22 พ.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ยาพ่นขยายหลอดลมอย่างเดียวอาจยังไม่พอ ถึงเวลาปรับความเข้าใจเรื่องการจัดการโรคหืดกันใหม่

ยาพ่นสีฟ้าที่เราคุ้นเคยกันดี มีชื่อสามัญว่า ซาลบูทามอล (Salbutamol) ครับ ยาตัวนี้จัดอยู่ในกลุ่มยาขยายหลอดลม (Bronchodilator) ทำงานโดยไปคลายกล้ามเนื้อเรียบที่หดเกร็งในหลอดลม ทำให้หลอดลมเปิดกว้างขึ้น อากาศไหลผ่านได้สะดวกขึ้น เมื่อรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือมีอาการหอบเหนื่อยจากการกำเริบของโรคหืด การพ่นยาซาลบูทามอลเข้าไป จะช่วยบรรเทาอาการได้อย่างรวดเร็วภายใน 10 นาที และฤทธิ์ยาจะอยู่ได้นานถึง 6 ชั่วโมง
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมยาพ่นสีฟ้าถึงเป็นเหมือนเพื่อนยามฉุกเฉินที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ป่วยโรคหืดหลายคนครับ
ในอดีต แนวทางการรักษาโรคหืดสำหรับผู้ที่มีอาการไม่บ่อย อาจแนะนำให้ใช้ยาพ่นซาลบูทามอลเฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น หรือที่เรียกว่าใช้แบบ "ตามต้องการ" (as needed) โดยไม่ต้องใช้ยาป้องกันการอักเสบควบคู่ไปด้วย แต่ข้อมูลและหลักฐานทางการแพทย์ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กำลังบอกเราว่าแนวทางนี้อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนครับ
ปัญหาที่ซ่อนอยู่: ยาพ่นสีฟ้าไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ
ลองนึกภาพตามผมนะครับ ถ้าข้อศอกของคุณบวมและปวดมาก คุณกินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดได้ แต่ถ้าสาเหตุของอาการบวมและปวดคือภาวะเส้นเอ็นอักเสบ การกินยาแก้ปวดอย่างเดียวก็ไม่ได้ไปรักษาการอักเสบนั้นให้หายไปจริงไหมครับ
โรคหืดก็เช่นกันครับ อาการหลอดลมตีบ หายใจลำบาก เป็นเพียงปลายเหตุ แต่ต้นเหตุหลักของโรคหืดมักมาจากการอักเสบเรื้อรังในระบบทางเดินหายใจครับ การอักเสบนี้เกิดจากการที่หลอดลมของผู้ป่วยโรคหืดไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม เช่น ละอองเกสร เชื้อรา ไรฝุ่น หรือแม้แต่อากาศที่เย็นหรือชื้น เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้น หลอดลมก็จะเกิดการอักเสบ ผนังหลอดลมหนาตัวขึ้น มีเสมหะมากขึ้น ทำให้ทางเดินอากาศแคบลง ซึ่งนำไปสู่อาการหอบเหนื่อยในที่สุด
ยาพ่นซาลบูทามอลออกฤทธิ์ที่ปลายเหตุ คือการขยายหลอดลมที่ตีบ แต่ไม่ได้เข้าไปจัดการกับการอักเสบเรื้อรังที่เป็นต้นเหตุ หากเราใช้ยาพ่นซาลบูทามอลเพียงอย่างเดียวเพื่อบรรเทาอาการ โดยไม่ได้ควบคุมการอักเสบที่ต้นเหตุ ปัญหาที่ซ่อนอยู่ก็จะยังคงอยู่ และอาจจะแย่ลงด้วยซ้ำครับ
การใช้ยาพ่นซาลบูทามอลบ่อยๆ โดยไม่ควบคุมการอักเสบ อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงได้ครับ นั่นหมายความว่า เมื่อมีอาการหอบเหนื่อย ยาพ่นสีฟ้าอาจไม่ช่วยบรรเทาอาการได้เท่าที่ควร หรือที่แย่กว่านั้นคือ หลอดลมอาจจะยิ่งไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น และเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น ผู้ป่วยบางคนอาจรู้สึกว่าต้องใช้ยาพ่นสีฟ้าบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม ซึ่งกลายเป็นวงจรที่ทำให้ปัญหาแย่ลงไปอีก
มีข้อมูลที่ชัดเจนบ่งชี้ว่า การใช้ยาพ่นยาขยายหลอดลมแบบออกฤทธิ์สั้นอย่างซาลบูทามอลมากเกินไป สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการกำเริบของโรคหืดที่รุนแรงขึ้น การต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และแม้กระทั่งความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต
1
ตามแนวทางการรักษาโรคหืด ทั้งในออสเตรเลียและระดับสากล การใช้ยาพ่นซาลบูทามอลเพื่อบรรเทาอาการมากกว่า 2 วันต่อสัปดาห์ ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าโรคหืดของคุณยังควบคุมได้ไม่ดี และควรได้รับการทบทวนแผนการรักษา รวมถึงอาจจำเป็นต้องได้รับยาต้านการอักเสบเพิ่มเติมด้วยครับ และหากคุณใช้ยาพ่นซาลบูทามอลถึง 3 หลอดหรือมากกว่าต่อปี นั่นถือเป็นการใช้ยาที่มากเกินไปแล้ว
จากหลักฐานทางการแพทย์ที่เพิ่มมากขึ้น องค์กร Global Initiative for Asthma (GINA) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไร ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคหืดครั้งใหญ่ในปี 2019 โดยคณะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหืดได้ทบทวนข้อมูลวิชาการอย่างละเอียด และพบว่า การใช้ยาพ่นซาลบูทามอลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการรักษาโรคหืดในผู้ใหญ่และวัยรุ่นอีกต่อไป
แนวทางการรักษาโรคหืดของออสเตรเลีย โดย National Asthma Council ก็กำลังจะปรับตามแนวทางสากลนี้เช่นกัน โดย Australian Asthma Handbook ฉบับปี 2025 ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยโรคหืดใช้ยาขยายหลอดลมแบบออกฤทธิ์สั้นอย่างซาลบูทามอลเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เพิ่มขึ้นตามที่ผมได้กล่าวไปครับ
แนวทางใหม่นี้แนะนำให้ผู้ป่วยโรคหืด โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และวัยรุ่น ควรได้รับยาต้านการอักเสบเพื่อป้องกันอาการกำเริบควบคู่ไปกับการใช้ยาขยายหลอดลมตั้งแต่แรกเริ่ม
1
ยาที่แนะนำตามแนวทางใหม่นี้ คือ ยาพ่นชนิดที่เป็นยาผสม (combination inhalers) ซึ่งในหนึ่งการพ่น (หรือหนึ่งโดส) จะมียาสองชนิดรวมกัน คือ ยาขยายหลอดลม (เพื่อบรรเทาอาการเมื่อมีอาการ) และยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นในขนาดต่ำ (เพื่อรักษาการอักเสบที่เป็นต้นเหตุ) ยาพ่นชนิดนี้ถูกแนะนำให้ใช้แทนยาพ่นซาลบูทามอลเพียงอย่างเดียว สำหรับการบรรเทาอาการ แม้ในผู้ที่มีอาการไม่บ่อยก็ตาม
ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า เมื่อใช้ยาพ่นชนิดยาผสมนี้แทนยาพ่นซาลบูทามอลเพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยโรคหืดมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญครับ สำหรับในเด็ก แนวทางการรักษาก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ยาพ่นต้านการอักเสบ และไม่สนับสนุนการพึ่งพายาขยายหลอดลมมากเกินไปเช่นกันครับ
ถึงเวลาทบทวนยาพ่นคู่ใจของคุณแล้วหรือยัง?
สำหรับในประเทศไทย แม้ว่ายาพ่นซาลบูทามอลบางยี่ห้ออาจยังหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ภายใต้คำแนะนำของเภสัชกร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่คุณผู้ป่วยโรคหืดควรทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการควบคุมการอักเสบที่เป็นต้นเหตุของโรคครับ
หากคุณเป็นผู้ป่วยโรคหืดและกำลังใช้ยาพ่นสีฟ้าอยู่ ผมอยากชวนให้คุณลองกลับไปทบทวนการใช้ยาของตัวเองดูครับ ว่าคุณใช้ยาพ่นสีฟ้าบ่อยแค่ไหน คุณรู้สึกว่าต้องใช้ยาบ่อยขึ้นหรือไม่ หรือมีอาการกำเริบที่รบกวนชีวิตประจำวันอยู่บ้างหรือเปล่า
สิ่งที่ดีที่สุดคือการปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่ดูแลคุณอยู่ครับ เล่าอาการและการใช้ยาของคุณให้แพทย์ฟัง เพื่อให้แพทย์ได้ประเมินและแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับคุณที่สุด อาจถึงเวลาที่คุณจะต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพายาพ่นสีฟ้าเพียงอย่างเดียว มาเป็นการดูแลโรคหืดแบบองค์รวม ที่เน้นการควบคุมการอักเสบควบคู่ไปด้วย เพื่อสุขภาพปอดที่ดีในระยะยาวครับ
แหล่งอ้างอิง:
Using an inhaler alone may not be enough to manage asthma. MedicalXpress. May 14, 2025.
โฆษณา