19 พ.ค. เวลา 12:24 • ข่าวรอบโลก

📰 “ถ้าแย่ขนาดนั้น ทำไมยังทนอยู่?” เจาะวัฒนธรรม Meta กับเงินเดือนหลักล้านที่ยากจะปฏิเสธ

“If It’s So Toxic, Why Do They Stay?” — Inside Meta’s Culture of Pressure, Paychecks, and Paradox
🔍 📌 สรุปประเด็นข่าวโดยละเอียด
ในช่วงต้นปี 2025 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับคลื่นการเลย์ออฟครั้งใหม่ โดยมีตำแหน่งงานมากกว่า 50,000 ตำแหน่งถูกตัดออก ส่งผลให้ประเด็นด้านความมั่นคงของงาน ค่าตอบแทนและวัฒนธรรมองค์กร กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง โดยเฉพาะบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Meta (บริษัทแม่ของ Facebook)
❗ แพลตฟอร์มออนไลน์หลายแห่งมีการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับ วัฒนธรรมองค์กรที่ว่ากันว่า "เป็นพิษ" ของ Meta เช่น พนักงานไม่กล้าแสดงความเห็นต่อประเด็นอ่อนไหว บางรายถึงขั้นบอกว่าทำงานวันหยุดติดกันหลายสัปดาห์ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ คำถามจากผู้ใช้ออนไลน์รายหนึ่งที่เขย่าวงสนทนา:
“ถ้า Meta แย่ขนาดนั้น ทำไมพนักงานยังไม่ลาออก?”
💰 💼 แรงจูงใจที่ทำให้คน “ทนอยู่”
แม้จะมีเสียงบ่นถึงวัฒนธรรมที่เข้มงวดและการเมืองภายใน แต่หลายเสียงกลับสะท้อนให้เห็นว่า ค่าตอบแทนคือเหตุผลหลักที่ยังอยู่ต่อ เช่น:
🔹 “ตอนจบปริญญาโท ได้ข้อเสนอเงินเดือน $300K ตอนนี้มีรายได้รวม $750K หลังจากทำมา 5 ปี”
🔹 “ปีที่แล้วได้เงินรวม $1.3 ล้าน ส่วนใหญ่จากหุ้นที่ขึ้นราคา ถึงจะเหนื่อยแทบไม่ได้พัก แต่ก็ยังทนอยู่ได้”
🗣️ บางคนกล่าวตรงๆ ว่า “รู้ว่าไม่สามารถหางานนอกที่จ่ายได้แม้แต่ครึ่งของที่ Meta ให้”
ในขณะที่อีกฝ่ายแย้งว่า “วัฒนธรรมที่ว่าเป็นพิษ จริงๆ แล้วอาจเป็นแค่คนที่ผลงานไม่ถึงเป้า แล้วโทษการเมืององค์กรมากกว่า”
📉 📊 สถานการณ์ภายใน: คนใหม่มากกว่าคนเก่า
ข้อมูลจากพนักงานคนหนึ่งเผยว่า “ถ้าคุณเข้าก่อนโควิด ตอนนี้คุณถือว่าเป็น 20% บนสุดของคนที่ยังอยู่” เพราะ Meta มีการปลดพนักงานจำนวนมาก หมุนเวียนผู้รับเหมา และมีคนลาออกจำนวนมาก จนปัจจุบัน 65–80% ของพนักงานทั้งหมดเป็น “คนใหม่”
แม้แต่ฝ่ายสรรหาพนักงานเองก็ถูกปลดและกลับมาในฐานะ “ผู้รับเหมา” อีกครั้ง
➡️ สรุปคือ ถึงจะมีเสียงตำหนิเรื่องความเข้มข้นของงานหรือการเมืองในองค์กร แต่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าตอบแทนมหาศาล โอกาสหุ้นพุ่งและตลาดงานที่โหดหิน การลาออกจาก Meta จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ง่ายนัก
🌏 🧭 วิเคราะห์ผลกระทบต่อไทย
ในบริบทโลกที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Meta เผชิญแรงกดดันภายในและเลย์ออฟต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบในแง่ต่างๆ ต่อไทย เช่น:
📉 ความเชื่อมั่นต่อบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติในสายตานักลงทุนไทยอาจลดลง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาแอปพลิเคชัน แพลตฟอร์ม หรือบริการดิจิทัล
📱 นักพัฒนาไทยที่หวังเข้าสู่องค์กรระดับโลกอาจต้องทบทวนแผนการในอนาคต โดยเน้นสมดุลชีวิต-งาน มากกว่าเงินเดือนล้วนๆ
📌 💥 ผลกระทบต่อหุ้นไทยในตลาดหลักทรัพย์ (SET และ mai)
วัฒนธรรมองค์กรที่เข้มงวดและการปลดพนักงานจำนวนมากของ Meta สะท้อนให้เห็นว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลกกำลังเข้าสู่เฟสของการปรับตัวหลังยุคเติบโตสูง ส่งผลต่อหุ้นไทยในกลุ่มต่อไปนี้:
🔸 BE8 (บียอนด์ เทคโนโลยี) และ TIDLOR (เงินติดล้อ) – ที่มีการลงทุนด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน อาจได้รับผลกระทบจากความระมัดระวังของนักลงทุนรายใหญ่ที่หันไปหาหุ้นปลอดภัยมากขึ้น
🔸 BTS, VGI, JMART, และ JTS – กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโฆษณา แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือดิจิทัลเพย์เมนต์ อาจเจอแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของพฤติกรรมผู้บริโภคที่ได้รับอิทธิพลจากข่าวด้านลบของ Big Tech
🔸 HUMAN (ฮิวแมนิก้า), และ BBIK (บลูบิค) – หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและบริการดิจิทัล อาจต้องเผชิญ การแข่งขันด้านบุคลากร ที่สูงขึ้น หากมีการไหลกลับของแรงงานไอทีจากบริษัท Big Tech ในสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดแรงงานเอเชีย โดยเฉพาะในสาย AI, cloud consulting, และ digital transformation ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทเหล่านี้
👉 นักลงทุนในตลาดไทยควรจับตาผลกระทบทางอ้อมจากเทรนด์การปรับโครงสร้างของบริษัทเทคระดับโลก ซึ่งอาจส่งแรงสะเทือนมาถึงซัพพลายเชนหรือพาร์ทเนอร์ของบริษัทในไทยได้
🔚 🎯 สรุปภาพรวม
Meta อาจเป็นตัวอย่างของความย้อนแย้งในยุคเทคโนโลยีเฟื่องฟู: วัฒนธรรมการทำงานที่อาจดูโหดร้าย แต่ดึงดูดคนด้วยเงินเดือนระดับสูงและหุ้นที่มีมูลค่า มันสะท้อนถึงโลกของเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ความสามารถเฉพาะทาง และผลตอบแทนที่ “แลกมา”
📌 Hashtags:
#Meta #BigTech #WorkCulture #แรงงานเทค #เลย์ออฟ2025 #เวทีมหาอำนาจ #คนเล็กในคลื่นใหญ่ #เศรษฐกิจโลก #ตลาดหุ้นไทย #WorldScope
📎 Reference: Financial Express
โฆษณา