20 พ.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ยาแก้อักเสบบางชนิด อาจเป็นศัตรูในยามเชื้อไวรัสระบาด

เรามักจะคุ้นเคยกันดีว่า "ยา" คือสิ่งที่ช่วยรักษาหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วย แต่จะเป็นอย่างไรถ้าหากยาที่เราใช้กันอยู่ กลับกลายเป็นดาบสองคมที่อาจทำให้ร่างกายเราอ่อนแอต่อการติดเชื้อไวรัสมากขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยครับ และเป็นประเด็นที่ผมอยากจะหยิบยกมาเล่าสู่กันฟัง
ยาที่ใช้รักษาโรค ไม่ได้แปลว่าปลอดภัยเสมอไป
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับว่ายาเกือบทุกชนิดมีโอกาสก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่วงการแพทย์และเภสัชกรรมทราบกันดี แต่กรณีที่เราจะคุยกันวันนี้มีความพิเศษกว่านั้นครับ เพราะมันเกี่ยวข้องกับยาที่ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับการอักเสบและโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองบางชนิด ที่ถูกค้นพบว่าอาจมีผลข้างเคียงที่น่ากังวลคือ ทำให้เชื้อไวรัสบางชนิดแพร่กระจายในร่างกายได้ง่ายขึ้น
ฟังดูน่าตกใจใช่ไหมครับ แต่นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จาก Norwegian University of Science and Technology (NTNU) ได้ค้นพบและนำมาเปิดเผยครับ
ยาที่กำลังเป็นที่จับตามองนี้มีชื่อเรียกว่า "Janus kinase inhibitors" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "JAK inhibitors" (JAKI) หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อนี้เท่าไหร่นัก แต่ยากลุ่มนี้มีการใช้อย่างแพร่หลายในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติอื่นๆ โดยยาในกลุ่มนี้ที่ถูกกล่าวถึงในงานวิจัยคือ บาริซิทินิบ (baricitinib)
กลไกหลักของยากลุ่ม JAK inhibitors คือการเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ Janus kinase ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการส่งสัญญาณภายในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบและระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อเอนไซม์นี้ถูกยับยั้ง การอักเสบในร่างกายก็จะลดลง ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หรือโรคภูมิแพ้ตัวเองอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การกดระบบภูมิคุ้มกันนี้เองที่อาจเป็นช่องโหว่ให้เชื้อไวรัสฉวยโอกาสได้
นักวิจัยได้อธิบายว่า ยากลุ่ม JAK inhibitors สามารถทำให้ร่างกายเราเปราะบางต่อการติดเชื้อไวรัสมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (Influenza A) อะดีโนไวรัส (Adenovirus) ไวรัส SARS-CoV-2 ที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 และแม้กระทั่งไวรัสไข้ริฟท์วัลเลย์ (Rift Valley fever virus) ก็สามารถได้รับผลประโยชน์จากยาเหล่านี้ในการแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น
แล้วมันทำงานอย่างไร? ผมจะอธิบายง่ายๆ แบบนี้นะครับ โดยปกติแล้วเมื่อร่างกายเราติดเชื้อไวรัส เซลล์ในร่างกายจะมีระบบป้องกันตัวเองตามธรรมชาติอย่างหนึ่งคือการสร้างสารที่เรียกว่า "อินเตอร์เฟียรอน" (Interferons หรือ IFNs) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เซลล์ปล่อยออกมาเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ข้างเคียงเตรียมพร้อมรับมือกับการบุกรุกของไวรัส
และยังกระตุ้นยีนส์อีกหลายตัวที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อไวรัส (Interferon-Stimulated Genes หรือ ISGs) ให้ทำงาน กระบวนการส่งสัญญาณเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการยับยั้งการแบ่งตัวและการแพร่กระจายของไวรัสครับ
แต่เมื่อผู้ป่วยได้รับยากลุ่ม JAK inhibitors ยาเหล่านี้จะเข้าไปกดการทำงานของเส้นทางการส่งสัญญาณภูมิคุ้มกันที่สำคัญนี้ ทำให้การตอบสนองของยีนส์ที่ปกติจะช่วยต่อสู้กับไวรัสช้าลงหรือไม่ทำงาน เปรียบเสมือนการปลดเกราะป้องกันไวรัสของร่างกายออกไป เมื่อเกราะป้องกันอ่อนแอลง ไวรัสก็สามารถบุกรุกเข้าสู่เซลล์ แบ่งตัว และแพร่กระจายไปทั่วร่างกายได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
นักวิจัยได้ทำการทดลองโดยใช้เทคนิคขั้นสูงทางไวรัสวิทยา เทคโนโลยีออร์แกนอยด์ (การเพาะเลี้ยงอวัยวะขนาดเล็กในห้องปฏิบัติการ) และการวิเคราะห์การแสดงออกของยีนส์ พวกเขาได้ทำการศึกษาในเซลล์จากปอด ตา และสมอง รวมถึงอวัยวะจำลองขนาดเล็กที่สร้างขึ้น ผลการศึกษาสอดคล้องกันว่า ยากลุ่ม JAK inhibitors มีผลทำให้เกราะป้องกันเชื้อไวรัสโดยธรรมชาติของเซลล์อ่อนแอลง
การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบุคลากรทางการแพทย์ครับ แม้ว่ายากลุ่ม JAK inhibitors จะมีประสิทธิภาพดีในการรักษาอาการอักเสบ แต่ก็อาจแฝงความเสี่ยงไว้สำหรับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสแฝงอยู่ หรือกำลังมีการติดเชื้อไวรัสอยู่ ดังนั้น การสั่งใช้ยากลุ่มนี้จึงควรทำด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังชี้ให้เห็นอีกมุมหนึ่งว่า ผลในการกดภูมิคุ้มกันของยากลุ่มนี้ อาจมีประโยชน์ในบางสถานการณ์ที่ควบคุมได้ เช่น ในการพัฒนาวัคซีน หรือในการคัดกรองยาต้านไวรัสชนิดใหม่ๆ
ทีมวิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการค้นพบนี้จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ในหมู่แพทย์และนักวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของยาเหล่านี้ และแนะนำให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าควรใช้ยากลุ่มนี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยที่สุด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของไวรัส หรือการระบาดตามฤดูกาล
จากการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ผมพบว่ายากลุ่ม JAK inhibitors ไม่ได้มีเพียงผลกระทบต่อความไวต่อเชื้อไวรัสเท่านั้น แต่ยังมีการศึกษาและข้อควรระวังในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ความเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาหัวใจและหลอดเลือด หรือความเสี่ยงมะเร็งบางชนิดในผู้ป่วยบางกลุ่ม
ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาในหลายประเทศรวมถึงองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้มีการออกคำเตือนและปรับปรุงคำแนะนำในการใช้ยาเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำความสำคัญของการใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และการประเมินความเสี่ยงเทียบกับประโยชน์ที่ผู้ป่วยแต่ละรายจะได้รับ
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ยา Baricitinib ซึ่งเป็น JAK inhibitor ตัวหนึ่ง จะถูกกล่าวถึงในงานวิจัยถึงความสามารถในการช่วยให้ไวรัสแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น แต่ในสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ยาตัวเดียวกันนี้กลับได้รับการอนุมัติในบางกรณีเพื่อใช้รักษาผู้ป่วย COVID-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น Remdesivir ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในการออกฤทธิ์ของยา และการนำมาประยุกต์ใช้ในสภาวะโรคที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ปรากฏการณ์ที่ยาบางชนิดอาจส่งผลต่อความไวในการติดเชื้อไวรัสไม่ได้จำกัดอยู่แค่ยากลุ่ม JAK inhibitors เท่านั้นครับ มีการศึกษาที่ชี้ว่ายาปฏิชีวนะบางชนิด (Antibiotics) ซึ่งปกติเราใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ก็อาจส่งผลทางอ้อมทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อการติดเชื้อไวรัสบางชนิดได้ในสัตว์ทดลอง โดยเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการที่ยาปฏิชีวนะไปรบกวนสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยรวม แม้ว่านี่จะเป็นการศึกษาในสัตว์ทดลอง แต่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ยามีผลกระทบที่ซับซ้อนกว่าที่เราคิด
เรื่องราวของยากลุ่ม JAK inhibitors กับผลกระทบต่อการแพร่กระจายของไวรัสนี้ เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่าวิทยาการทางการแพทย์ยังคงต้องมีการค้นคว้าและพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งครับ ยาที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยรักษาโรคหนึ่ง อาจมีอีกแง่มุมหนึ่งที่เรายังไม่ทราบหรือยังเข้าใจไม่ครบถ้วน การใช้ยาทุกชนิดจึงควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์และเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากยาและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยที่สุดครับ
แหล่งอ้างอิง:
1. Brandslet, S. (2025, May 15). How common drugs can help viruses spread. Medical Xpress. Retrieved from https://medicalxpress.com/news/2025-05-common-drugs-viruses.html
2. Ravlo, E., et al. (2025). JAK inhibitors remove innate immune barriers facilitating viral propagation. NAR Molecular Medicine. DOI: 10.1093/narmme/ugaf017
3. MDPI. (n.d.). Neurological Adverse Events Associated with the Use of Janus Kinase Inhibitors: A Pharmacovigilance Study Based on Vigibase. Retrieved from https://www.mdpi.com/1424-8247/18/3/394
โฆษณา