Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่าประวัติศาสตร์
•
ติดตาม
15 พ.ค. เวลา 05:11 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์จีนหลังเหมา (ตอนที่ 2)
ผู้เขียน : โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ และวาสนา วงศ์สุรวัฒน์
สำนักพิมพ์ : ซิลค์เวอร์ม
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทำให้ผู้นำยุคหลังต้องเรียนรู้ไม่ให้ผิดซ้ำโดยมีความคิดที่อยู่บนพื้นฐานของการรักษาอำนาจพรรคคอมมิวนิสต์เอาไว้ให้ได้ มิได้อยู่บนพื้นฐานความต้องการของประชาชนเป็นหลัก แต่ประเทศจีนก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวจาก “คนป่วยแห่งเอเชีย” เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับที่สองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาได้ภายในหกทศวรรษนี้
ล้วนมาจากการนำพาของเติ้งเสี่ยวผิงที่นำนโยบายสี่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาประเทศ เน้นพัฒนาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องเป็นหลัก และเปิดประเทศ Open Door Policy (ค.ศ. 1978) เมื่อประชาชนอิ่มท้อง การปกครองก็ง่าย “ไม่ว่าแมวสีอะไรก็ตาม ถ้าจับหนูได้ก็นับว่าเป็นแมวที่ดี”
สะท้อนภาพกรอบแนวคิดของผู้นำได้เป็นอย่างดี และเติ้งเสี่ยวผิงเองก็คงเรียนรู้ประวัติศาสตร์การดำเนินนโยบายกับต่างประเทศในอดีตที่จีนทำกับชาติอื่นสมัยราชวงศ์ชิงปกครองด้วย เพราะนโยบายสี่ทันสมัยของเติ้งละม้ายกับนโยบาย Open Door Policy (ค.ศ. 1899) ของจอนห์ เฮย์ รัฐมนตรีการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำร่วมกับพันธมิตรหลายชาติที่พยายามเข้ามาทำการค้ากับตลาดจีนยุคราชวงศ์ชิงที่มีประชากรจำนวนมหาศาล
เพื่อไม่ให้ประเทศใดประเทศหนึ่งได้ผลประโยชน์มากเกินกว่าประเทศอื่น ๆ ควรแบ่งผลประโยชน์ทางการค้านี้ไปเท่า ๆ กัน และสหรัฐอเมริกาก็เพิ่งได้รับฟิลิปปินส์มาเป็นอาณานิคมแห่งใหม่ ซึ่งพ่อค้าชาวจีนโพ้นทะเลควบคุมท่าเรือในฟิลิปปินส์เป็นหลัก ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้สหรัฐอเมริกาพยายามเข้ามามีบทบาทผลประโยชน์ในการค้าของประเทศมหาอำนาจบนแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่นี้ด้วย
แต่ทว่าความสำเร็จของการพัฒนาด้านเศรษฐกิจนำมาสู่การชุมนุมประท้วงใหญ่ของผู้คนนับแสนที่เทียนอันเหมินด้วย กล่าวคือ เมื่อเศรษฐกิจจีนโตมากขึ้น ผู้คนมีกิน การศึกษาได้รับการพัฒนา ผู้คนมีความรู้มากขึ้น และออกไปเผชิญโลกกว้าง มีคนออกไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นจำนวนมากอันเนื่องมาจากนโยบายที่เป็นมิตรกับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และคนกลุ่มนี้นำความรู้ ความคิดแบบโลกเสรีกลับเข้ามาด้วยจนเกิดการตั้งคำถามด้านสิทธิเสรีภาพ และนำไปสู่การนองเลือด วันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1989
หลังจากเหตุการณ์ความรุนแรง ค.ศ. 1989 เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองประเทศต่อไปได้ รัฐบาลจีนต้องพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อรองรับคนรุ่นใหม่ที่มีจำนวนมากขึ้น และมีเป้าหมายที่จะให้จีนเป็นประเทศที่มีตลาดการค้าใหญ่เป็นอันดับสองแทนญี่ปุ่นได้สำเร็จ และสานต่อความสำเร็จด้วยอภิมหาโครงการระดับโลก ทั้ง โอลิมปิกฤดูร้อน ค.ศ. 2008 การจัดงานแสดงเทคโนโลยีเวิร์ดเอ็กซ์โป ค.ศ. 2010
การพัฒนาความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุน กับประเทศในเอเชียและแอฟริกา การพัฒนาด้านอวกาศ และการเข้าไปมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในองค์การสหประชาชาติ
ทว่าหลังจาก ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา เศรษฐกิจจีนกลับไม่เจริญเติบโตเกินร้อยละ 10 ได้ดังเดิม เพราะความผันผวนในระบบเศรษฐกิจที่จีนเองก็ได้รับผลกระทบไปไม่น้อย และหลังจากนี้ยังเป็นช่วงเปลี่ยนผู้นำที่สีจิ้นผิงขึ้นมามีอำนาจ
แต่เส้นทางของสีนั้นแตกต่างกับผู้นำจีนก่อนหน้านี้ที่อยู่ในยุคเศรษฐกิจจีนเจริญเติบโต แต่สีเข้ามามีบทบาทในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ช่วงนี้จึงมีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่พยายามเชื่อมโลกทั้งใบด้วยเส้นทางสายแพรไหมทั้งทางบก และทางทะเลเป็นอภิมหาโครงการอีกหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่
จนกระทั่ง ปลาย ค.ศ. 2019 ที่เป็นจุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั่วโลกต่างสงสัยว่าจีนคือต้นกำเนิดการแพร่ระบาดในครั้งนี้ และนั้นยังไม่มากเท่ากับประชาชนที่พยายามสั่นคลอนอำนาจสีจิ้นผิงในสายตาชาวโลกด้วยการชุนนุมเรียกร้องเสรีภาพในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ไต้หวัน ซินเกียงอุยกูร์ และธิเบต ที่มีมากขึ้น
จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตาว่าพรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของสีจิ้นผิงจะนำพาประเทศไปทิศทางใดในขณะที่ยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลงได้ถาโถมอย่างหนักหน่วง รุนแรง เข้าสู่ประเทศจีนยิ่งกว่ายุคผู้นำคนใดเคยเผชิญมาก่อน และนี่ยังหมายถึงความอยู่รอดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย
อ้างอิง
โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ และวาสนา วงศ์สุรวัฒน์. (2565). ประวัติศาสตร์จีนหลังเหมา. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ซิลค์เวอร์ม.
ความรู้รอบตัว
หนังสือ
ประวัติศาสตร์
1 บันทึก
2
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย