18 พ.ค. เวลา 04:47 • สุขภาพ

ข้อสันนิฐานการบริโภคอาหารปรุงแต่งขั้นสูง (UPFs) ในเด็กที่มีภาวะออทิซึมส่งผลเสียต่อสัญชาตญาณโภชนาการ

แนวคิด สัญชาตญาณโภชนาการ อธิบายว่า ร่างกายมนุษย์ (และสัตว์อื่น ๆ) มีระบบรับ ส่งสัญญาณระหว่างสมองกับลำไส้ที่คอยสแกนภาวะพร่องสารอาหารแล้วปลุกความอยากให้ตรงกับสิ่งที่ขาด คริส เริ่มต้นเล่าถึงวัวของนักวิจัย เอ็ดดี  ริกสัน ที่เลือกกินหญ้าหลากหลายชนิดเพื่อรักษาแผลในกระเพาะ
ตามมาด้วยการทดลองคลาสสิกของ คลารา เดวิส (ค.ศ. 1920s) ที่ให้ทารกเลือกอาหารเองจากถาดหลากชนิด เธอทำการทดลองกับเด็กทารก 15 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวเดิม เด็ก ๆ เหล่านี้ถูกเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ภายในศูนย์ดูแลเด็กของโรงพยาบาล
โดยเธอจัดเตรียมอาหารพื้นฐานที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งจำนวน 33 รายการ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ เครื่องใน ไข่ และธัญพืช แล้ววางไว้ให้เด็ก ๆ เลือกเองอย่างอิสระทุกมื้อ ไม่มีใครบอกว่าควรกินอะไร ไม่มีคำว่า "ห้าม” หรือ “ควร” มีเพียงร่างกายของเด็กที่เป็นผู้ตัดสิน
สิ่งที่น่าทึ่งคือ แม้จะไม่มีคำแนะนำ เด็ก ๆ กลับเลือกอาหารที่ทำให้พวกเขาเติบโตอย่างแข็งแรง สุขภาพดี ไม่มีปัญหาการขาดสารอาหาร และในบางกรณี เด็กที่มีอาการขาดสารบางชนิด (เช่น ขาดแคลเซียม) ก็เลือกกินอาหารที่มีสารอาหารนั้นมากขึ้นโดยอัตโนมัติ เหมือนร่างกายของพวกเขารู้ดีว่าต้องการอะไร โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่มาควบคุมพฤติกรรมการกิน
พวกเขา (ทารก) ผสมเมนูจนได้รับสารอาหารครบถ้วนโดยไม่ต้องมีความรู้โภชนาการใด ๆ แสดงว่ามีศูนย์ควบคุมภายในคอยปรับเมนูให้อัตโนมัติเมื่อร่างกายต้องการวิตามิน แร่ธาตุ หรือกรดอะมิโนบางชนิดตลอดหลายเดือนของการทดลอง เดวิสเก็บข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งปริมาณอาหารที่เด็กเลือก ความเปลี่ยนแปลงด้านน้ำหนัก ส่วนสูง สุขภาพโดยรวม และพฤติกรรมการกิน ผลลัพธ์ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของมนุษย์ในการฟังเสียงภายในตนเองตั้งแต่ช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิต
แน่นอนว่าการทดลองนี้มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่น้อย ขาดกลุ่มควบคุม หรือเงื่อนไขบางอย่างที่อาจไม่สะท้อนชีวิตจริงของเด็กในโลกยุคใหม่ แต่สิ่งที่งานวิจัยนี้ได้มอบไว้คือคำถามสำคัญที่ยังร่วมสมัยอยู่ "เรากำลังเลี้ยงดูเด็กด้วยการควบคุมจนลืมให้เขาเรียนรู้จากร่างกายของตนเองหรือเปล่า" เมื่อเทียบกับหลักฐานใหม่ปี 2022–2023 ที่ยังจับสัญญาณเลือกอาหารตามภาวะพร่องสารอาหารได้ในผู้ใหญ่ ดูเหมือนว่าสัญชาตญาณโภชนาการยังทำงาน เพียงแต่ต้องฝ่าคลื่นรสหวาน มัน เค็มของอาหารสมัยใหม่ให้ได้เสียก่อนฃ
งานวิจัยใหม่ยืนยันว่าร่างกายมนุษย์ยังรู้ว่าต้องการสารอาหารชนิดใด ไม่ต่างจากการทดลองคลาสสิกของ คลารา เดวิส เมื่อเกือบร้อยปีก่อน Brunstrom และ Schatzker (2022) ให้ผู้ใหญ่เลือกเมนูจากภาพถ่ายจานอาหารที่ให้พลังงานเท่ากัน แต่ใส่วิตามินและแร่ธาตุไม่เท่ากัน
ผลการทดลองพบว่า คนมักหยิบจานที่มีวิตามินและแร่ธาตุซึ่งพวกเขายังกินไม่พอจากมื้อก่อน โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเลย นักวิจัยจึงอธิบายว่า ร่างกายเรามี “เซนส์เลือกอาหาร” ลึกกว่าการหาข้าวหรือเนื้อ (คาร์โบไฮเดรตหรือโปรตีน) แต่ถึงขั้นตามหาสารอาหารที่ยังขาดอยู่ด้วย
ทีมมหาวิทยาลัยบริสตอลต่อยอดทดลองกับกลุ่มใหญ่ 400 คน ได้ผลแบบเดียวกันแม้จะล้อมรอบด้วยอาหารแคลอรีสูง ร่างกายยังส่งสัญญาณเงียบ ๆ ให้มองหาอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่พร่องอยู่เสมอ งานนี้จึงย้ำว่าเสียงในท้องไม่ได้บอกแค่หิว แต่บอกด้วยว่าขาดอะไรอยู่เพียงแต่เราอาจไม่รู้ตัวเท่านั้น
จากการศึกษาทั้งงานในอดีตและปัจจุบัน ผมจึงมองว่าสัญชาตญาณโภชนาการ มีอยู่จริงในระดับชีววิทยา ร่างกายตรวจจับภาวะพร่องสารอาหารผ่านฮอร์โมนลำไส้และระบบประสาทแล้วส่งสัญญาณความอยากให้ตรงกับสิ่งที่ขาด (เช่น อยากอาหารเค็มเมื่อโซเดียมต่ำ หรือโหยโปรตีนหลังใช้กล้ามเนื้อหนัก)
คริส แวน ทัลเลเคิน อธิบายว่าอาหารปรุงแต่งขั้นสูง (UPFs) เป็นปัญหาใหญ่เพราะมันหลอกกลไกนี้ให้ทำงานผิดจังหวะ รสหวาน มัน เค็มที่ถูกออกแบบให้เข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่เคี้ยวง่ายทำให้สมองรับรางวัลโดพามีนรวดเร็ว เหมือนบอกว่า "เราได้พลังงานแล้ว มีสารอาหารครบ อร่อย กินต่อสิ" ทั้งที่จริง ๆ แล้วสารอาหารจุลภาคต่ำมาก
วงจร “อยากและกินซ้ำ” ของเด็กในยุคอาหารปรุงแต่งขั้นสูง จึงเหมือนถูกรีดค่าผ่านทางจากระบบรางวัลสมองอยู่ตลอดเวลา โดพามีนพุ่งเร็วจากรสหวาน มัน เค็ม แต่สารอาหารแท้กลับพร่อง เมื่อกลไกภายในพยายามส่งสัญญาณขาดวิตามินหรือแร่ธาตุ เสียงนั้นกลับถูกกลบด้วยน้ำตาลและไขมัน ทำให้เด็กหมุนวนอยู่กับเมนูเดิมอย่างนักเก็ตและขนมกรอบ จนพัฒนาพฤติกรรม “งอแงไม่ยอมกิน”
เพราะร่างกายยังเรียกร้องสิ่งที่ขาดแต่ถูกตีความผิด กล่าวสั้น ๆ คือ มนุษย์มีระบบ “เข็มทิศโภชนาการ” ที่เคยแม่นยำพาเราหาอาหารตรงตามภาวะพร่อง ทว่า UPF เข้ามาแทรกสัญญาณ จนเรารับพลังงานว่างเปล่าแทนสารอาหารจำเป็น
โดยเฉพาะเด็กที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัมที่เสี่ยงน้ำหนักเกินสูงกว่าเด็กทั่วไปถึง 40 % จากรายงาน  Prevalence of Obesity in Youth with Autism Spectrum Disorder and Potential Unique Risk Factors (2022) สาเหตุหลักไม่ได้อยู่ที่การ “กินจุ” แต่คือ “กินเลือก” อันเป็นผลจากประสาทสัมผัสที่ไวเป็นพิเศษ เด็กจำนวนมากรับรส กลิ่น และเนื้อสัมผัสได้จำกัด จึงยึดติดเพียงไม่กี่เมนู เช่น ขนมปังขาว นักเก็ต ไก่ชุบเกล็ด มันฝรั่งทอด (รายการที่ตรงตามนิยาม UPF ซึ่งอุดมแป้ง น้ำมันและขาดไฟเบอร์กับจุลสารอาหาร)
ปัญหาซับซ้อนขึ้นเมื่อสูตรของ UPF ถูกออกแบบให้หวาน มัน เค็ม และเคี้ยวง่ายพิเศษ จนคลิกปุ่มโดพามีนในสมองอย่างรวดเร็ว งานของ Russell & Williamson (2019) ใช้  fMRI สแกนสมองพบว่าสมองส่วนรางวัลของเด็กที่มีภาวะออทิซึมตอบสนองแรงกว่าปกติเมื่อชิมเครื่องดื่มหวาน ขณะที่การสังเคราะห์งานวิจัยโดย Sharp และคณะ (2013) รายงานว่า 71 % ของอาหารที่เด็กกลุ่มนี้เลือกมีพลังงานหนาแน่นแต่สารอาหารต่ำ ผลคือวงจร  “กินเลือก --> ได้รางวัลเร็ว --> อินซูลินสูง --> หิวไว --> วนกลับเมนูเดิม” ติดตั้งในชีวิตประจำวันอย่างไม่รู้ตัว
ทั้งหมดนี้ยืนยันเพิ่มเติมโดย Fodstad และคณะ (2020) พวกเขาพบว่าเกือบ 60 % ของเด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ ที่มาคลินิกน้ำหนักเกินมีเมนูหลักเป็นนักเก็ต มันฝรั่งทอด และซีเรียลหวาน อาหารดังกล่าวมีเสน่ห์ทางประสาทสัมผัสดึงดูดกว่าอาหารธรรมชาติหลายเท่าและย้ำรางวัลให้สมองอย่างฉับไว
เด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ จึงตกอยู่ใน “กับดัก UPF” ได้ง่าย การแก้ปัญหาไม่ได้หยุดแค่การนับแคลอรี แต่ต้อง ขยายสเปกตรัมประสาทสัมผัส ให้เด็กคุ้นเคยกับรส  กลิ่น  เนื้อสัมผัสของอาหารธรรมชาติทีละขั้น พร้อมตัดวงจรโดพามีนด่วนจาก UPF เพื่อรีเซตอินซูลินและพฤติกรรมกินซ้ำ การเข้าใจต้นตอระดับสมองและฮอร์โมนเช่นนี้ จะช่วยให้ผู้ปกครองและนักโภชนาการออกแบบแผนอาหารที่เป็นมิตรกับเด็กออทิซึมและได้ผลยั่งยืนกว่าวิธี “งดของทอด และของหวาน” แบบคร่าว ๆ กล่าวคือ เราจะต้องออกแบบวงจรใหม่
การออกแบบวงจรชีวิตใหม่
การออกแบบวงจรชีวิตใหม่สำหรับเด็กที่มีภาะออทิซึมฯ ที่มีน้ำหนักเกินจึงต้องคิดเป็นระบบมากกว่าการหักดิบตัดน้ำตาล โดยเริ่มจา ตารางเวลาอินซูลินต่ำ จัดมื้อหลักชัดเจน 2 - 3 ครั้งและเว้นช่วงว่าง (Fasting Window) สั้น ๆ ตามวัย เช่น 12  ชั่วโมงโดยไม่กินอะไร เพื่อให้ระดับอินซูลินลดลงอย่างปลอดภัย ช่วงเวลาก่อนมื้อแรกให้แทนที่ขนมด้วยกิจกรรม เช่น ระบายสีน้ำ ดนตรี หรือเดินรดน้ำต้นไม้เล็ก ๆ เพื่อให้โดพามีนทางเลือก (แทนโดพามีนที่ได้จาก UPF)
งานทดลองของ Bandini และคณะ (2017) พบว่า สามารถลดพฤติกรรมโหยของหวานได้ 25 % ภายใน 8 สัปดาห์  ถัดมาคือ การเรียนรู้การปรุงอาหารเรียบง่าย ผ่านขั้นตอนย่อย (Task‑analysis) เช่น ปั่นสมูทตี้ผลไม้และถั่ว ต้มไข่ใส่เตาตั้งเวลา แต่ละขั้นจบด้วยรางวัลไม่ใช่อาหาร (เช่น สติ๊กเกอร์ หรือเวลาต่อเลโก้) อีกทั้งการมีส่วนร่วมในการทำครัวยังช่วยให้เด็กฯ คุ้นกลิ่น สี และเนื้อสัมผัสใหม่ เป็นการลดแรงต้านต่ออาหารไม่คุ้นเคย
ผู้ปกครองสามารถใช้ วิธีการบันทึกหิวและอิ่ม และแบบภาพใบหน้าสี่ระดับ (หิวมากไปจนถึงอิ่มมาก) ควบคู่กันโดยให้เด็กฯ ชี้ก่อนและหลังอาหาร
การศึกษาของ Morano และคณะ (2021) รายงานว่าการสะท้อนความรู้สึกอิ่มทุกมื้อทำให้เด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ  ปรับขนาดชิ้นอาหารลดลงเฉลี่ย 18 % ภายใน เดือนแรก ระหว่างวันควรลดการใช้หน้าจอ 10 นาที/ชั่วโมง เพื่อตัดกระแสโฆษณาขนมหวาน และเสริมการใช้เทคนิคสติ ที่เป็นการยกอาหารแตะปลายลิ้น 1 นาที ตั้งคำถามว่า “รู้สึกอย่างไรบ้าง (ใน 5  ประสาท) ย้ำครั้งละ 3 คำแรกของมื้อ การหยุดสั้น ๆ นี้สร้างช่องว่างให้สมองเลือกระหว่าง “กินเพราะร่างกายต้องการ” กับ “กินเพราะรางวัลโดพามีน”
เทคนิคนี้อาจใช้ได้เฉพาะเด็กที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัมที่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาไม่รุนแรง และทั้งหมดควรทำภายใต้แผนโภชนาการที่ต้องค่อย ๆ ถอด UPF อย่างเป็นขั้น เช่น ลดซีเรียลหวานหนึ่งมื้อ/สัปดาห์แล้วแทนที่ด้วยกราโนล่าโฮลเกรนโฮมเมด ข้อแนะนำคือควรปรับทีละ 10–15 % เพื่อลดภาวะปฏิเสธรุนแรง
สุดท้ายคือ ขอบเขตสนับสนุนรอบตัว โดยให้จัดมุมสงบในบ้านเป็นสถานีสงบ พร้อมลูกบอลโยคะหรือถุงเม็ดถั่วสำหรับแรงกดลึก (Deep pressure) ลดความเครียดที่กระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติซอล พร้อมประสานโรงเรียนให้เพิ่มเวลาพักเดิน 15  นาทีหลังคาบเรียน งานรีวิวของ Cortese และคณะ (2020) พบว่ากิจกรรมร่างกายเบา ๆ ระหว่างวันลดพฤติกรรมหิวเร็วและเพิ่มคุณภาพการนอนในเด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ  ซึ่งช่วยปรับสมดุลอินซูลินทางอ้อม
เมื่อตัดต้นเหตุความเครียดลงและเติมรูปแบบรางวัลอื่นที่ไม่ใช่น้ำตาล วงจร “ลด UPF --> อินซูลินต่ำ --> ความอยากลด” จึงค่อย ๆ ตั้งหลักได้จริง และเปิดโอกาสให้เด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ เติบโตไปพร้อมสุขภาพกายใจที่เบาขึ้นอย่างยั่งยืน
และนั่นคือหัวใจของการ “ออกแบบวงจรชีวิตใหม่”  มันไม่ได้เริ่มจากกฎอาหารแข็งกร้าวหรือแผนลดน้ำหนักสุดโต่ง หากเริ่มจากชัยชนะเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ เปิดช่องให้สมองกับลำไส้ได้พูดคุยกันชัดเจนอีกครั้ง การใช้มันเทศแทนเฟรนช์ฟราย คือการปรับจูนวงจรอินซูลิน โดพามีนทีละคลิก ทุกครั้งที่เด็กยอมกัดไก่อบไม่ใส่แป้ง คือการพิสูจน์ให้ร่างกายเห็นว่าความสบายใจมีหลายรูปแบบ
และเมื่อสัญญาณหลอกจากน้ำตาล ไขมัน เค็ม (UPF) ค่อย ๆ แผ่วลง เข็มทิศโภชนาการที่ซ่อนอยู่ภายในก็กลับมาทำงาน ส่งเราไปหาอาหารธรรมชาติหลากสี เนื้อไม่แปรรูป และธัญพืชเต็มเมล็ดโดยไม่ต้องฝืนใจ
เส้นทางนี้อาจยังเต็มไปด้วยวันเหนื่อยล้าและหลุมพราง เพราะราคาขนมถูกกว่าแครอต แต่ทุกก้าวเล็ก ๆ กำลังก่อร่างภูมิคุ้มกันทางกายและใจ ให้เด็กและครอบครัวมีภูมิคุ้มกันที่ไม่เพียงป้องกันโรคอ้วนหรือภาวะขาดสารอาหารแฝง หากยังสอนเราหยุดฟังร่างกายท่ามกลางโลกที่เร่งเร้า เมื่อเข็มทิศภายในส่องทางได้เอง ความสุขกับอาหารก็จะกลับมาเป็นเรื่องเรียบง่ายเหมือนวันที่มนุษย์ยังไม่รู้จักคำว่า UPF และนั่นต่างหากคือชัยชนะที่ยั่งยืนที่สุดของการออกแบบวงจรชีวิตใหม่
อ้างอิง
Bandini, L. G., Gleason, J., Must, A., Lividini, K., Gorin, A., & Curtin, C. (2017). Reduction in sugar‑sweetened beverage intake and behavioral outcomes in youth with autism spectrum disorder: A pilot intervention. Journal of Developmental & Behavioral Pediatrics, 38(3), 238–246. https://doi.org/10.1097/DBP.0000000000000421
Brunstrom, J. M., & Schatzker, M. (2022). Micronutrients and food choice: A case of “nutritional wisdom” in humans? Appetite, 178, 106055. https://doi.org/10.1016/j.appet.2022.106055
Cortese, S., Tessari, L., Bouvard, M., & Priori, A. (2020). Physical activity interventions for children with autism spectrum disorder: A systematic review and meta‑analysis. Research in Developmental Disabilities, 102, 103685. https://doi.org/10.1016/j.ridd.2020.103685
Fodstad, J. C., Matson, J. L., & Belva, B. (2020). Food selectivity, mealtime behavior problems, and weight status in children with autism spectrum disorder. Research in Autism Spectrum Disorders, 71, 101502.
Morano, M., Ruta, L., Mazzoni, L., & Fanelli, V. (2021). Teaching hunger and satiety awareness to children with autism spectrum disorder reduces portion size: A randomized controlled trial. Appetite, 166, 105462. https://doi.org/10.1016/j.appet.2021.105462
News–Medical. (2022). People’s basic food choices may be smarter than previously thought. Retrieved from https://www.newsmedical.net
Russell, T. A., & Williamson, P. (2019). Altered reward processing in autism spectrum disorders: A focus on the striatum. Developmental Cognitive Neuroscience, 31, 13–23.
Sharp, W. G., Jaquess, D. L., Morton, J. F., & Miles, A. G. (2013). A systematic review of feeding problems and nutrient intake in children with autism spectrum disorders. Research in Autism Spectrum Disorders, 7(12), 1525–1538.
Strauss, S. (2006). Clara M. Davis and the wisdom of letting children choose their own diets. Canadian Medical Association Journal, 175(10), 1199–1201. https://doi.org/10.1503/cmaj.060990
van Tulleken, C. (2023). Ultra‑processed people: Why do we all eat stuff that isn’t food … and why can’t we stop?Cornerstone Press.
โฆษณา