพลง

ศิลปะแห่งการเล่าเรื่องที่เป็นมากกว่าดนตรี: Renaissance กับการเดินทางผ่านอาหรับราตรี (Arabian Nights)

Scheherazade and Other Stories คือผลงานที่ยืนยันได้ชัดเจนถึงการก้าวสู่จุดสูงสุดของ Renaissance วงดนตรีโปรเกรสซีฟร็อคที่มีลายเซ็นเฉพาะตัวผ่านการผสมผสานอย่างละเมียดละไมระหว่างดนตรีคลาสสิกและโฟล์กร็อค อัลบั้มชุดนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงสุนทรีย์และความสง่างามทางดนตรี แต่ยังเผยให้เห็นถึงการพัฒนาทางศิลปะที่สุกงอมจากการเดินทางทางเสียงนับตั้งแต่สมัยอัลบั้ม Prologue (1972) จนมาถึงจุดนี้
ตั้งแต่แรกเริ่มในบทเพลง "Trip to the Fair" ก็ได้สร้างบรรยากาศลึกลับน่าค้นหาด้วยเสียงเปียโนของ John Tout ที่ทั้งอลังการและเปี่ยมด้วยอารมณ์ ด้วยการร้อยเรียงที่ได้รับอิทธิพลจาก Rachmaninoff และ Tchaikovsky การบรรเลงเปิดยาวกว่า 3 นาทีนี้ได้สร้างภาพของโลกแห่งความฝัน เสริมด้วยเสียงคอรัสและเครื่องเคาะเบา ๆ ซึ่งก่อให้เกิดฉากที่ทั้งเร้นลับและหรูหรา ก่อนที่เสียงอันใสกริบของ Annie Haslam จะทะยานเข้าสู่เพลงราวกับนางฟ้าจากเทพนิยาย
อย่างไรก็ตาม "Trip to the Fair" กลับเลือกหักเหเส้นทางหลังจากการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ สู่แนวทางที่นุ่มนวลชวนฝัน มีสัมผัสของแจ๊สเบา ๆ ซึ่งแม้จะลดทอนพลังที่บทนำได้สัญญาไว้ แต่กลับเสริมสร้างโลกแฟนตาซีที่ชวนให้ระลึกถึงการนั่งม้าหมุนในงานแฟร์ต้องมนตร์อย่างน่าประทับใจ เป็นความไม่สมดุลที่ทั้งขัดแย้งและลงตัวในตัวเอง
"The Vultures Fly High" เป็นบทเพลงถัดมาที่มีความกระชับ ฉับไว และแนวทางร็อคที่เด่นชัดกว่า มันเปรียบเสมือนการสูดลมหายใจอย่างรวดเร็วระหว่างการเดินทางที่ยาวไกล เพลงนี้แม้จะสั้นแต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังและการร้อยเรียงที่ไม่ธรรมดา แสดงให้เห็นว่า Renaissance ก็สามารถทำเพลงที่หนักแน่นและเฉียบคมได้ไม่แพ้วงโปรเกรสซีฟร็อคอื่น ๆ
ก่อนที่ "Ocean Gypsy" จะนำพาอารมณ์กลับเข้าสู่เส้นทางโฟล์ก-ซิมโฟนิก ด้วยท่วงทำนองที่แผ่วเบาแต่กินใจ Annie Haslam ถ่ายทอดเสียงร้องที่เปี่ยมด้วยความเศร้าโศกในแบบที่สัมผัสได้ถึงการโหยหาและการเดินทางที่ไร้จุดหมาย เสียงเปียโนและเครื่องสายที่ร่วมบรรเลงเพิ่มมิติแห่งความอ้างว้าง ทำให้บทเพลงนี้เสมือนเป็นบทกวีของนักเดินทางผู้เดียวดาย
แต่จุดไคลแม็กซ์สูงสุดของอัลบั้มคือบทเพลงมหากาพย์ 24 นาที อย่าง "Song of Scheherazade" ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงบทเพลง หากแต่เป็นการเดินทางทางอารมณ์ที่สลับซับซ้อนและเปี่ยมมนต์ขลัง งานนี้ไม่ใช่เพียงการนำออร์เคสตรามาเสริมพื้นหลังให้กับเพลงเหมือนที่วงโปรเกรสซีฟหลายวงทำ แต่เป็นการหลอมรวมออร์เคสตราเข้าเป็นหัวใจหลักของเพลงได้อย่างแท้จริง
"Song of Scheherazade" ถ่ายทอดเรื่องราวจาก "พันหนึ่งราตรี" หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ "อาหรับราตรี" (Arabian Nights) — งานรวบรวมนิยายและนิทานพื้นบ้านตะวันออกกลางและเอเชียใต้ เล่าถึง พระราชาชาห์เรียร์ (Shahryār) ที่ถูกภรรยานอกใจ จึงแต่งงานกับหญิงใหม่ทุกคืนแล้วปลิดชีพพวกนางในตอนเช้า
จนกระทั่งพบกับ เชเฮราซาด (Scheherazade) หญิงสาวผู้ฉลาดหลักแหลม เธอเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้พระราชาฟังทุกคืนโดยจบแบบค้างคาไว้ทุกตอน จนทำให้พระราชาต้องเลื่อนการประหารออกเพื่อรอฟังต่อ สุดท้ายพระราชาจึงตกหลุมรักและยกเลิกคำสั่งประหารไปในที่สุด
ด้วยการจัดวางโครงสร้างที่ละเอียดอ่อน บทเพลงจึงถูกแบ่งออกเป็น 9 ตอนย่อยแต่ไหลลื่นอย่างไร้รอยต่อ จังหวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่ขาดช่วง ทั้งหนักแน่นและพลิ้วไหว ประสานกันอย่างวิจิตรบรรจงเหมือนการถักทอพรมเปอร์เซีย
เสียงเปียโนของ John Tout ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของงานนี้ มีทั้งการเร่งเร้าและการบรรเลงที่แผ่วเบาแต่ตราตรึง เสริมด้วยการเรียบเรียงออร์เคสตราโดย Tony Cox ที่ไม่เคยหนักมือเกินไปจนทำให้บทเพลงรู้สึกเกินเลยจากความเป็น Renaissance ความสมดุลระหว่างความหรูหราและความละมุนละไมทำให้เพลงนี้งดงามอย่างยิ่ง
Annie Haslam ไม่ได้แบกรับบทบาทนักร้องนำแต่เพียงผู้เดียว เพราะใน "Song of Scheherazade" ยังมีการร้องประสานเสียงจากสมาชิกวงคนอื่น ๆ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศแบบอาหรับโบราณได้อย่างแนบเนียน เสียงร้องของเธอแผ่วบางและเบาหวิวในช่วงที่บรรยายถึงค่ำคืนในพระราชวัง และแปรเปลี่ยนเป็นทรงพลังในยามที่เรื่องราวของ Scheherazade ถูกเล่าขานต่อมาด้วยเนื้อเรื่องที่ค่อย ๆ เข้มข้นขึ้น
การทำงานของ Jon Camp และ Terence Sullivan ในตำแหน่งเบสและกลองยังคงเปี่ยมด้วยความประณีต พวกเขาไม่เคยปล่อยให้ความยิ่งใหญ่ของบทเพลงกลบการเล่นที่ละเอียดลออ โดยเฉพาะไลน์เบสของ Jon Camp ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประสานงานกับเปียโนของ Tout ได้อย่างลื่นไหล
เมื่อเปรียบเทียบกับวงรุ่นเดียวกัน อย่าง Genesis หรือ Emerson, Lake & Palmer (ELP) ที่มีพลังที่ดุดันและรุนแรงกว่า Renaissance เปรียบเสมือนนักชกมิดเดิลเวท (Middleweight) ที่อาศัยความสง่างามและชั้นเชิงในการเอาชนะใจผู้ฟัง มากกว่าจะใช้พลังแห่งเสียงหรือความซับซ้อนทางเทคนิค
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่า "Scheherazade and Other Stories" เป็นผลงานสตูดิโอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Renaissance และเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่งดงามที่สุดในสายซิมโฟนิกโปรเกรสซีฟจากทุกยุคทุกสมัย เพราะมันรวบรวมทั้งการประพันธ์อันประณีต ความสามารถทางเทคนิค และการสื่อสารทางอารมณ์ที่แทบไร้ที่ติ
บทเพลงแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่กลับถูกเย็บเข้าด้วยกันด้วยสายใยของจินตนาการและศิลปะจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างงดงาม ทั้ง "Trip to the Fair" ที่ลึกลับและชวนหลงใหล "The Vultures Fly High" ที่ฉับไวและเปี่ยมพลัง "Ocean Gypsy" ที่อ่อนโยนเศร้าสร้อย และมหากาพย์ "Song of Scheherazade" ที่สร้างประสบการณ์ทางดนตรีที่ยากจะลืมเลือน
แม้ "Song of Scheherazade" จะยิ่งใหญ่จนทำให้หลายคนมองข้ามเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มไป แต่นั่นเป็นความไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะทุกเพลงต่างมีบทบาทสำคัญในการทำให้อัลบั้มนี้สมบูรณ์แบบในแบบของมันเอง
ในท้ายที่สุด "Scheherazade and Other Stories" ไม่ใช่แค่อัลบั้มที่ควรค่าแก่การฟัง แต่คือประสบการณ์ที่ต้อง "สัมผัส" ด้วยจิตใจที่เปิดรับอย่างเต็มที่ เพื่อรับรู้ถึงความงดงามที่วงได้รังสรรค์ขึ้นจากทั้งศิลปะ ดนตรี และจินตนาการอย่างแท้จริง จนกระทั่งอาจกล่าวได้ว่าคงไม่มีคอลเล็กชันอัลบั้มโปรเกรสซีฟใด ที่จะสมบูรณ์แบบไปได้ หากขาดอัลบั้มชิ้นโบว์แดงนี้ไป
Cr. Progarchives / Wikipedia / RateYourMusic
---
โฆษณา