18 พ.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ธรรมชาติใกล้ตัว ฮีโร่พิชิตควันและแอลกอฮอล์ แค่มีพื้นที่สีเขียว ชีวิตก็เปลี่ยนได้

เคยรู้สึกไหมครับว่าเวลาที่เราได้อยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้า ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ หรือแม้แต่มองเห็นสีเขียวๆ จากหน้าต่างบ้าน มันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะครับ เพราะล่าสุดมีงานวิจัยที่น่าสนใจมากชี้ให้เห็นว่า การมีพื้นที่สีเขียวในละแวกบ้าน หรือการที่เราได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติเป็นประจำนั้น มีส่วนช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ได้จริง ๆ
การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคตับแข็ง ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อตัวผู้ป่วยเอง ครอบครัว และสังคมในวงกว้าง ถ้าเราสามารถหาวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยลดพฤติกรรมเหล่านี้ได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพของพวกเราทุกคนใช่ไหมครับ
และข่าวดีก็คือ "ธรรมชาติ" อาจเป็นหนึ่งในคำตอบนั้น บทความนี้ ผมจะพาทุกท่านไปเจาะลึกงานวิจัยที่ว่านี้ พร้อมทั้งสำรวจว่าธรรมชาติส่งผลดีต่อเราในแง่มุมนี้ได้อย่างไร
งานวิจัยชิ้นสำคัญที่ผมอยากพูดถึงในวันนี้ เป็นความร่วมมือระดับนานาชาติ นำโดยมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ ได้ศึกษาข้อมูลจากผู้ใหญ่จำนวนมากถึง 18,838 คน จาก 18 ประเทศทั่วโลกเลยทีเดียวครับ โดยนักวิจัยได้ให้คำจำกัดความของ "พื้นที่สีเขียวในที่พักอาศัย" (residential green space) ว่าหมายถึง พื้นที่ที่ประกอบด้วยพืชพรรณและองค์ประกอบทางธรรมชาติภายในระยะ 250 เมตรจากบ้านของแต่ละคน ซึ่งรวมถึงสวนส่วนตัวด้วยนะครับ
1
ผลการศึกษาพบสิ่งที่น่าทึ่งมากครับ คือ ผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกบ้านที่มีพื้นที่สีเขียวมากที่สุด มีโอกาสที่จะเป็นผู้สูบบุหรี่ในปัจจุบันน้อยกว่าคนที่อยู่ในพื้นที่สีเขียวน้อยกว่าถึง 13% ไม่เพียงเท่านั้นนะครับ พวกเขายังมีโอกาสที่จะดื่มแอลกอฮอล์ทุกวันน้อยกว่าถึง 31% ตัวเลขเหล่านี้ชัดเจนมากนะครับว่าพื้นที่สีเขียวใกล้บ้านมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราอย่างมีนัยสำคัญ
1
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ ผลการวิจัยนี้ยังคงสอดคล้องกันในทุกกลุ่มตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างด้านประเทศที่อยู่อาศัย รายได้ของครัวเรือน หรือระดับการศึกษา นั่นหมายความว่า การมีพื้นที่สีเขียวใกล้บ้านช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพได้ โดยเป็นประโยชน์ต่อทุกคนในสังคมอย่างแท้จริง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่ง
เรียกได้ว่าเป็นการ "ลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ" อย่างที่ ดร. ลีแอนน์ มาร์ติน หัวหน้าทีมวิจัยจากศูนย์ยุโรปเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์แห่งมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ได้กล่าวไว้เลยครับ
บางท่านอาจจะคิดว่า "แล้วถ้าบ้านฉันไม่ได้อยู่ในย่านที่มีต้นไม้เยอะๆ ล่ะ จะทำอย่างไร?" งานวิจัยนี้ก็มีข่าวดีมาบอกครับ นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ "ตั้งใจ" ออกไปสัมผัสธรรมชาติที่อื่นนอกเหนือจากบริเวณบ้านของตนเอง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ก็มีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่น้อยลงเช่นกัน นี่เป็นข้อค้นพบที่สำคัญมากนะครับ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าแม้เราจะไม่ได้โชคดีมีบ้านอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่การสร้างโอกาสให้ตัวเองได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเป็นประจำก็ยังคงส่งผลดีต่อสุขภาพของเราได้
ธรรมชาติช่วยลด ละ เลิก ได้อย่างไร?
คำถามต่อมาที่หลายคนคงสงสัยก็คือ แล้วธรรมชาติมันไปเกี่ยวข้องกับการลดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างไร ดร. แมท ไวท์ ผู้ร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวียนนา อธิบายว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ มีงานวิจัยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อคนเราได้สัมผัสกับธรรมชาติ พวกเขาจะมีความอยากในสารเสพติดต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์และนิโคตินน้อยลง
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า การได้อยู่กับธรรมชาติช่วยให้เรารู้สึกสงบและผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อจิตใจสงบ ความต้องการที่จะพึ่งพาสิ่งกระตุ้นหรือ "ตัวช่วย" อย่างบุหรี่หรือแอลกอฮอล์เพื่อรับมือกับความเครียดหรือความเบื่อหน่ายก็น้อยลงตามไปด้วย ซึ่งสิ่งนี้เองที่ช่วยให้การเลิกบุหรี่เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นสำหรับบางคน ลองนึกภาพตามนะครับ แทนที่จะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบเวลาเครียด ลองเปลี่ยนไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นต้นไม้ใบหญ้า ความรู้สึกอยากบุหรี่อาจจะลดลงไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้ครับ
ผลการศึกษาที่น่าสนใจนี้ ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของพื้นที่สีเขียวในการเป็นเครื่องมือหนึ่งสำหรับการส่งเสริมสุขภาพในระดับสาธารณสุข หากการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชน หรือการส่งเสริมให้ผู้คนเข้าถึงธรรมชาติได้ง่ายขึ้น สามารถช่วยลดจำนวนผู้สูบบุหรี่และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำได้ มันจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าขนาดไหน ทั้งในแง่ของสุขภาพของประชาชนและภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระยะยาว
งานวิจัยนี้ยังเสนอแนะว่า การแทรกแซงโดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน (nature-based interventions) อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ หรือผู้ที่กำลังบำบัดการติดแอลกอฮอล์ ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาและพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมต่อไป
แม้ว่างานวิจัยนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญและให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า แต่ก็ยังคงมีคำถามอีกมากมายที่รอการค้นคว้าเพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น การเข้าถึงและการบำรุงรักษาพื้นที่สีเขียวในเมืองให้มีคุณภาพและเพียงพอ จะสามารถเป็นกลยุทธ์ที่หน่วยงานสาธารณสุขนำไปปรับใช้เพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพที่หลากหลายได้อย่างไรบ้าง
ผมเชื่อว่าข้อมูลที่นำมาแบ่งปันในวันนี้ น่าจะทำให้หลายท่านเห็นความสำคัญของธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเรามากขึ้นนะครับ ธรรมชาติไม่ใช่แค่สิ่งที่สวยงามสบายตา แต่ยังเป็น "ยา" ชั้นดีที่ช่วยดูแลสุขภาพกายและใจของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าเราจะสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนของเรา หรือสร้างโอกาสให้ตัวเองและคนรอบข้างได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นได้อย่างไรบ้าง? ลองนำคำถามนี้ไปคิดต่อ และหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ หรือการลด ละ เลิกพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพนะครับ เพราะสุขภาพที่ดีคือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของเราทุกคนครับ
แหล่งอ้างอิง:
1. Seymour, T. (2025, May 14). People with more nature in their neighborhoods smoke and drink less, study finds. University of Exeter.
2. Martin, L. et al. (2025). Nature contact and health risk Behaviours: Results from an 18 country study. Health & Place. DOI: 10.1016/j.healthplace.2025.103479
โฆษณา